ยิ้มวันละนิด จิตแจ่มใส, อ่านวันละหน่อย พลอยรื่นรมย์
|
||||
Childhood's End สุดสิ้นกลิ่นน้ำนม สุดสิ้นกลิ่นน้ำนม Childhood's End (1953) โดย Arthur C.Clarke สนพ.คอลเลจบุ๊คส์ แปลโดย ภาพรรณ เรื่องราวของมนุษยชาติภายใต้การปกครองของ "เทพ" สิ่งมีชีวิตลึกลับจากอวกาศ พวกเทพคือเหนือหัว ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม นำความสงบสันติและสมบูรณ์พูนสุขมาสู่มนุษยชาติ...แต่อะไรคือจุดประสงค์ของพวกเขา อะไรคือแผนการขั้นสุดท้ายของพวกเขา อะไรคือจุดหมายปลายทางของมนุษยชาติภายใต้การนำของพวก "เทพ" สุดสิ้นกลิ่นน้ำนม เรื่องของมนุษย์ในยุคทอง มนุษย์รุ่นสุดท้าย และมนุษย์คนสุดท้ายของโลก.... อะไรจะสำคัญยิ่งไปกว่าความอยู่รอดของมนุษยชาติ... เล่มนี้ยังคงพัวพันกับหอสมุดเช่นเดิม หนังสือหายากพอๆกันกับเรื่อง City เวลามีน้อยโอกาสจะได้อ่านหนังสือที่นี่คงใกล้หมดวาระลงชั่วคราวแล้ว ไม่เช่นนั้นต้องเดินทางไกลหน่อย มีเรื่องที่น่าสนใจอยากอ่านอีกหลายเรื่องอย่าง Shogun ของ James Clavell, ฺBourne อีก 2 ภาคที่เหลือของ Robert Ludlum แต่ด้วยความหนาเกิน คงอ่านไม่ทันแล้วก็มีพิมพ์ใหม่แน่ๆ จึงเหลือที่ชั่งใจจริงๆ พอๆกับเรื่องนี้คือ พิภพย้อนเวลา (Counter Clock World) ของ Philip K.Dick แต่เลือกเล่มนี้แทน เพราะลองเปิดอ่านคร่าวๆของ Dick แล้วอ่านยากกว่ากันพอสมควร เปิดเรื่องมาทั้งอเมริกาและโซเวียตต่างแข่งขันกันสร้างยานอวกาศให้ได้ก่อนกันเป็นประเทศแรก โดยที่วิศวกรที่เป็นคีย์แมนคนสำคัญของทั้งสองประเทศเคยเป็นเพื่อนกัน แต่แยกทางกันเดินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างฝ่ายต่างทุ่มเทสรรพกำลังกันอย่างเต็มที่ ฝ่ายอเมริกาดูจะเสียเปรียบด้านข้อมูลข่าวสารที่รั่วไหล เพราะเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ก็ได้เปรียบด้านเงินทุนเพราะเศรษฐกิจที่เสรีกว่ากัน เมื่อใกล้ได้ฤกษ์ของทั้งคู่ ปรากฎว่ามียานอวกาศจากที่ไหนไม่รู้ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าของทั้งสองแห่ง และไม่แค่นั้นยังลอยอยู่ตามเมืองหลวงต่างๆของโลกอีกด้วย โดยที่ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของมัน ความหวังของทั้งคู่พลันมลายสูญไป เมื่อมีเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าชาวโลกทั้งมวลและยังรู้ภาษามนุษย์อีกด้วย แล้วยานอวกาศนั้นก็ลอยเท้งเต้งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 5 ปี โดยที่พวกมันถูกเรียกว่า "เทพ" เนื่องจากดูเหมือนมันจะมาดี มีเมตตา ทั้งยังจัดการให้มนุษย์รักกัน แม้แต่แอฟริกาใต้ที่มีปัญหาขัดแย้งกันด้านสีผิวอย่างรุนแรง ไม่ยอมลงรอยกัน มันก็ยื่นเส้นตาย เมื่อถึงเวลามันก็สำแดงให้มนุษย์หวั่นกลัว จนเหตุการณ์คลี่คลายลงในที่สุด ทั้งยังห้ามมีการแสดงที่ส่อไปในการทำร้ายกันหรือทรมานสัตว์อีกด้วย ตัวแทนของพวกมันอย่าง Karellen ก็สั่งให้ส่งตัวแทนมนุษย์อย่าง Rikki Stormgren เลขาธิการ UN ขึ้นไปคอยรับฟัง พูดคุย แลกเปลี่ยน เพื่อจะได้สื่อสารกับมนุษย์ทั้งโลกได้อย่างเข้าใจ ถึงแม้เธอจะรู้ว่ามีพวกต่อต้าน ตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อแสวงหาเสรีภาพให้กลับคืนมาก็ตามทีและรู้ว่าผู้คนก็อยากรู้ว่าพวกต่างดาวนี้มีหน้าตารูปร่างอย่างไร แต่เธอบอกว่าอีก 50 ปีข้างหน้ามนุษย์ถึงจะพร้อม ไม่ช็อคตาตั้งไปเสียก่อน เมื่อถึงเวลา โลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชื่อประเทศมีไว้เรียกขานกันเพื่อส่งไปรษณีย์ให้ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นตัวแบ่งดินแดนว่าเป็นของใครอีกต่อไป มนุษย์เริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆน้อยลง เพราะคิดว่าเดี๋ยวเทพก็รู้อยู่แล้ว ทำให้เอง ศาสนาความเชื่อพลันสาบสูญเหลือแต่ศาสนาพุทธแบบบริสุทธิ์เท่านั้น เนื่องจาก Karellen ให้มนุษย์ย้อนดูอดีตกาลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ลบล้างความเชื่อ ความเป็นเทพเจ้า เรื่องเหนือจริงทั้งปวง และแล้ว Karellen ก็เปิดเผยตัว ยานต่างๆที่เคยลอยอยู่เหนือเมืองต่างๆก็พลันหายไปด้วยดั่งภาพลวงตา ด้วยวิธีการที่พวกมันทำให้เหมือนจริงทั้งมิติ รูป เสียง ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เหลือเพียงที่นิวยอร์กเท่าที่เป็นของจริงเท่านั้น...พวกมันโผล่มาในรูปร่างของ "ซาตาน" ในตำนานมนุษย์นั่นเอง มีปีก หางเป็นลูกศร ตัวสูงราวๆ 12 ฟุต (เพราะดาวเคราะห์ที่พวกมันอยู่คงมีแรงโน้มถ่วงน้อย...ฯลฯ ซึ่ง Clarke อธิบายได้ ไม่งั้นคงเป็นแฟนตาซีแหงมๆ) แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ช็อคเท่านั้น ด้วยกาลเวลาแห่งความคุ้นเคยกับพวกมัน เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมโดยเทพผู้พิทักษ์อย่าง Karellen ที่คอยสอดส่องผ่านมอนิเตอร์ต่างๆที่ติดตั้งไว้ เพื่อดำรงความสงบสุขให้กับโลก แต่ก็ยังมีนักบินอวกาศอย่าง Jan Roderick ที่ยังสงสัยว่าพวกเทพมาจากที่ไหน จากดาวเคราะห์ดวงไหน อยู่ไกลโพ้นเลยระบบสุริยะของเราหรือเปล่า เขาสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์เห็นการโคจรของยานของพวกมันเดินทางจากดวงจันทร์ทอดยาวไปยังหมู่ดาวหนึ่งเสมอ ประกอบกับเขามีเพื่อนที่เคยตั้งวงเล่นเกมกัน คล้ายๆผีถ้วยแก้ว (แต่เป็นวิทยาศาสตร์ออกไปทางโทรจิตมากกว่า เพราะโต๊ะมีกลไกมีลูกปืน) จนล่วงรู้ว่าดาวดวงนั้นชื่ออะไรแบบที่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่า เป็นพวกเขาเองหรือเทพที่อยู่ร่วมเล่นด้วยเป็นคนกระซิบบอกกันแน่ หลังจากนั้นเขาจึงวางแผนกับดร.Sullivan ผู้เชียวชาญด้านสิ่งมีชีวิตทะเลน้ำลึก ช่วยกันสร้างปลาวาฬปลอมที่เสมือนจริงมากที่จะเอาไปแทนของจริงซึ่งจะต้องถูกนำไปส่งยังดาวของพวกมัน เพื่อไว้ประดับเป็นความรู้ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่พวกมัน เนื่องจากบนดาวของมันไม่มีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเท่าโลก แล้ว Jan ก็แอบเดินทางไปยังดาวของพวกเทพสำเร็จด้วยการเข้าไปอยู่ในปลาวาฬปลอมตัวนั้น เมื่อเวลาบนโลกผ่านไปอีกกว่า 80 ปี ขณะที่ตัวเขาที่อยู่บนยานของพวกมัน เพิ่งจะมีอายุเพิ่มขึ้นเพียง 2 เดือนเท่านั้น แต่สุดท้าย Karellen ก็จับได้พร้อมป่าวประกาศห้ามมนุษย์ทุกคนทำเช่นนั้นอีก เพราะอาจจะเกิดการช็อคได้ โดยให้ลองนึกภาพดูว่า คนบนโลกนี้เหมือนอยู่ในสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีทีวีดู กับการที่จะต้องเจอกับดาวของมันที่เจริญด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลไปกว่ากันร่วมๆหลายๆร้อยปีพันปี มนุษย์จะรับสภาพไหวเหรอ ผ่านมากว่าศตวรรษแล้วที่พวกเทพมาเยือน พวกมันปล่อยให้มนุษย์มีอิสระที่จะปกครองตนเองบ้างตามคำเรียกร้อง ณ อาณานิคมเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ที่จะมาอยู่ต้องผ่านการทดสอบก่อน ครอบครัวของ Jean Morrel และ George Greggson ก็เป็นหนึ่งในนั้นและมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ดูเหมือนลูกของพวกเขาจะมีญาณพิเศษ โทรจิตที่แรงกล้า ไม่ว่าจะเป็น Jeff และ Jenny โดย Jeff นั้นมักฝันบ่อยๆว่าตัวเขาเดินทางทะลุออกไปไกลโพ้นจากระบบสุริยะมากขึ้นๆทุกครั้งที่ฝัน ขณะที่ Jenny ถึงขั้นโยกย้ายสิ่งของ ทำให้มันลอยได้ ทั้งๆที่ยังเป็นทารกที่หลับตาพริ้มอยู่เลย ซึ่งไม่ใช่แค่ 2 คนนั้นที่ทำได้ แต่เด็กๆบนเกาะนี้ที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบก็ทำได้เช่นกัน แล้ว Karellen ก็เปิดเผยว่าพวกมันเป็นดั่งเครื่องปั้นหม้อที่ให้พวกช่างปั้นหม้ออย่างที่มันเรียกว่า "อภิจิต" ใช้อีกที และมนุษย์ก็เหมือนดินเหนียวที่พวกมันปั้นแต่งนั่นเองเหมือนๆกับดาวต่างๆที่พวกมันเคยผ่านมาและควบคุมมาก่อนแล้ว แต่พวกอภิจิตจะเป็นผู้บอกเองว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่มันจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ดวงดาวเหล่านั้นพัฒนาจนถึงขีดสุดดั่งเช่น Jeff และ Jenny นั่นหมายถึงกาลอวสานของผู้ที่อยู่บนดาวดวงนั้น เพราะมันจะนำเด็กพิเศษเหล่านั้นไป แยกเผ่าพันธุ์มนุษย์ออกจากกัน มนุษย์ที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป ด้วยความหดหู่ ไร้จุดหมาย เฉกเช่นพวกมันที่ไม่มีลูก โดยที่มันให้มนุษย์ที่เหลืออยู่เลือกทางเดินเองว่าจะอยู่ที่ อาณานิคมที่กำลังระเบิดเพราะภูเขาไฟ บนโลกที่ล่มสลาย หรือจะเดินทางออกไปยังดาวอื่นๆเอง ในที่สุด Jan Roderick ก็เดินทางกลับมาเพื่อมารับรู้ว่าเขาเป็นมนุษย์คนสุดท้ายของโลกนี้ ถึงแม้จะมีบ้างบางคนแต่ดูเหมือนรอวันตายเท่านั้น สิ่งที่เขาได้รู้ได้เห็นมาจากดวงดาวของเทพนั้น เป็นสิ่งทีมนุษย์ไม่สามารถที่จะทนอยู่ได้นานจริงๆดั่งที่พวกเทพเคยบอกไว้ก่อนแล้ว ทั้งเหวลึกที่พลัดตกลงไปง่ายๆ แต่ไม่มีผลต่อพวกมันเพราะมันมีปีกบินได้ สิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นดวงตาสีแดงอันมหึมา เมืองต่างๆของพวกเทพ แบ่งตามหน้าที่ของมันไปแต่ละอย่าง ไร้สิ่งประดับที่ไม่มีประโยชน์ แล้วโลกก็ถึงกาลอวสานเมื่อพวกเทพต้องจากไปตามสัญญาณที่พวกอภิจิตได้ทำลงไป ทั้งการหมุนของดวงจันทร์ที่หมุนทวนกลับ หันด้านที่ไม่มีใครเคยเห็นมายังโลกแทน แล้วค่อยๆไกลจากโลกไปเรื่อยๆ โลกเริ่มหมุนช้าลงๆๆ...ดั่งของเล่นของพวกอภิจิต... Clarke ดำเนินเรื่องอยู่บนพื้นฐานความขัดแย้งของมนุษย์ เพราะเรื่องนี้ก็เขียนขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่เหมือนกับ City ของ Clifford D.Simak ที่ออกแนวกัดๆว่าต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ของ Clarke ดูจะเน้นไปทางปรัชญาความเชื่อทางด้านศาสนา ทั้งพระเจ้า วันสิ้นโลก การพัฒนาตนเองของมนุษย์จนหลุดพ้นไปจากความเป็นมนุษย์ด้วยการหล่อหลอมดวงจิตเข้ากับร่างกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนไม่ต้องใช้การสื่อสารแบบทั่วๆไป แล้วก็กลับคืนสู่พระเจ้านั่นเอง...ผมตีความเอาเองว่า อภิจิตก็คือพระเจ้า เทพก็คือศาสดา แต่วิธีการหลุดพ้นนี่เป็นหลักการของพุทธชัดๆ การเล่าเรื่องอาจจะไม่มีตัวละครที่โดดเด่นหรือตัวนำเรื่อง ออกแนวๆฉายภาพความเป็นไปให้เห็นมากกว่า บรรยายไปเรื่อยๆตามสไตล์ของ Clarke ที่ไม่หวือหวาเหมือนของ Isaac Asimov เรียบง่ายแต่สวยงามประมาณนั้น เฉพาะแค่กาแลกซี่เดียวของเรา เสียงของคาเรลเลนดังเหมือนกระซิบ มันก็มีดวงอาทิตย์อยู่ถึง87,000 ล้านดวงแล้ว แต่จำนวนแค่นั้นน่ะพอบ่งให้เรารู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของอวกาศได้เพียงลางๆเท่านั้นเมื่อพวกเจ้ากล้าพอที่จะออกไปท้าทาย...ออกไปพยายามพิชิตอวกาศ...พวกเจ้าก็จะไม่ผิดอะไรกับมดปลวกที่พยายามจะนับเม็ดทรายทุกเมล็ดในทะเลทรายทุกๆแห่งบนโลกแล้วจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่นั่นเอง... ป.ล.สงสัยคงได้แวะหอสมุดอีกแน่เลย เพราะมีนิยายวิทยาศสาตร์ดีๆและหายากมากๆทั้ง พิภพย้อนเวลา (Counter Clock World) ของ Philip K.Dick, ดาวเถื่อน (Status Civilization) ของ Robert Sheckley และดราก้อนสตาร์ ของ Thomas F.Monteloene/David Bischoff คะแนน 8.4/10 ตั้งชื่อไทยได้ตรงและแนวดีค่ะ น่าจะมีสร้างเป็นหนังนะคะ
โดย: kunaom วันที่: 31 ตุลาคม 2557 เวลา:15:35:23 น.
หน้าปกเก่าแก่ดีจังครับ ส่วนตัวผมห่างหายจากนิยายไซไฟมานานมาก เล่มนี้ไม่รู้จะมีพิมพ์ใหม่หรือเปล่าหนอ?
โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 31 ตุลาคม 2557 เวลา:21:35:57 น.
ชุดสเปคตรัมคุ้นว่าเคยเห็นสมัยอ่าน มิติที่ 4 อยู่เลยครับ นานมากจริงๆ นิยายไซไฟห่างหายไปนานเลยครับ
โดย: สามปอยหลวง วันที่: 2 พฤศจิกายน 2557 เวลา:13:05:31 น.
คุณ kunaom ก็น่าจะได้อยู่นะ เพราะพล็อตน่าสนใจ เสียอย่างเดียวไม่มีตัวละครเด่นแบบจริงๆจังๆน่ะครับ
คุณปิศาจความฝัน แปลตั้งแต่ปี 2518 แน่ะครับ ผมก็หาไม่ได้หรือเวลาเจอตามเว็บมือสองก็ไม่ทันแฮะ โชคชะตายังไม่เป็นของเรา 55...นิยายวิทยาศาสตร์นี่คงยากมากๆครับที่จะพิมพ์ใหม่ ขนาดอมรินทร์ใหญ่ๆมากยังไม่มีแนวโน้มว่าจะพิมพ์ Ender's Games ภาคต่อๆมาเลยครับ คุณสามปอยหลวง ผมมาทันตอนโปรวิชั่นพิมพ์ สถาบันสถาปนาเมือสัก 10 ปีที่แล้วนี่เองครับ ชอบอ่านแนวนี้เพราะความคิดของเรื่องมันแหวกๆ แปลกๆดีครับ ถึงแม้บางเรื่องจะเขียนไม่สนุกก็ตามครับ โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:02:07 น.
มีรีปริ้นไหม?
น่าอ่านมากเลย ใครรีปริ้นให้หนูที อยากได้ โดย: Prophet_Doll วันที่: 3 พฤศจิกายน 2557 เวลา:14:04:03 น.
อยากให้พิมพ์ใหม่เหมือนกัน แต่สงสัยคงจะยากมากๆสำหรับแนวนี้อ่ะครับ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 5 พฤศจิกายน 2557 เวลา:14:29:49 น.
น่าสนใจครับ
ผมอยากอ่านแนวไซไฟ ปกติไม่ค่อยได้อ่านที่เป็นงานแปลเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสจะลองหามาอ่านดูครับ โดย: ruennara วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:3:15:18 น.
คุณ ruennara นิยายวิทยาศาสตร์แปล สมัยนี้หายากมากๆครับ จะพยายามรีวิว เผื่อกระตุ้นตลาดได้มั้งครับ
คุณ ศล ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ งานของ Arthur C.Clarke กับ Isaac Asimov นี่ขึ้นหิ้ง สมควรอ่านอยู่แล้วครับ ถึงแม้บางครั้งจะงงๆบ้าง เรียบๆ เรื่อยๆบ้าง แต่อ่านแล้วเพลินดีครับ โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 2 มีนาคม 2558 เวลา:16:15:13 น.
เพิ่งอ่านนิยายเรื่องนี้จบ ชอบมากครับ
โดย: saranyu (สมาชิกหมายเลข 2003001 ) วันที่: 23 สิงหาคม 2560 เวลา:12:23:19 น.
|
สมาชิกหมายเลข 755059
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |