Blade Runner 2049 ภาคต่อที่ล้ำลึกและดูสนุกกว่าภาคแรก




Blade Runner 2049 (2017)

"การตายเพิ่ออุดมการณ์ที่แท้ นั่นคือ ความเป็นมนุษย์ที่สุดเท่าที่เราทำได้"

หลังจากได้มีการยกเลิกการผลิตมนุษย์เทียมพร้อมกับการล่มสลายของไทเรล คอร์ปอเรชั่น บริษัทผลิตมนุษย์เทียมในอดีต บริษัทของ
นีแอนเดอร์ วอลเลซซึ่งได้พัฒนาเทคโนโลยีในการทำฟาร์มการเกษตรรูปแบบใหม่เพื่อผลิตอาหาร แก้ปัญหาความอดอยากซึ่งเกิดจากปัญหาทางระบบนิเวศน์ครั้งใหญ่ ภายหลังได้ทำการควบส่วนที่เหลือของไทเรลเพื่อผลิตมนุษย์เทียมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 

แต่เนื่องจากยังมีมนุษย์เทียมโมเดลเก่าที่ไม่ได้ออกแบบมาให้เชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของไทเรลที่ยังกวาดล้างได้ไม่หมด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เรียกกันว่า Blade Runner แห่ง LAPD นามว่า KD 6-3.7 หรือที่ใครๆเรียกสั้นๆว่า "K" จึงมีหน้าที่ในการตามกวาดล้างมนุษย์เทียมรุ่นเก่าให้หมดสิ้น

ระหว่างการตามกวาดล้างของ "K" เขาก็พบกับปริศนาความลับซึ่งมันเป็นปาฏิหาริย์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล

.....................................................

ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าใครจะเข้าไปดูหนังเพื่อเน้นความสนุกหวือหวาหวังความตูมตามของแอคชั่นเพียงอย่างเดียวอาจจะต้องผิดหวัง หนังมาในแนวทางเดียวกับภาคแรก เชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัวทั้งเรื่องราว ภาพ ธีมของเสียงดนตรีที่เล่นกับอารมณ์คนดูในแบบลึกซึ้งเข้าถึงจิตใจได้โดดเด่นแม้จะทิ้งช่วงกว่า 35 ปีแล้วก็ตาม 

ถ้าดูหนังภาคแรกแล้วชอบภาคนี้ก็คงจะไม่ผิดหวังและน่าจะชอบมากกว่ากับความเนียนและลื่นไหลของการเล่าเรื่องในแนวทางสืบสวนสอบสวนที่ดูจะมากกว่าภาคแรก สมควรที่จะหาหนังภาคแรกมาดูก่อนที่จะเข้าไปดูจะได้รับรู้เรื่องราวได้อย่างเต็มที่มากกว่า แต่ถ้าไม่ได้ดูก็ดูได้รู้เรื่อง อาจจะมีจุดที่ชวนสงสัยบ้าง ถ้าให้บอกว่าหนังมาสไตล์ไหน ก็ให้นึกถึงเรื่อง Arrival ของ Denis Villeneuve ผู้กำกับคนเดียวกัน ถ้าใครชอบแนวนี้ก็เข้าไปดูได้เลยแต่หนังยาวเกือบ 3 ชั่วโมงได้และดูสนุกกว่า Arrival นะ

บรรยากาศของหนังก็เหมือนภาคแรกที่ยังคงมีความทึมขมุกขมัวดูเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่เอาซะเลย ถ้าไม่เฉอะแฉะในแบบฝนตก ก็แห้งแล้งราวกับทะเลทรายถูกทิ้งให้รกร้าง ต้นไม้เป็นสิ่งหายากยืนตายซากไม่มีใบ แทบไม่มีความเขียวสดชื่นให้เห็นแม้แต่ฉากเดียว มีเพียงฉากหิมะตกที่ดูสงบเป็นธรรมชาติพอจะให้รู้สึกถึงความเย็นและสะอาด แค่นั้นและที่สำคัญผู้คนแทบไม่มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ

Ryan Gossling เล่นได้ดี จากตอนต้นที่มีความเป็นมนุษย์เทียมชัดเจน เราก็จะค่อยๆรับรู้สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ในร่างมนุษย๋เทียมของเขามากขึ้นเรื่อยๆจนถึงฉากจบที่ทำเอาผมน้ำตาซึมเล็กๆ เฮ้อ...ความเป็นมนุษย์ในร่างมนุษย์เทียมของเขา มันแทรกซึมเข้าไปสัมผัสจิตใจจริงๆ

...สงบ เย็น สะอาด ขาวกระจ่างในคำตอบ ไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกต่อไป...

Ana De Armas ก็สวยจนชวนให้พระเอกหลงใหลจริงๆ โดยเฉพาะตอนใส่ชุดจีน แต่มันน่าเศร้านะ ถ้ามนุษย์ใช้ชีวิตและมีความรักแบบนั้นจริงๆ

หนังยังคงเล่นประเด็นในเรื่องความเป็นมนุษย์แท้-มนุษย์เทียม มนุษย์ที่แท้จริงล้วนต้องการความรัก สัมผัสจับต้องได้ มีความทรงจำที่ไม่จำเป็นต้องจดจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง แต่เศษเสี้ยวของความทรงจำของมันต่างหากที่ทำให้เรามีความรู้สึก ทำให้เกิดรอยยิ้มหรือรู้สึกเจ็บปวดยามที่นึกถึงมัน นั่นทำให้ชีวิตมีจิตวิญญาณ มีชีวิตชีวาไม่ยืนตากซากเหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว

"เราทุกคนล้วนต้องการแต่ของจริง"

ป.ล.ชื่อของพระเอก KD 6-3.7 หรือ K น่าจะเป็นการยกย่องผู้เขียนหนังสือที่เป็นต้นแบบของหนังภาคแรก นั่นคือ KD อาจจะย่อมาจาก Philip K.Dick หรือจากชื่อกลาง Kindred ของเขาก็ได้

คะแนน 10/10






Create Date : 31 ตุลาคม 2560
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 15:59:59 น.
Counter : 968 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 755059
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]



New Comments
ตุลาคม 2560

1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
30
 
 
All Blog