The Diary Of Young Girl บันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์




บันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์ 
ต้นฉบับภาษาดัตช์ Het Achterhuis (1947)
ฉบับภาษาอังกฤษ The Diary Of Young Girl (1952)
โดย Anne Frank เผยแพร่โดย Otto Frank
สนพ.ผีเสื้อ แปลโดย สังวรณ์ ไกรฤกษ์

"ฉันหวังว่าจะสามารถไว้วางใจ 'เธอ'ได้ทุกเรื่อง อย่างที่ฉันไม่อาจวางใจผู้หนึ่งผู้ใดมาก่อนเลยและหวังว่า 'เธอ'จะเป็นพลังยิ่งใหญ่ในการปลอบประโลมใจฉัน"

เรื่องราวบันทึกของแอนน์ แฟร้งค์ เด็กหญิงสาวชาวยิววัย 13 ปีที่ได้รับสมุดบันทึกเป็นของขวัญวันเกิดจากพ่อท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สงครามโลกครั้งที่ 2 เธอเขียนบันทึกเรื่องราวภายในห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือบนตึกออฟฟิศแห่งหนึ่งในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลแลนด์ ตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.1942 - 1 ส.ค.1944 ก่อนที่ในท้ายที่สุดทั้งครอบครัวของเธอและคนอื่นๆที่หลบซ่อนอยู่จะถูกจับกุมและตายลงอย่างน่าอนาถในสถานกักกันต่างๆ ยกเว้นเพียง ออตโต้ แฟรงค์ พ่อของเธอเท่านั้นที่รอดมาได้ และได้รับบันทึกของเธอจากผู้ที่เคยช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อน จนบันทึกถูกพิมพ์เผยแพร่ให้คนทั้งโลกได้รับทราบถึงความโหดร้ายของสงครามในมุมหนึ่งของโลกใบนี้และเป็นแง่มุมหนึ่งของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

..............................................................................

เมื่อผมเริ่มอ่านบันทึกในช่วงแรกๆ บรรยากาศของเรื่องราวจะชวนให้มีรอยยิ้มบ้างถึงความใสในความเยาว์วัยของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อเธอและครอบครัวต้องหนีมาหลบซ่อนในห้องเล็กๆ...

เราลองนึกภาพให้เป็นเด็กหญิงสาววัยรุ่นแรกแย้มที่อาจจะจะมีพลังสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้โลกใบนี้ มีพื้นที่กว้างใหญ่พร้อมที่จะให้เธอโลดแล่นทั้งทางกายและโดยเฉพาะทางความคิด กลับต้องถูกบีบพื้นที่ให้แคบลง ห้ามทำเสียงดังเอะอะ ทุกอย่างต้องทำด้วยความระมัดระวังด้วยความเงียบเชียบ อยู่อย่างหวาดระแวงว่าเมื่อไหร่อาจจะโดนจับกุมได้ทุกเมื่อ แค่มีเสียงแปลกปลอมของการเคลื่อนไหวก็สร้างความตระหนกตกใจให้กับคนทั้งห้องได้ ยังไม่นับที่บางวันมีเสียงปืนโป้งป้าง เสียงระเบิดตูมตามที่ไม่รู้ว่าจะตกลงมาที่ใด จะมาโดนที่ซ่อนที่เป็นความหวังเดียวในการเอาชีวิตรอดให้มีลมหายใจอยู่หรือเปล่า นี่คือสภาพแวดล้อมที่เกิดจากภายนอกอันเป็น
ผลพวงของสงครามที่ใครก็ไม่รู้ทำให้เกิดขึ้นแต่ผลกระทบตกมาที่เธอเด็กหญิงตัวเล็กๆและครอบครัวของเธอ

ทั้งนี้ยังมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมจากภายในครอบครัวและคนแปลกหน้าที่มาอยู่อาศัยหลบซ่อนด้วย ทั้งความไม่เข้าใจกันจนเกิดการกระทบกระทั่งทางคำพูดและความคิด ช่องว่างระหว่างวัยรวมถึงวัยของเธอเองที่ปกติก็มักจะเป็นวัยที่ยังมีความสับสน ต้องการพื้นที่แสดงออกความเป็นตัวของตัวเองสูง จึงยิ่งก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งยิ่งขึ้นไปอีก จะหนีไปโรงเรียนวิ่งเล่นกับเพื่อนๆที่มีสามารถแลกเปลี่ยนความคิดการแสดงออกซึ่งกันและกันก็ไม่สามารถกระทำได้เหมือนในภาวะปกติ 

"ทำไมนะ พวกผู้ใหญ่ถึงได้ทะเลาะกันง่ายๆและบ่อยๆด้วยเรื่องบ้าบอหยุมหยิมไม่เป็นเรื่อง ก่อนนี้ฉันคิดว่าเด็กเท่านั้นที่ชอบทะเลาะวิวาทกัน พอโตเป็นผู้ใหญ่จะหายไปเอง ถ้าผู้ใหญ่จะทะเลาะกันก็ควรมีเหตุผลอันสมควรจริงๆ แต่นี่อะไรกัน เรื่องกระจิริตทั้งนั้น ความจริงฉันน่าจะเคยชิน แต่ก็ไม่ชินเลยและไม่เคยคิดว่าจะชินด้วย" 

สมุดบันทึกเล่มเล็กๆของเธอจึงเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นโลกทั้งใบที่ให้เธอได้แสดงออกทางความคิด ได้ระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัวไม่สบายใจ ได้เขียนเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละวันประหนึ่งมันดำเนินชีวิตแทนเธอ ให้ตัวอักษรโลดแล่นแสดงความหวังเพียงหนึ่งเดียวว่าสักวันสงครามจะยุติลง เธอจะได้กลับไปวิ่งเล่น 
สูดอากาศที่บริสุทธิ์ ไมต้องแค่แอบเปิดหน้าต่างตอนกลางคืนแล้วเอาจมูกแนบกับหน้าต่างเพื่อผลัดกันสัมผัสกับอากาศจากโลกภายนอก ทานอาหารที่ไม่ต้องล้าง 
เชื้อราออก ไม่ต้องใช้ห้องน้ำตามเวลา กดชักโครกได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะเลยเวลาซึ่งจะก่อให้เกิดเสียงดัง ไม่ต้องแบ่งห้องใช้ตามเวลากับคนอื่นๆ จากที่เคยเป็น 
แอนน์ แฟร้งค์ ที่ไม่เคยอยู่นิ่ง ภายในเวลาไม่นานกลับเปลี่ยนเธอกลายเป็นคนอยู่นิ่งได้ จากที่เคยมีเสียงหัวเราะกลับลืมบรรยากาศของความครื้นเครงมีสุขจากมันไป ด้วยเธอเพียงหวังว่าสักวันหนึ่ง ฝันร้ายนี้จะจบสิ้นลงในอนาคตข้างหน้าเธออาจจะมีความรักที่แท้จริงจนได้แต่งงานมีครอบครัวและเป็นนักเขียนที่มีผลงานดั่งความใฝ่ฝันของเธอเอง

"ยาขนานวิเศษสำหรับรักษาคนที่หวาดกลัว ว้าเหว่ หรือไม่เป็นสุขก็คือ การออกไปข้างนอก ไปไหนก็ได้ที่เงียบสงบ อยู่กับท้องฟ้า ธรรมชาติและพระผู้เป็นเจ้า สถานที่เช่นนี้แหละที่เราจะรู้สึกปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนาจะเห็นมนุษย์เป็นสุขอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ตราบใดที่ธรรมชาติยังมีอยู่ มันก็เป็นสิ่งปลอบโยนสำหรับผู้ที่มีทุกข์ให้เบาบางลงได้" 

"บางทีอาจไม่นานนักดอก ฉันอาจมีส่วนร่วมความสุขอันเปี่ยมล้นกับใครสักคน ผู้ซึ่งมีความรู้สึกเช่นเดียวกับฉันขณะนี้" 

ช่วงหลังๆของบันทึกจะเริ่มคลี่คลายกับการปรับตัวได้ของเธอ เริ่มจะมีความสุขในพื้นที่เล็กๆมากขึ้น แต่ก็เพิ่มความระทึกขวัญของสถานการณ์สงครามที่บีบคั้นกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ ... 

แต่เราผู้อ่านก็ล่วงรู้ชะตากรรมของเธอว่าความฝันและการแสวงหาความรักที่แท้จริงของเธอจบลงไปตลอดกาลเพราะ...สงคราม...

"สงครามนั้นมีประโยชน์อะไร เหตุใดมนุษย์จึงอยู่ร่วมกันโดยสันติไม่ได้หรือ ทำไมมนุษย์จะต้องก่อความหายนะทำลายล้างกันเช่นนี้ 

ไม่มีใครตอบคำถามเหล่านี้ให้เป็นที่น่าพอใจได้ เขายังสร้างเครื่องบินยักษ์และสร้างลูกระเบิดหนักๆขึ้นมาอีก  สร้างบ้านสำเร็จรูปเอามาประกอบกันเข้าแทนสร้างบ้านธรรมดา ใช้เงินนับล้านๆอยู่ทุกวันในการสงคราม แทนที่จะใช้เงินบริการทางยาหรือทางแพทย์หรือสำหรับคนจน 

ทำไมคนอีกเป็นจำนวนมากจึงต้องตายเพราะอดอาหาร ในเมื่อยังมีอาหารเหลือจนเน่าเสียมากมายในส่วนอื่นๆของโลก เหตุใดมนุษย์เราจึงบ้าคลั่งกันเช่นนี้ 

ฉันไม่เชื่อว่าคนใหญ่คนโต นักการเมืองกับนายทุนเท่านั้นเป็นผู้ผิดในการทำสงคราม พวกคนเล็กๆก็กระหายทำสงครามกันเหมือนกัน หาไม่แล้วประชาชนทั้งโลกจะต้องพากันลุกฮือขึ้นต่อต้านเสียนานแล้ว! ในตัวมนุษย์มีความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำลาย ฆ่าฟัน และก่อความพินาศหายนะ จนกว่าทุกสิ่งจะย่อยยับไปหมด นั่นแหละจึงจะหยุดทำสงครามกัน แล้วหันมาตริตรองใช้ความคิด สร้างสรรค์สิ่งที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่เพื่อจะทำลายล้างอีก"

เราได้แต่หวังเพียงแค่มนุษย์น่าจะเรียนรู้รับรู้ช่วยกันตอกย้ำถึงผลพวงแห่งความเจ็บปวดของสงครามที่ก่อเกิดด้วยน้ำมือมนุษย์เอง จนไม่ทำสงครามกันอีก เพื่อที่ว่าจะไม่มีเด็กหญิงสาวอย่าง "แอนน์ แฟร้งค์" ในรุ่นถัดๆมาอีกต่อไปบนโลกใบนี้...

1 ในหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านในการเก็บเกี่ยวบรรยากาศของสงคราม 
ความสนุกสนานในการอ่านเป็นเรื่องรอง แต่คุณค่านั่นคือสารัตถะของมัน

คะแนน 8.5/10



Create Date : 10 ตุลาคม 2560
Last Update : 10 ตุลาคม 2560 17:58:57 น.
Counter : 993 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 755059
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]



New Comments
ตุลาคม 2560

1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31