World Without End ไม่มีวันสิ้นโลก พิภพจะสถิตตราบชั่วนิรันดร์




ไม่มีวันสิ้นโลก พิภพจะสถิตตราบชั่วนิรันดร์ World Without End (2007)

โดย Ken Follett สนพ.นกฮูก แปลโดย ดร.กุลธิดา บุณยะกุล-ดันนากิ้น

หลังวันฮัลโลวีนปี 1327 เด็ก 4 คน ออกจากโบสถ์ Kingsbridge ทั้ง 4 คนมีทั้งหัวขโมย นักเลง เด็กอัจฉริยะ และเด็กผู้หญิงผู้อยากเป็นหมอ ในป่าไม้ได้เห็นผู้ชาย 2 คนถูกฆ่าตาย

เรื่องราวและเหตุการณ์ใน World Without End เกิดขึ้นในเมือง Kingsbridge นับ 2 ศตวรรษผ่านมาหลังจากวิหารงดงามวิจิตรแบบ Gothic สร้างเสร็จ สำนักสงฆ์และวิหารแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางของความรัก ความเกลียดชัง ความโลภ ความทระนง ความทะเยอทะยาน และการแก้แค้น

ชีวิตทั้ง 4 คนจะพัวพันกันต่อไปไม่มีจบสิ้น จะมีโอกาสได้เห็น ความมั่งคั่ง ทุพภิกขภัย โรคระบาดและสงคราม เด็กชายคนหนึ่งจะเดินทางท่องโลก แต่จะกลับบ้านในที่สุด อีกคนจะมีอำนาจเป็นขุนนาง มีใจเสื่อมทราม เด็กหญิงคนหนึ่งจะท้าทายความยิ่งใหญ่ของโบสถ์ยุคมืด และอีกคนจะไล่ตามความรักซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทั้ง 4 จะมีชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของการเข่นฆ่า แบบไม่มีคำอธิบาย

คนดีไม่จำเป็นว่าจะได้ผลตอบแทนในทางดีเสมอไป และคนร้ายก็ไม่ถูกลงโทษไปเสียทุกครั้ง นี่คือโลกของความจริง โลกซึ่งคนเหมาะสมเท่านั้นจะมีชีวิตอยู่รอด

หนังสือภาคต่อจาก เสาค้ำโลก (Pillars Of The Earth) เมื่อปี 1989 เห็นบอกกันว่าไม่จำเป็นต้องอ่านภาคแรกก็รู้เรื่อง แถมหนังสือเสาค้ำโลกก็หายากมาก ผมเจออยู่ Website นึง ราคาขายตั้ง 1,200 บาท เลยขอบาย ผ่านโลด แถมต้องใช้เวลาในการอ่านพอสมควรเลยอีกต่างหากถ้าซื้อมา ก็เล่นหนากว่า 1,912 หน้าในแบบ Pocket Book

ส่วนเล่มนี้หนา 1,326 หน้า หนักมากๆตอนอ่าน นอนอ่านนี่ต้องระวัง ถ้าหนังสือหล่นทับใส่หัวท่าทางจะน็อกนับ 100 ก็ไม่ตื่นแน่ๆ 55

ผมอ่านจบใช้เวลา 1 เดือนพอดี เผอิญเป็นคนที่อ่านหนังสือไม่เร็วมาก ตอนแรกๆก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะจบไหมน้อ แต่มีประสบการณ์กับหนังสืออย่างหนาพันหน้ามาแล้วอย่าง Red Storm Rising ของ Tom Clancy ที่ใช้เวลาร่วม 4 เดือนถึงจะจบ เหมือนถูกฉีดวัคซีนป้องกันมาแล้ว ต้องขอบคุณลุง Tom แท้ๆ

เปิดเรื่องมาก็น่าสนใจแล้ว เมื่อเด็ก 4 คนอย่าง Merthin, Caris, Gwenda และ Ralph ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่อัศวินอย่าง Thomas Langley ต่อสู้กับชายลึกลับที่มีอาวุธ 2 คน ที่หมายเอาชีวิต Thomas ในป่า แล้วท้ายที่สุด Thomas ก็รอดด้วยธนูของ Ralph ที่ช่วยเหลือไว้ หลังจากนั้น Thomas ก็ฝังจดหมายลึกลับไว้ในป่าแห่งนี้ โดยมี Merthin เป็นช่วยขุดหลุมและเป็นพยานรับรู้เพียงคนเดียว ซึ่งให้สัญญาว่าจะไม่บอกใครจนกว่า Thomas จะตาย ไม่เช่นนั้นภยันตรายจะมาถึงแก่ตัวเขาและ Thomas เอง

ขณะเดียวกันเมือง Kingsbridge ที่มีสำนักสงฆ์เป็นศูนย์กลางอำนาจ การปกครอง โดยมีผู้นำอย่างเจ้าอาวาส Anthony ซึ่งเป็นคนอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลง ขณะที่เทศกาลขนแกะประจำปีของเมือง อันเป็นหัวใจเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด ทำรายได้ให้กับเมืองอย่างงาม กำลังอยู่ในภาวะถดถอยทางการค้า อันเนื่องจากสะพาน Kingsbridge คับแคบ เก่าเกินไป ทำให้การเดินทาง การค้าขายไม่สะดวก ประกอบกับมีคู่แข่งอย่างงานเทศกาลที่เมือง Shirling ที่อยู่ใกล้เคียงกันอีกด้วย ซึ่งการสร้างสะพานใหม่ต้องผ่านความเห็นชอบอย่างเจ้าอาวาส Anthony เสียก่อน ถึงแม้การค้าขายจะอยู่ในมือของสมาคมทางศาสนาที่มี Edmund Wooler เทศมนตรีเป็นผู้นำ พี่ชายแท้ๆของท่านเจ้าอาวาสก็ตาม

จนท้ายที่สุดก็สะพาน Kingsbridge ก็เกิดถล่ม จนทำให้ทุกอย่างในเมืองนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปหมดเมื่อเจ้าอาวาส Anthony ก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากบาทหลวงด้วย โดยมีคนสำคัญอย่าง Godwyn ที่เป็นลูกของ Petranilla พี่สาวของ Edmund Wooler เป็นคนวางแผนการทุกอย่างที่นำตัวเขาไปสู่ตำแหน่งเจ้าอาวาสได้อย่างแยบยล พร้อมด้วยเล่ห์เพทุบายอย่างร้ายกาจ

แล้วเมื่อ Godwyn ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่ทุกอย่างในเมืองก็ผันแปรไปตามอำนาจของเขาอย่างแท้จริง

นื้อเรื่องก็ประมาณนี้แหละ คงเล่าไม่ได้หมด ตัวละครก็เยอะมากๆ แต่ที่สำคัญจริงๆก็ 5-6 ตัวอย่าง

Godwyn ลูกพี่ลูกน้องกับ Caris เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คิดเล็กคิดน้อย จอมวางแผน ที่ฝันอยากเป็นเจ้าอาวาส ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นคนที่เจ้าอาวาส Anthonyและบาทหลวง Richard โปรดปรานที่สุด แต่ก็สามารถทำทุกอย่างให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายได้ โดยมีแม่ที่เขากลัวและมักซ่อนความอ่อนแอไม่ให้ท่านเห็นอย่าง Petranilla คอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือ

Merthin ลูกชายของอัศวินตกอับ ผู้มีความฝันอยากสร้างโบสถ์ที่สูงที่สุดในประเทศ ไม่มีความแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้แม้แต่น้อย จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อเท่าใดนัก จึงถูกส่งไปเป็นช่างไม้ฝึกหัดกับ Elfric (แต่งงานกับ Alice พีสาวของ Caris) ช่างไม้ช่างก่อสร้างคนสำคัญของเมือง แต่ก็ฝึกหัดไม่จบ ก็มีเรื่องกับครอบครัว Elfric ซะก่อน ทำให้ต้องขวนขวายให้เป็นที่ยอมรับของชาวเมือง เป็นคนที่มีความอัจฉริยะทางวิศวกรรมก่อสร้างมาก ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา เป็นคู่รักกับ Caris

Ralph น้องชายของ Merthin แตกต่างจากพี่ชายเป็นอย่างมาก มีความเป็นนักรบอยู่ในตัว ป่าเถื่อน เจ้าคิดเจ้าแค้น วางอำนาจบาตรใหญ่ ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องคิด แรกเริ่มถูกส่งตัวไปเป็นคนรับใช้ Earl Roland แห่งเมือง Shirling และแอบหลงรัก Lady Philippa ภรรยาของ Earl Roland มาตลอด หลังจากนั้นก็รอดตายจากโทษประหารฐานข่มขืน Annet สาวสวยที่ Wulfric ชอบอย่างหวุดหวิด อันเนื่องจากถูกเกณฑ์ไปรบที่ฝรั่งเศสพอดี ไต่เต้าจนได้เป็น Earl แห่งเมือง Shirling ในที่สุด แต่ก็มีจุดจบที่น่าอนาถ

Caris ลูกสาวของ Edmund Wooler เป็นคนรักของ Merthin ผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ในยุคมืดที่ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นหมอได้ มีความคิดเป็นตัวของตัวเองสูง ฉลาด หัวก้าวหน้า ช่างสังเกตุ ไม่อยากแต่งงาน เพราะมองภาพที่ตัวเองเป็นภรรยาที่จะต้องคอยดูแลทุกอย่างภายในบ้านไม่ออก ในที่สุดถูก Godwyn และ Philemon พี่ชายของ Gwenda เพื่อนรัก ร่วมมือกับ Elfric พี่เขย กล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพื่อกำจัดไม่ให้ลงเลือกตั้งเป็นเทศมนตรี เพื่อขอกฎบัตรปกครองเมืองเป็นอิสระ ที่อำนาจการปกครองทุกอย่างไม่ต้องขึ้นกับสำนักสงฆ์ทุกอย่าง ตามแนวคิดของเธอเอง จนต้องบวชเป็นแม่ชี เพื่อเอาชีวิตรอด ดับฝันการแต่งงานของ Merthin

Gwenda ลูกสาวของ Jobie ทาสไร้ที่ดินแห่งหมู่บ้าน Wigleigh เพื่อนรักของ Caris หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ชีวิตบัดซบตั้งแต่เล็กๆเมื่อถูกพ่อสอนให้ลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิตให้ครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น แถมยังถูกพ่อขายให้พ่อค้าจนๆเพื่อแลกกับวัวตัวเล็กๆ เพื่อที่พ่อค้าคนนั้นจะนำเธอไปขายเป็นโสเภณีอีกทอดนึง เธอแอบหลงรัก Wulfric ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ยอมแม้กระทั่งตกเป็นเบี้ยล่างให้กับ Ralph เพื่อที่จะช่วย Wulfric ให้ได้สิทธิในที่ดิน

Wulfric ลูกของทาสติดที่ดินแห่งหมู่บ้าน Wigleigh หนุ่มหล่อ รูปร่างดี ขยันขันแข็ง ตรงไปตรงมาจนเกือบซื่อ เป็นคนรักกับ Annet ลูกสาวของทาสติดที่ดินที่มีที่ดินมากที่สุดในหมู่บ้าน Wigleigh ชะตาชีวิตพลิกผัน เมื่อเคยมีเรื่องบาดหมางชก Ralph จนจมูกหัก เนื่องจาก Ralph มาลวนลาม Annet และเมื่อครอบครัวมาจากไปจากโรคระบาด Black Death ทำให้สิทธิในที่ดินต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Lord คนใหม่อย่าง Ralph นั่นเอง ท้ายที่สุด ที่ดินก็ไม่ได้ Annet ก็ทิ้งไปแต่งงานกับคนอื่น ต้องอยู่กินกับ Gwenda ที่ตนไม่ได้รัก เผชิญกับวิบากกรรม ทั้งการกลั่นแกล้งจาก Ralph ทั้งความยากจนจากที่ไม่มีสิทธิในที่ดิน ต้องรับจ้างแลกค่าแรงไปวันๆ

โห...เล่นเอาเหนื่อย แค่รีวิวนะเนี่ย...

Follett ฉายภาพระบบขุนนาง ศักดินา อำนาจของสำนักสงฆ์ในยุคมืด สงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส โรคระบาดที่ไม่ได้คร่าแค่ชีวิตผู้คน แต่เผยด้านมืดของผู้คนในสังคมออกมา สภาพเศรษฐกิจการค้าในยุคนั้น ที่เพียงสะพานถล่มก็สร้างความสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจของเมืองในยุคนั้นเป็นอย่างมาก คงประมาณตลาดหุ้นล่มในยุคนี้กระมัง

ตัวละครของ Follett มีมิติทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง เกลียดชัง อิจฉาริษยา เจ้าเล่ห์เพทุบาย พูดอย่างทำอย่าง ไม่มีสัจจะ อาฆาตมาดร้าย รักษาอำนาจ ยึดมั่นถือมั่น มีความฝัน ครบทุกมิติจริงๆ ทำให้เราติดไปกับชะตากรรมของตัวละครแต่ละคนไป ความหนาของหนังสือจึงไม่มีผล ทำให้น่าเบื่ออย่างที่เกรงๆ อาจจะมีเอื่อยไปบ้างในช่วงที่ Ralph ไปรบทำสงครามที่ฝรั่งเศส กับช่วงหลังที่ Godwyn หมดบทบาทลงไปแค่นั้นเอง

มีฉากที่ Caris ซึ่งเป็นแม่ชี ตะลุยไปฝรั่งเศสในช่วงสงครามกับผู้ช่วย เพื่อร้องเรียนต่อบาทหลวง Richard แล้วพบผู้ที่ประสบภัยจากสงคราม แล้วจึงแจกอาหารช่วยเหลือ ทั้งที่ๆตัวเองอาจมีอาหารไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพก็ตาม

“พ่อฉันเกลียดคนที่ชอบอ้างเรื่องศีลธรรม เราทุกคนเป็นคนดีในเวลาที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ ท่านเคยบอกว่านั่นไม่นับ คนเราต้องการกฎเกณฑ์เวลาคิดจะทำความผิด เมื่อเรากำลังจะร่ำรวยจากข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หรือจูบปากน่ารักน่าใคร่ของภรรยาเพื่อนบ้าน หรือโกหกเพื่อให้พ้นจากความเดือดร้อน ความซื่อสัตย์ของคนเราก็เหมือนดาบ ท่านว่าอย่างนั้น เราไม่ควรเอามากวัดแกว่ง จนกว่าจะถึงเวลาทดสอบมัน ไม่ใช่ว่าท่านรู้เรื่องดาบมากมายหรอกนะ”

หรือตอนที่ Lady Philippa ปฏิเสธการแต่งงานกับ Ralph โดยตอบ Sir Gregory Longfellow ที่เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ว่า

“มนุษย์มีสิ่งหนึ่งในตัวเราที่กันไม่ให้เราทำสิ่งเหล่านั้น เป็นความสามารถ...ไม่ใช่สิ มีจิตใจที่รับรู้ถึงความเจ็บปวด ของผู้อื่น คุณ...Sir Gregory คุณข่มขืนผู้หญิงไม่ได้ เพราะคุณจะเข้าถึงความโศกเศร้าเสียใจและความเจ็บปวดของหล่อน คุณจะทุกข์ทรมานไปกับหล่อนด้วย และนั่นบังคับให้คุณต้องเลิกทำ คุณทรมานหรือฆ่าใครไม่ได้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน คนซึ่งขาดความเข้าใจในความเจ็บปวดของคนอื่นนั้นไม่ใช่มนุษย์ แม้จะเดินสองขาและพูดภาษาอังกฤษก็ตาม”

หล่อนโน้มตัวมาข้างหน้า ลดเสียงลง แต่ถึงกระนั้น Ralph ก็ยังได้ยินชัดเจน “และฉันก็จะไม่นอนเตียงเดียวกับสัตว์หรอกค่ะ”

ป.ล.อาจมีฉากติดเรทบ้าง อยู่พอสมควร จริงๆอยากให้คะแนนมากกว่านี้แต่ คนที่จะอ่านเรื่องนี้นี่ต้องมีเวลา และกำลังข้อมือที่ดี 55 อีกทั้งต้องระวังหนังสือบิออกด้วยถ้าถือไม่ดีนี่

คะแนน 8.9/10




Create Date : 31 กรกฎาคม 2556
Last Update : 29 ตุลาคม 2560 18:07:34 น.
Counter : 3109 Pageviews.

8 comments
  
หนังสือแปลของสนพ.นกฮูกมีหลายเล่มที่อยากอ่าน แต่ติดตรงสำนวนการแปลทุกทีเลยค่ะ ไว้คงต้องลองดูใหม่
โดย: คุณหนูฤดูร้อน วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:18:29:13 น.
  
เล่มนี้อ่านแล้วชอบนะคะ ผู้แปล แปลไว้ดีมากด้วยค่ะ
เห็นว่า อาจจะมีการพิมพ์ Pillars Of The Earth ออกมาใหม่นะคะ (แปลใหม่ด้วย ) ของสนพ.นกฮูกนี่แหละค่ะ
โดย: Serverlus วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:21:01:22 น.
  
ผมก็ชอบนะ แต่ต้องมีเวลาอ่านมากๆนิดนึงน่ะครับ

สำวนแปลก็อ่านลื่นไหลไม่มีสะดุดนะครับ มีนิดๆตรง ที่ใช้คำว่า "ให้" แทน "รู้สึก" แค่นั้นเองที่ดูแปร่งๆ แต่ไม่มีผลอะไรเลยจริงๆกับความสนุก

ผมว่าสำนักพิมพ์กล้าแปลงานเล่มหนาๆขนาดนี้ แล้วไม่ใช่แนว Fantasy ซึ่งขายง่ายกว่ากัน ผมก็นับถือแล้วล่ะครับ

โชคดีอีกอย่างที่ผมซื้อมาในราคา 50 % เอง

แต่ถ้า นกฮูก พิมพ์ Pillars Of The Earth มาใหม่นี่ ต้องตอบแทนด้วยการอุดหนุนแน่นอน
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:22:02:47 น.
  
ตอนแปลแทบจะแยกต้นฉบับเป็นส่วนๆ เลยค่ะ มันหนาอะไรจะปานนั้น
ขอถือโอกาสโฆษณานิดนะคะ ระหว่างคอย Pillars of the Earth ฉบับพิมพ์ใหม่ก็อุดหนุน Fall of Giants เล่มแรกของ Century Trilogy ก่อนนะคะ เล่มหนาพอๆ กับ World Without End นี่เลยค่ะ ขนาดอ่านทวนแต่ละรอบยังใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลย
โดย: กุลธิดา (kdunagin ) วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:6:08:11 น.
  
K.กุลธิดา ผู้แปลมาเองเลย ขอบคุณนะครับที่แปลให้อ่าน แค่อ่านเอง ยังเหนื่อยเลย 55 นี่ต้องแปลด้วย สุดยอดมากๆ ยกนิ้วให้เลย

Fall of Giants หนาพอๆกัน เลยนะครับ แถมเป็น Trilogy ด้วย รู้สึกว่าจะเกี่ยวกับ World War I, การปฏิวัติรัสเซีย น่าสนใจๆ

Yeah!!! Pillars of The Earth พิมพ์ใหม่ ตั้งใจรอด้วยใจระทึกพลัน
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 2 สิงหาคม 2556 เวลา:14:27:01 น.
  
กำลังอ่านอยู่เหมือนกัน ต้องยอมรับว่าคนแปลอุตสาหะสูงมาก เพราะคนอ่านยังแทบแย่ จะมุ่งมั่นจะเอาชนะความหนาให้ได้ คอยดูสิ :)
โดย: ชรินเลขะ วันที่: 11 สิงหาคม 2556 เวลา:17:43:36 น.
  
เอ่อ ซื้อ Fall of Giants ฉบับภาษาอังกฤษมา ตั้งใจว่า สักวันจะอ่าน และน่าจะเป็นสักวันในเร็ววัน แต่ปรากฏว่า สักวันนั้นก็มาไม่ถึงสักที เพราะหนามาก เห็นแล้วท้อ จะรอฉบับภาษาไทยเด้อ ตลาดหนังสือไทยควรส่งเสริมนิยายประเทืองภูมิรู้และปัญญาแบบนี้เยอะ ๆ ขอเอาใจช่วยคนแปลด้วยคน
โดย: ชรินเลขะ วันที่: 11 สิงหาคม 2556 เวลา:17:50:39 น.
  
สู้ๆครับ K.ชรินเลขะ ผมว่าอ่านจบแล้ว เราจะไม่กลัวหนังสือหนาๆอีกต่อไป 55
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:0:26:32 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 755059
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]



New Comments
กรกฏาคม 2556

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog