Foundation Trilogy สถาบันสถาปนา ไตรภาค

  ไฟล์:สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง โปรวิชั่น.jpg

สถาบันสถาปนา ไตรภาค Foundation Trilogy โดย Isaac Asimov

สนพ.ProVision แปลโดย บรรยงก์

สถาบันสถาปนา (Foundation) (1951)

จักรวาลที่ประกอบด้วยดาวเคราะห์นับล้านดวง รวมเป็นอาณาจักรเดียว จักรวรรดิสากลจักรวาล มีอาณาเขตจากปลายหนึ่งจดอีกปลายหนึ่งของกาแลกซี่ทางช้างเผือก มีพลเมืองกว่าล้านยกกำลังสี่ (1,000,0004) มีพระมหาจักรพรรดิเป็นประมุข

แต่ก็เฉกเช่นอาณาจักรต่างๆ ในอดีตที่รุ่งเรือง ก็มีดับสลาย จักรวรรดิสากลจักรวาล นี้กำลังเริ่มเสื่อมโทรมลง แต่ด้วยเหตุที่ว่าใหญ่ยิ่งกว่าใหญ่ การเสื่อมโทรมลงจึงค่อยเป็นค่อยไป กินเวลานานยิ่งกว่านาน ช่องว่างระหว่างความรุ่งเรืองเดิมกับความรุ่งเรืองใหม่ที่จะเกิดขึ้น จึงกินเวลานานแสนนานกว่า 30,000 ปี

Hari Seldon นักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้บุกเบิกวิชาการด้าน อนาคตประวัติศาสตร์ (Psychohistory)ได้สังเกตเห็นอาการเสื่อมโทรมดังกล่าว จึงคิดแก้ไข ย่นช่องว่างนั้นให้สั้นลงเหลือเป็นอนารยะยุคเพียง 1,000 ปี โดยการก่อตั้ง  สถาบันสถาปนา (Foundation) ขึ้นนั่นเอง

แรกเริ่ม Asimov แต่งเรื่องสถาบันสถาปนาเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว (Novella) เป็นตอนๆลงในวารสาร Astounding Science-Fiction ตั้งแต่ตอนแรกในปี 1942 แล้วหลังจากนั้นก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆเรื่อยมา จนมาพิมพ์รวมเล่มในปี 1951 นับถึงตอนนี้นี่ก็ร่วมๆ 62 ปีแล้ว (Lord Of The Rings นั้นปี 1954) แต่ก็ยังขึ้นหิ้ง Classic เมื่อกล่าวถึงนิยายวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นเริ่องแรกๆแน่นอน (ถ้าไม่นับนิยายของ H.G.Wells, Jules Vernes นะ คู่นี้นี่ 100 ปีขึ้นไป) 

และก็เพราะมันไม่ใช่นิยายเรื่องยาว แต่เป็น Novella 5 เรื่อง ที่นำมาร้อยเรียงเชื่อมโยงกัน Plot เรื่องจึงไม่ได้สลับซับซ้อนมากมาย แล้ว Hari Seldon ก็เป็นตัวละครหลักแค่ในตอนแรกเท่านั้น โดยถูกเนรเทศจากทรานทอร์ ศูนย์กลางของจักรวรรดิไปยัง พิภพเทอร์มินัส ที่อยู่สุดขอบจักรวาลเลย แล้วได้รวบรวมคนเพื่อจัดตั้งคณะผู้จัดทำ Encyclopedia Galactica ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และสรรพวิทยาการต่างๆไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง 

ตอนที่เหลือดำเนินเรื่องผ่านตัวเอกอย่าง Salvor Hardin นายกเทศมนตรี, Hobor Mallow พ่อค้า ในระยะเวลาที่ดำเนินไปประมาณ 50-150 ปีจากที่ Seldon ถูกเนรเทศมา แล้วก็มีวิกฤตการณ์ต่างๆเกิดขึ้น คอยรบกวนแผนการของ Seldon อยู่ตลอดเวลา (Hari Seldon โผล่มาที่ห้องรโหฐานเท่านั้น) 

แล้วแผนการของSeldon จะลุล่วงไปได้ด้วยดีหรือไม่ อย่างไร ในเมื่อวิชาอนาคตประวัติศาสตร์ที่ Seldon เป็นผู้บุกเบิกไว้นั้น ทำนายอนาคตได้แต่มวลประชากรหมู่มาก ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าจากปัจเจกบุคคล หรือคนจำนวนน้อยๆได้ ว่าจะตัดสินใจแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆเช่นไร

สถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ (Foundation And Empire) (1952)

Hari Seldon ได้ก่อตั้งสถาบันสถาปนาขึ้นมา 2 แห่ง เพื่อดำเนินการแก้ไขความเสื่อมโทรมของจักรวาล โดยแห่งแรกนั้นเป็นที่รู้กัน แห่งที่สองนั้น ไม่มีใครเคยหาพบ โดยที่แต่ละแห่งนั้นตั้งอยู่คนละสุดปลายของกาแลกซี่ทางช้างเผือก

เมื่อผ่านพ้นไป 200 ปี อำนาจของสถาบันสถาปนาแห่งแรกก็เริ่มถูกท้าทายโดยจักรวรรดิ ที่แม้จะเสื่อมโทรมลงไปมาก แต่ก็ยังมีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง ซึ่งการเผชิญหน้ากันนี้ก็ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของแผนการ Seldon และน่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากไม่มีตัวแปรอื่นเข้ามาแทรกแซงเสียก่อน อย่าง มนุษย์กลายพันธุ์ แปลกประหลาดนามว่า มโนมัย (The Mule) ได้เข้ามาขวางวิถีแห่งอนาคตประวัติศาสตร์จนไขว้เขว ด้วยอำนาจจิตของมันที่ เรียกว่า มโนมยิทธิ 

แต่มีหญิงสาวนามว่า Bayta Darell เพียงผู้เดียวที่กล้ายืนหยัดต่อต้านอำนาจของมโนมัย เธอมีหนทางที่จะทำสำเร็จหรือไม่ แล้วด้วยวิธีการไหน   

ในเล่มที่ 2 นี้ประกอบด้วย Novella 2 เรื่อง ซึ่งมีความยาวในแต่ละเรื่องมากกว่าเล่มที่ 1 องค์ประกอบของเรื่องจึงต่อเนื่อง สลับซับซ้อนมากกว่า รวมถึงอ่านได้สนุก ลื่นไหลกว่าเล่มที่ 1

ในส่วนแรกนั้นจะเล่าถึงตอนที่ นายพล Bel Riose แม่ทัพแห่งจักรวรรดิ ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ Cleon II  วางแผนนำกำลังรบบุกสถาบันสถาปนาแห่งที่ 1 ที่ได้แยกตัวออกจากจักรวรรดิเป็นพิภพเอกเทศ  ภายหลังผ่านระยะเวลาแห่งการตั้งสถาบันสถาปนามาแล้วกว่า 200 ปี ซึ่ง Bel Riose ก็ไมรู้ว่าสถาบันสถาปนาแห่งที่ 1 อยู่ส่วนใดของจักรวาล จึงต้องเสาะแสวงหาแล้ววางแผนการรบอย่างรัดกุม แล้วสถาบันสถาปนาแห่งที่ 1 จะรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ที่ถูกรุกรานตามแผนการของ Seldon ได้หรือไม่

ในส่วนที่ 2 เป็นเรื่องของมโนมัย (The Mule) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของ Trilogy นี้เลยก็ว่าได้ Asimov เล่าเรื่องได้อย่างแนบเนียน มโนมัยนั้นชนะศึกในเขตพิภพต่างๆได้อย่างง่ายดายและแปลกประหลาดมากๆ เพื่อจุดมุ่งหมายเดียว นั่นคือ ครอบครองจักรวาลทั้งหมด

ขณะเดียวกัน Bayta Darell ชาวสถาบันสถาปนาและ Toran Darell พ่อค้า ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากัน ได้ร่วมมือกันกับ Ebling Mis นักจิตวิทยาและนักวิทยาการแห่งสถาบันสถาปนา และ Han Pritcher ร้อยเอกประจำกรมสงครามแห่งสถาบันสถาปนา ผู้มีหน้าจารกรรมข้อมูล เป็นสายลับตระเวณไปตามพิภพต่างๆ เพื่อหาข่าวให้สถาบันสถาปนา  ช่วยกันสืบค้นหาสถานที่ที่คาดว่ามโนมัยอยู่ รวมทั้งวิเคราะห์วิธีการที่มโนมัยใช้ในการเอาชนะข้าศึกศัตรู เพื่อหาจุดอ่อนของมโนมัยให้ได้

แล้วเมื่อมโนมัยแผ่ขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Bayta, Toranและ Ebling จะต้องช่วยกันค้นหาสถาบันสถาปนาแห่งที่ 2 ที่เป็นเพียงความหวังเดียวเท่านั้นที่จะต่อกรกับมโนมัยได้ ให้พบโดยเร็วที่สุด พวกเขาทั้ง 3 คน รวมทั้ง Han Pritcher จะตกอยู่ภายใต้มโนมยิทธิของมันหรือไม่   

สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง (Second Foundation) (1953)

เมื่อแผนการของ Seldon ถูกสั่นคลอนโดยอำนาจอันแผ่ขยายของมโนมัย ความหวังเดียวที่จะกอบกู้แผนการและนำพามนุษยชาติทั้งมวลในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ให้ผ่านพ้นยุคอนารยะยุค 30,000 ปี จึงตกเป็นหน้าที่ของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ซึ่งกล่าวกันว่าถูกก่อตั้งขึ้นอย่างลึกลับจนเป็นตำนาน ไม่ปรากฎทั้งที่ตั้งและตัวตนอย่างชัดเจน

แต่ดูเหมือนว่าทั้งมโนมัยและชาวสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่ง จะเชื่อว่ามีอยู่จริง และต่างก็พยายามค้นหาอย่างเต็มสติกำลัง โดยมีจุดมุ่งหมายตรงกันข้ามกัน มโนมัยนั้นมุ่งค้นหาสถาบันสถาปนาแห่งที่สองเพื่อกำจัดอุปสรรคสุดท้ายในการครอบครองจักรวาล

ในขณะที่สถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งนั้นหวังจะได้ผู้ช่วยโค่นล้มมโนมัย และรื้อฟื้นแผนการ Seldon ให้กลับเข้ารูปเข้ารอย ในความพยายามของชาวสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งนั้น ยังแฝงด้วยธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ คือความหวาดเกรงในสิ่งที่ไม่ปรากฎตัวตนชัดเจน และไม่ชอบให้ใครมาครอบงำบงการชีวิต

ดังนั้นหากสถาบันสถาปนาแห่งที่สองมีตัวตนอยู่จริง ก็ต้องเผชิญภัยทั้งสองด้าน ทั้งจากมโนมัยและพวกเดียวกันเองที่ไม่ชอบให้ใครเด่นกว่า 

ในเล่มที่ 3 นี้ก็ประกอบด้วย Novella 2 เรื่องเช่นกัน แต่เนื้อเรื่องดูจะกลมกลืนต่อเนื่องคล้ายนิยายขนาดยาวมากกว่าเล่มที่ 2 ขึ้นไปอีก ผมชอบเล่มนี้มากสุดใน 3 เล่มนะ

ส่วนแรกนั้นจะเป็นการค้นหาสถาบันสถาปนาแห่งที่ 2 โดย Bail Channis ลูกน้องคนสนิทของ มโนมัย ที่ไม่โดนปรับแต่งภาวะจิตใจ กับ Han Pritcher ออกเดินทางตามหาสถาบันสถาปนาแห่งที่ 2 ตามพิภพต่างๆ ที่น่าจะเป็นไปได้

ในส่วนที่ 2 นั้น จะเป็นเรื่องของ Arcadia Darell หลานสาวของ Bayta Darell นั่นเอง ที่แอบออกเดินทางไปกับลุง Homir Mann ซึ่งไปตามร่องรอยของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ที่วังเก่าของมโนมัยที่พิภพคาลกัน ซึ่งปัจจุบันปกครองโดยราษฎรหมายเลขหนึ่ง (ตามตำแหน่งของมโนมัย)คนปัจจุบันอย่าง Lord Stettin โดยมีมือขวาและเมียลับๆอย่าง Lady Callia คอยสอดส่องดูแล หลังจากนั้นการผจญภัยของ Arcadia ก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความสลับซับซ้อนของแผนการของฝ่ายต่างๆ จนนำไปสู่คำตอบของสถาบันสถาปนาแห่งที่สองที่ค้นพบจนได้ 

สรุป 

การดำเนินเรื่องของ Asimov ทั้ง 3 เล่มนั้น มีบางช่วงที่อาจจะเอื่อยๆบ้าง โดยเฉพาะเล่มแรก แต่พอเริ่มแผนการ Seldon ก็เริ่มสนุก มีความซับซ้อนของเนื้อเรื่องมากขึ้น น่าติดตามมากขึ้น แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะปรู๊ดปร๊าดอย่าง Harry Potter โดยเด็ดขาด เพราะ Asimov เขียนเรื่องไว้นานมากแล้วอย่างที่บอก เกือบจะ 70 ปีแล้ว (ถือว่าปู่มาเล่าเรื่องเปี่ยมจินตนาการให้หลานๆฟังละกัน 55)

โลกที่ Asimov สร้างนั้นอลังการ จินตนาการกว้างไกลมากๆ การเฉลยแผนการ คำตอบของการค้นหาสถาบันสถาปนาแห่งที่ 2 นั้นเป็นวิทยาศาสตร์มากๆ มีเหตุผล เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ (จริงๆแล้ว เราอาจจะถูกสร้างกรอบให้คิดตามตรรกะอย่างเดียว โดยขาดความคิดสร้างสรรค์) 

ทั้ง 9 Novella ในไตรภาคนี้ ผมชอบ 3 Novella หลังสุด ก็คือตั้งแต่มีมโนมัยโผล่ออกมา (ครึ่งเล่มหลังของเล่ม 2 และเล่ม 3 ทั้งหมด) ชอบที่ Asimov บรรยายปมของมโนมัยไว้ว่า

"แต่ท่ามกลางความหรูหราโอ่อ่า เจริญรุ่งเรือง ยากจะหาที่ใดเหมือนนั้น มโนมัยจะได้มีความสำราญใจก็หาไม่

คนทั้งหลายกลัวมัน ยอมทำตามความปรารถนาของมัน ตลอดจนยอมรับนับถือมัน แต่ก็ไม่อยากเข้าใกล้มัน ใครเล่าที่จะเป็นคนที่มองดูรูปร่างของมันแล้วชื่นชม หรืออย่างน้อยที่สุด ไม่นึกเยาะหยัน จะมีก็แต่คนที่มันเปลี่ยนอารมณ์ ปรับจิตใจเสียแล้วเท่านั้น มันน่าอภิรมย์อะไรกับไอ้ความจงรักภักดีจอมปลอมอย่างนั้น มันไม่มีรสมีชาติอะไรเลย มโนมัยได้สร้างแล้วซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศขึ้นมา วางระเบียบพิธีต่างๆ ระเบียบงานทั้งปวง แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนสภาพการณ์ส่วนตัวของมันให้วิเศษวิโสขึ้น อย่างดีที่สุด ก็เป็นได้เพียง ราษฎรหมายเลขหนึ่ง ที่ต้องเก็บตัวอยู่เงียบๆ แต่ลำพัง เพราะกระดากสายตาประชาชน "  

มันสะท้อนถึงอำนาจที่คนอยากเป็นใหญ่เป็นโต เขาแสวงหาไขว่คว้าให้ได้มาได้ดีมากๆ

ป.ล.ไว้อ่านเล่ม 4-10 จบแล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน

คะแนน 9.1/10 




Create Date : 10 เมษายน 2556
Last Update : 12 เมษายน 2556 14:36:00 น.
Counter : 8450 Pageviews.

21 comments
  
ไว้หยิบมาอ่านใหม่ดีกว่า อ่านครั้งแรกงง ๆ เลยอ่านไม่จบ
โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:8:50:01 น.
  
เล่มแรกผมก็รู้สึกคล้ายๆ K.พุดน้ำบุศย์ อาจจะคาดหวังสูงไปนิด เพราะชื่อของ Asimov ประกอบกับ ผมอ่าน The End Of Eternity มาก่อน ซึ่งเรื่องนั้นสนุกมาก ตอนแรกๆก็เลยเอื่อยๆไปหน่อย

แต่พอช่วงท้ายๆก็สนุกใช้ได้เลย โดยเฉพาะเล่ม 2 กับเล่ม 3 สนุกกว่าเล่มแรกครับ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:21:37:34 น.
  






ขอให้มีความสุขมากๆในปีใหม่ไทย 2556 นี้นะขอรับ
โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:23:55:45 น.
  
ไม่ค่อยถนัดแนวนี้เท่าไหร่ค่ะ แหะแหะ
โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 4 ตุลาคม 2556 เวลา:14:28:05 น.
  
K.หัวใจสีชมพู ถ้าอยากอ่านแนวนี้ ผมแนะนำ Ender's Game ก่อนเลย

อ่านง่าย สนุก รวดเร็วกว่า แถมหาง่ายกว่าด้วย เพราะ อมรินทร์ แปลใหม่ พิมพ์ใหม่ด้วยน่ะ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 6 ตุลาคม 2556 เวลา:0:25:26 น.
  
ได้ยินชื่อเสียงมานานค่ะชุดนี้ ตั้งใจว่าเจอเมื่อไหร่จะลองอ่านดูซักหน่อย
แต่จนบัดนี้ยังไม่เคยหากันเจอเลยค่ะ 555
ไม่รู้ตอนนี้ยังหาซื้อได้อยู่หรือเปล่า
โดย: อยากมีเวลาอ่านหนังสือทั้งวัน วันที่: 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา:22:39:50 น.
  
เหมือนจะเคยเห็นมือสองเรื่องนี้ที่ไหนสักแห่ง เพิ่งจะรู้ว่ามี 3 เล่มนะคะ เพราะเห็นขายแค่เล่มเดียวเอง
โดย: คุณหนูฤดูร้อน วันที่: 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:03:37 น.
  
K.อยากมีเวลาอ่านหนังสือทั้งวัน ค่อนข้างหายากมากๆ อย่างผมตอนซื้อในงานเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ยังขาดเล่ม 2 ซึ่งถ้าไม่ได้แฟนช่วยหานี่ สงสัยจะหมดสิทธิ์อ่านครับ แต่เห็นมีคนสแกนให้อ่านใน Website เล่ม 1-3 นี่แหล่ะ

K.คุณหนูฤดูร้อน ทั้งชุด มี 10 เล่ม แต่ Asimov เขียนเล่ม 1-7 เอง ส่วนเล่ม 8-10 เป็น Gregory Benford, David Brin, Greg Bear นักเขียนนิยายวิทยาศาตร์ ชื่อดังยุค 80's เป็นคนเขียนน่ะ

แต่เห็นรีวิวหลายๆที่ เขาบอกว่า Trilogy นี้สนุกสุดแล้ว เล่มอื่นๆจะค่อยๆลดความสนุกลงเรื่อยๆ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2556 เวลา:16:25:50 น.
  
แวะมาทักทายครับ


ป.ล.ผมคงไม่ซื้อหนังสือใหม่มาตอบโจทย์หรอกครับ คงเอาแต่หนังสือในกองดองผมนี่แหละมาอ่าน แค่นี้ก็ไม่รู้ปีนี้จะอ่านหมดเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้
โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:11:36:47 น.
  
@ปิศาจความฝัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ยกเว้นแต่ว่าเป็นหนังสือที่เราอยากได้จริงๆค่อยซื้อดีกว่า จะซื้อเพื่อเล่นตอบโจทย์ Bingo เนอะ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 3 มีนาคม 2557 เวลา:11:13:21 น.
  
น่าสนใจดีนะครับ ให้คะแนนเยอะซะด้วย


ป.ล.จากบล็อกขอบคุณสำหรับข้อมูลนักเขียนนะครับ ตอนอ่านก็เดาไว้แล้วล่ะครับว่านะจเป็นความถนัดพิเศษของนักเขียนเกี่ยวกับทหารและอาวุธสงครามเนี่ย
โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 2 พฤษภาคม 2557 เวลา:16:17:10 น.
  
เรื่องนี้สนุกมากๆค่ะ เข้ามาขอยืนยัน เราอ่านครั้งแรกตอน ม.4 จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีนิยายเรื่องไหนชนะเรื่องนี้ได้ในใจเรา เราให้ที่ 1 เลยล่ะ ^^

เราอ่าน The End of Eternity ก่อนเหมือนกัน แต่เราชอบชุดนี้มากกว่าเยอะนะ The End of Eternity เราว่าเฉยๆ คงลางเนื้อชอบลางยามังคะ

ชุดนี้จริงๅมีทั้งหมด 10 เล่มหรือเปล่านะไม่แน่ใจ มีนักเขียนคนอื่นมาเขียนต่ออีกโดยใช้ Universe เดียวกันอ่ะค่ะ

ไซไฟอีกเรืองที่เราชอบมากๆเลยคือ Rendevouz with Rama โดย Arthur C.Clark ค่ะ เนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรนะแต่คนเขียนเขียนได้สนุกมากกกกก

ชุดหุ่นยนต์ของ Asimov ก็สนุกค่ะ ที้เป็นนิยายนักสืบ 3 เล่มจบ เราจำชื่อไม่ได้แล้วแหะอ่านนานแล้ว
โดย: @Dakki_Chan@ วันที่: 13 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:22:45 น.
  
lคุณปิศาจความฝัน ไตรภาคนี้สนุกครับ เดี๋ยวถ้าอ่านเล่มต่อจะมารีวิวให้อีกครับ คะแนนผมให้ตามความชอบส่วนตัวเลย ไม่มีหลักอะไรทั้งนั้น ส่วนข้อมูลที่ไปตอบใน Blog ไม่เป็นไรครับ ยินดีๆครับ

คุณ@Dakki_Chan@ ท่าทางจะชอบนิยายวิทยาศาสตร์มากๆเหมือนกันนะครับ อ่านหนังสือภาษาอังกฤษด้วย น่าอิจฉาจริงๆครับ
ใช่ครับ ชุดนี้ มี 10 เล่มครับ Asimov เขียนเอง 7 เล่ม ที่เหลือ Gregory Benford, Greg Bear และ David Brin เขียนต่อคนละเล่มครับ

Rendezvous With Rama ยังอ่านค้างอยู่เลย พยายามจินตนาการตามที่ Clarke เขียนอยู่ครับ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2557 เวลา:18:28:46 น.
  
ให้คะแนนสูงแบบนี้น่าหามาอ่านมากเลยครับ
โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 16 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:40:04 น.
  
จริงๆ แทบทุกเรื่องที่กล่าวไปเราอ่านเป็นฉบับแปลหมดเลยนะคะ เพราะเป็นนิยายไซ-ไฟเรื่องแรกๆที่เราอ่านแล้วทำให้เราหลงเข้ามาอยู่ในวังวนนี้เลย มีชุดหุ่นยนต์ที่เหมือนจะอ่านเป็นภาษาอังกฤษเล่มสุดท้ายเองมั้งคะเพราะหาฉบับแปลไม่ได้

Rendezvous with Rama เราว่าการเดินเรื่องมัน gripping ดีค่ะ แบบอ่านแล้ววางไม่ลงลุ้นตลอดว่าจะเจออะไรต่อไปอะ
โดย: @Dakki_Chan@ วันที่: 17 พฤษภาคม 2557 เวลา:22:54:12 น.
  
แวะมาบอกว่า เอาจริงๆ ชอบอ่านหนังสือของหนุ่มเมืองจันท์ คุณประภาสและคุณวินทร์ เรียววาริณ มากกว่าเหมือนกันค่ะ
โดย: natcharat วันที่: 19 พฤษภาคม 2557 เวลา:19:49:45 น.
  
คุณ @Dakki_Chan ผมแวะไปเยี่ยมบล็อกมาแล้วอ่านทั้ง Wind-Up Girl ของ Paolo Bacigalupi และ Voyage From Yesteryear ของ James P.Hogan น่าจะภาษาอังกฤษทั้งคู่เลยนะครับ...lสักพักคงหยิบ Rendezvous มาอ่านแน่ๆครับ ของ Clarke นี่อ่านไปสองเรื่องเองครับทั้ง Fountain Of Paradise กับ 2001 Space Odyssey ส่วนภาคต่อ Odyssey ยังไม่ได้อ่านเลยครับ...ขอบคุงๆครับ

คุณ natcharat ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ ผมก็ชอบทั้ง 3 ท่านมากๆเหมือนกันครับ ผมว่าทั้ง 3 คนนี้เหมือนความคิดตกผลึกแล้วน่ะ ไม่ได้เน้นประดิษฐ์คำให้มันดูสวยหรูนะ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 24 พฤษภาคม 2557 เวลา:1:05:43 น.
  
แวะมาทักทายครับผม
โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 10 กรกฎาคม 2557 เวลา:17:47:13 น.
  
สวัสดีครับ
ผมมาทักทายครับ

แล้วก็add mail ติดตาม blog ของคุณ 755 แล้วครับ
โดย: เครื่องจักรอาวุโส วันที่: 20 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:32:29 น.
  
เล่มนี้ดูอ่านยากนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ไปเยี่ยมบล็อค เพิ่งอ่านสมการเปื้อนเลือดจบเหมือนกันค่ะ อ่านเพลินๆดี ไม่ไเ้อ่านหนังสือมานานมาก
โดย: natcharat วันที่: 18 สิงหาคม 2557 เวลา:20:28:14 น.
  
@คุณเครื่องจักรอาวุโส ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณที่ติดตามครับ

@คุณ natcharat ถ้าคนชอบแนวนี้ เล่มนี้ถือว่าขึ้นหิ้ง ต้องมี ต้องอ่านกันทุกคนเลยล่ะครับ
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 28 สิงหาคม 2557 เวลา:12:31:12 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 755059
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]



New Comments
เมษายน 2556

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog