Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
"Top Secret วัยรุ่นพันล้าน" หนังใหม่จากเรื่องจริงของ "เถ้าแก่น้อย"

TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน


ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์


จับเรื่องจริง “เถ้าแก่น้อย” ทำเป็นหนัง



ภาพยนตร์เรื่องใหม่จากค่าย
จีทีเอช ที่ไม่ใช่แค่หนังวัยรุ่นธรรมดา แต่กำลังเป็นหนังวัยรุ่นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับวัยรุ่นได้รู้จักคิดกันบ้าง
เรื่องราวจากชีวิตเบื้องลึกของวัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้
จากเด็กที่
เกมออนไลน์ เหมือนกับเด็กทั่วๆไปในยุคนี้
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็เมื่อเด็กน้อยคนนี้พลิกชีวิตจากเด็กที่ถูกมองว่าไม่เอาไหน
กลายเป็นนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์ดัง ที่มีรายได้เป็นพันล้านบาทต่อปี


เรื่องราวความลับที่ไม่ลับของนักธุรกิจหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง
30 ปี “ต็อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” ที่ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของสาหร่ายแบรนด์ดัง
“เถ้าแก่น้อย” แล้วตอนนี้เรื่องราวของเขากำลังถูกถ่ายถอดเป็นภาพยนตร์โดยค่าย
จีทีเอช โดยฝีมือการกำกับของ “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” กับภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า
“
Top
Secret วัยรุ่นพันล้าน” นำแสดงโดย พีช - พชร จิราธิวัฒน์ (จาก Suck
Seed ห่วยขั้นเทพ) เปี๊ยก โปสเตอร์ และ มุกไหม-วลันลักษณ์ คุ้มสุวรรณ ส่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 20 ตุลาคม 2554






ย้ง-ทรงยศ พูดถึงที่มาที่ไปกับหนังที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงเรื่องนี้ว่า


“โปรเจ็กต์นี้ผมไม่ได้เสนอด้วยตัวเองว่าอยากจะทำ
แต่เป็นโปรเจ็กต์ที่พี่เก้ง(จิระ มะลิกุล)กับวรรณ(
วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) โทร.มาชวนผมบอกว่า
มีหนังเรื่องหนึ่งที่อยากให้ทำ ผมก็รู้สึกเกร็งๆนอยๆ
คือผมคิดว่าผมไม่ใช่ผู้กำกับที่เก่งแบบเอส(คมกฤษ ตรีวิมลกำกับ
เพื่อนสนิท,สายลับจับบ้านเล็ก แบบปิ๊ง(อดิสรณ์ ตรีสิริเกษฒ กำกับ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
แบบโต้ง(
บรรจง ปิสัญธนะกูล กำกับ ชัตเตอร์ฯแฝด))ที่พอมีโปรเจ็กต์ มาให้ก็กำกับได้
คือผมถ้าไม่ได้ทำงานที่เข้าใจมันจริงๆ ผมจะกำกับไม่ได้เลย ตอนนั้นก็จะกลัวแต่ว่า
พี่เก้งที่สอนผมมา รู้จักผม เขาน่าจะรู้ว่าผมทำอะไรได้ ผมก็เลยอ่านบทสัมภาษณ์
ของต๊อบ อิทธิพัฒน์ ผมก็อ่าน ก็รู้สึกสนุกมาก ต๊อบเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
สิ่งที่ผมชอบคือ ต๊อบไม่ได้เจอ เหตุการณ์อะไรที่เป็นพิเศษในชีวิตเขา
คือเขาเจอเหตุการณ์เหมือนเราแต่เขาคิดไม่เหมือนเราจนทำให้เขาไปถึงจุดนั้นได้
ผมก็คิดว่าอันนี้น่าสนใจ ก็เลยทำให้ผมอยากทำเรื่องนี้
หลังจากนั้นก็มีโอกาสคุยกับต๊อบเพื่อหาข้อมูลนอกเหนือจากบทสัมภาษณ์”


ในมุมของพี่เก้งเขาอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาแบบไหน


“คือพี่เก้งก็มีเรฟเฟอเร็นประมาณหนึ่ง
คือผมมองเห็นประมาณ
Persuit of Happiness คือเป็นหนังแบบคนสู้ชีวิต
เป็นแรงบันดาลใจ คนดูหนังทั่วไปก็ดูมันได้ คือผมดูแล้วชอบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน
ก็จะพยายามทำ สุดท้ายก็จะมีตัวตนอะไรบางอย่างของผมที่จะทำให้มันแตกต่างไปจากหนังที่เป็นจุดเริ่มต้นเรฟเฟอเร็นส์
แต่ก็ไปในทิศทางที่ตัวเรื่องควรจะเป็น พอเริ่มทำ ผมก็อินไปกับชีวิตของต็อบเขา”


เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นชีวิตจริงที่เกิดขึ้นหรือมีดัดแปลงบ้าง


“เป็นการอแด็ปอะไรบางอย่างมากกว่า อย่างในชีวิตของต็อบคนที่ช่วยทอดสาหร่ายกับคั่วเกาลัดเป็นคนละคนกัน
แต่การทำหนังเราต้องทำให้เรื่องมันกลม เราก็ต้องรวบตัวละคร 2
ตัวนี้เป็นตัวเดียวกัน หรือเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตเขาที่มันหนักประมาณหนึ่ง
พอเป็นหนังเราก็ต้องทำให้มันใหญ่ขึ้นคือบริบทเดิมแต่ทำให้มันใหญ่ขึ้น
หรือไดร์ฟของตัวละครหมายถึงแรงผลักดันของตัวละครที่ในชีวิตจริงต็อบเขาทำสิ่งหนึ่งเพื่อบางอย่าง
พอเป็นหนังเราต้องทำให้ใหญ่ขึ้นแต่อยู่บนโครงเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจมาจากหัวใจคาแร็กเตอร์ของตัวต็อบและสิ่งที่ต้อบเจอมาในชีวิต
และวิธีคิดของเขาที่จะต่อสู้ฝ่าฟัน เหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่อง
Social
Network แล้ว
Mark Zuckerberg(ผู้ก่อตั้ง Facebook) ในชีวิตจริงเขาไม่ได้ทะเลาะกับแฟนเขา
แต่ว่าเป็นวันหนึ่งที่เมาๆอยากทำเว็ปเฟซแม็ทช์แล้วก็แกล้งผู้หญิง
สำหรับหนังแค่นี้ไม่พอ เขาก็เลยให้อกหักมาจากแฟน เขาโกรธผู้หญิงแล้วมาทำอย่างนี้ไดร์ฟตัวละครก็เพิ่มมากขึ้น
เนี่ย ก็เป็นวิธีอแด็ปของหนังประมาณหนึ่ง หนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคนจริงๆที่ทำกันออกมา”


ต๊อบ
เขารู้ไหมว่ามีการดัดแปลงไปจากเรื่องจริง


“ตอนแรกพี่เก้งในฐานะโปรดิวเวอร์ก็ไปคุยกับต๊อบประมาณหนึ่งว่าเราอยากทำหนังชีวิตของเขานะ ถ้าต๊อบไม่ติดอะไร
เราจะไปพัฒนาบทว่าเราอยากเล่าเรื่องอะไร ประเด็นอะไร
แล้วกลับมาให้ต็อบดูว่าโอเคไหมว่าเราจะเล่าเรื่องตรงนี้ แล้วโอเคเสร็จแล้ว
ก็นัดคุยกันว่าในชีวิตจริงของต็อปมีดีเทลอะไรที่ลงลึกไปกว่านี้อีก
ที่ต็อบยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มันมีวิธีคิด วิธีการตัดสินใจ ทำไมต็อบอยากเข้าเซเว่น
ต็อบคิดอะไรอยู่ มันเป็นตรงนั้นที่เราจะหาจากตัวต๊อบ
คือต็อบเขาก็อ่านแล้วเขาก็บอกไม่ตรงกับชีวิตจริงเขา 100%
นะแต่เขาเข้าใจว่ามีบางอย่างอแด็ปไปจากชีวิตจริงของเขา
เขาทำสิ่งนี้เพื่อให้เกิดสิ่งนี้ แต่ว่าเราเอาเขาทำสิ่งนี้เพื่อให้เกิดสิ่งหนึ่ง
แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาทำเหมือนกัน
ไม่ได้เอาสิ่งที่เขาทำมา100%แต่เอาผลลัพธ์อันหนึ่งที่เขาทำ
กับสิ่งที่เขาเริ่มมาเจอกัน มันจะเป็นอแด็ปแบบนี้มากกว่า
ซึ่งจะมีคนหลายคนที่อยู่ในชีวิตต็อบบางพาร์ท จะรู้สึกว่ามันไม่ตรงกับชีวิตมันเลย
คือใช่ ไม่มีหนังที่อ้างอิงมาจากชีวิตคนๆไหนที่มันตรง 100%
ถ้าตรงบางจังหวะตัวละครก็จะเยอะ หนังก็ไม่ไดนามิค
หรือจังหวะพีคของหนังก็จะมีหลายช่วง คือพอมาทำเป็นภาพยนตร์เราต้องอแด็ปมัน
เพียงแต่เราต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่าหัวใจของคาแร็กเตอร์ เราสนใจอะไรในตัวต็อบ
ทำไมเราถึงอยากเล่าเรื่องของเขา ผมทำหนังเรื่องนี้ทำออกมาอย่างที่ผมเข้าใจในตัวต็อบ
ถ้าเป็นคนอื่นทำก็จะเข้าใจในตัวต็อบอีกแบบ หน้าตาก็จะเป็นอีกแบบ แต่เราอ้างอิง
จากชีวิตคนๆเดียวกัน ผมรู้สึกว่าหนังต้องมีมุมมองหรือทัศนคติของคนทำ
ผมเห็นต็อบในมุมนี้ ผมชื่นชม ต็อบทำอะไรล้มผิดพลาดมา ผมรู้สึกว่านี่คือบทเรียน
ผมอยากจะเล่า”


หากเกิดว่าต๊อบ
ไม่พอใจกับบท แล้วไม่อยากให้ทำตามบทที่เขียนขึ้นมา


“มันก็จะล้มไปเลย
คือพี่เก้งบอกว่าถ้าเราพัฒนาบทแล้ว ส่งให้ต็อบดูแล้วไม่โอเค
โปรเจ็กต์นี้ก็จะล้มไปเลยคือหนึ่งเราจะไม่ทำเรื่องที่เราไม่อยากทำ
อย่างต็อบอยากให้ทำสิ่งนี้แต่เรา ไม่อยากทำเราก็จะไม่ทำ แต่ถ้าเราอยากจะทำสิ่งนี้
ต็อบไม่แฮปปี้สิ่งที่เราจะทำสิ่งนี้ เราก็จะไม่ทำ เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นโจทย์ที่ต๊อบจ้างเราทำหนัง
คือคนส่วนใหญ่คิดว่าเถ้าแก่น้อยมาจ้างเราทำหนังเพื่อโปรโมทเถ้าแก่น้อยหรือเปล่า
ผมว่าคนส่วนใหญ่คิดก็ไม่ผิด แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ แต่ว่าเราทำเพราะว่าโปรดิวเซอร์
วรรณฤดี
อ่านบทสัมภาษณ์แล้วรู้สึกว่าชีวิตของต็อบน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นได้
แล้วมาปรึกษาพี่เก้ง แล้วก็มาชวนผม ผมรู้สึกน่าสนใจก็ลงไปทำ เรา 3
คนอยากเล่าในมุมไหนเราก็คุยกับต็อบ ถ้าโอเคก็ทำร่วมกันโดยที่
เราจะไม่เอาเงินต็อบเลย ถ้าเมือไหร่เราเอาเงินจากต็อบ
ก็จะอยู่ภายใต้ความคิดที่ต็อบอยากจะได้ แต่เราทำงานกันนมุมของครีเอทีฟ
หยิบประเด็นน่าสนใจในชีวิตต็อบมากกว่า เราไม่ได้คุยกันเรื่องเงินเลยครับ”


ความน่าสนใจของเรื่องนี้


“ผมว่าชีวิตต็อบไม่ได้เจออะไรพิเศษ
คือปกติเราจะรู้สึกว่า คนๆหนึ่งจะไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ เกินที่คนอื่นทำได้
เราต้องคิดว่าเขาเจออะไรพิเศษ มีแบ็คอัพที่ดี พื้นฐานครอบครัวที่โอเคหรือ
เจอเหตุบังเอิญที่ดี แต่ชีวิตต็อบไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เขาเจอทุกอย่างเหมือนเรา
แต่วิธีคิดเขาไม่เหมือนเราจนทำให้เขาไปถึงจุดนั้นได้
เราอยากเล่าเรื่องของคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้ฉลาดเกินเรา เป็นแค่ชนชั้นกลาง
เจอเหตุการณ์เหมือนเรา แต่คิดไม่เหมือนเรา เขาสู้ไม่หยุด เขาไม่เคยหยุดเดิน
ไม่เคยกลัว เพราะความเป็นเด็ก ไม่มีประสบการณ์ ก็เลยไม่กลัวจนทำให้เขาไปจนสุดทาง
ซึ่งมันอาจจะผิดพลาดก็ได้ อาจจะล้มเหลวก็ได้ แต่เขาประสบความสำเร็จ
ผมรู้สึกว่านี่คือเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผม ประกอบกับช่วง 2-3
ปีมานี่ผมทำบริษัทนาดาวบางกอก ผมได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจ ผมสนุกกับการทำงาน สนุกกับการทำโปรดักชั่น
สนุกกับการดูแลศิลปิน ต็อบสนุกกับการขายของ สนุกกับการเจรจา แต่เมื่อวันหนึ่ง เรากลับมานั่งทำงานที่โต๊ะ มีกองเอกสาร
เอกสารสัญญามากมายที่ต้องอ่าน ผมก็เปิดไปหน้าสุดท้ายแล้วก็เซ็น พอเห็นลายเซ็นพี่จีน่า ก็รู้สึกไม่ต้องอ่านแล้ว
มันคงโอเคแล้วก็เซ็นๆ วางๆไว้ คืนนั้นผมนอนไม่หลับ มันเป็นภาระไปโดยปริยาย
วันหนึ่งที่เราตัดสินใจทำอะไร ที่เรารักเราอยากทำ มันจะมีภาระบางอย่าง
ติดตัวมาด้วย นั่นแหละเป็นแรงเสียดทาน ที่จะทำให้เราไปถึงหรือไม่ถึงจึดหมายปลายทาง
ซึ่งต็อบก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”






การทำภาพยนตร์ที่มีที่มาจากเรื่องจริง
เป็นไงบ้าง


“ลำบากครับ
พอมันอ้างอิงมาจากชีวิตจริงของคนๆหนึ่ง ชีวิตเขาก็จะมีคนอื่นรายรอบเต็มไปหมด
การที่ต็อบให้เกียรติผม ให้อิสระผมทำเรื่องนี้เต็มที่ ขอใส่พาร์ทนี้ลงไปในหนัง
เขาก็ให้ เขาให้เกียรติความไว้เนื้อเชื่อใจ ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเขา
รับผิดชอบคนรอบข้างเขา ผมต้องยืนหยัดในความเป็นจริงบางอย่าง อาจจะไม่ 100%
แต่ก็ไม่ได้โกหก รวมทั้งคนรอบข้าง ผมก็จะเครียดว่าจะทำให้พ่อแม่เขารู้สึกอะไรไหม ผมก็กดดันเพราะไม่ใช่ตัวละครที่ผมสร้างมา
แต่ผมก็ต้องรับผิดชอบหนังผมด้วย ถ้ารับผิดชอบเขาจะทำให้เห็นแต่มุมดีๆแล้วหนังแบนๆผมก็ทำไม่ได้ครับ
ก็เป็นสิ่งที่ยากในการอ้างอิงมาจากชีวิตคน”


เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่แตกต่างจากหลายๆเรื่องที่
ย้ง เคยกำกับมา กังวลไหม


“ผมพยายามผมทำหนังให้ดีที่สุด
ผมต้องรับผิดชอบในแง่ที่ว่า ผมเป็นคนทำหนังคนหนึ่ง ที่ทำให้กับ จีทีเอช
ที่อยู่ได้ด้วยการทำหนัง ถ้าหนังผมไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้
มันก็จะมีผลกระทบไปกันหมด เราอยู่รอดได้ด้วยการทำหนัง
ถ้าทำทุกอย่างโดยไม่แคร์บริษัทเลยก็คงไม่ได้ แต่ผมเข้าใจว่าผมทำหนังพานิชศิลป์อยู่
ถามว่ากดดันไหม กดดัน ผมอยากนำพาศิลปะไปสู่คนหมู่มาก เราไม่อยากทำศิลปะไว้ดูกันเองไม่กี่คน เราก็เลยแคร์จะทำยังไงให้คนดูเยอะ
เราก็เลยแคร์ในเรื่องรายได้ ถ้ารายได้ไม่ดีมันก็จะกระทบกับหนังเรื่องต่อๆไป
ทุนจะลดน้อยลง คือผมได้ผลบุญจากหนังก่อนหน้านี้ พอหนังประสบความสำเร็จ แบรนด์ก็แข็งแรง ทำหนังเรื่องต่อไปสปอนเซอร์ก็จะเข้าหาได้ง่าย เงินก็จะเยอะขึ้น ก็จะทำให้หนังมีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งวันนี้ผมสามารถทำหนัง 36 คิวได้
ซึ่งมันเยอะมาก ก็ย้อนไปที่คุณภาพงานอยู่ดี ก็เป็นความเครียดโดยปริยาย


ที่ผ่านมาคนอาจจะมองว่าเราทำหนังเพลย์เซฟ
เราทำหนังตลาด แต่ถ้ามองให้แฟร์ๆอย่างยุติธรรม เราสร้างความต่างในตลาดอยู่นะ
ผมรู้สึกว่าจีทีเอช ในวันที่ยังไม่แข็งแรง
เราต้องพยายามทำอะไรที่เราเชื่อว่าเราทำมันได้ดี เราทำออกมาก่อน เมื่อเราเริ่มแข็งแรง
เราถึงเริ่มดิ้นรนไปหาทางใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น มีความแตกต่างจากตลาดมากขึ้น
เพื่อดึงคนดูมาสู่ตลาดใหม่ๆเหล่านั้น งานหลังจากนี้ผมว่าจีทีเอชจะยิ่งแตกต่าง
ปีหน้าจะเห็นงานที่ไม่เคยเห็นจากจีทีเอชมาก่อน ตอนที่ผมทำปิดเทอมใหญ่ฯ
คนก็คิดว่าผมทำหนังรักวัยรุ่น ไร้สาระ
แต่นั่นแหล่ะที่ผมอยากจะเล่า วัยรุ่นไม่มีวุฒิภาวะ ผมเลยทำหนังรักวัยรุ่นที่ไม่มีวุฒิภาวะ
ซึ่งผมอยากเล่าประเด็นนี้ ตอนทำก็รู้สึกเสี่ยงมากเลยที่กำลังทำหนังรักวัยรุ่นที่ไม่มีวุฒิภาวะ
เราจะทำยังไงให้วุฒิภาวะตรงนั้นมีน้ำหนัก แต่คนดูไม่รู้มุมนี้ของเรา
วันที่มันประสบความสำเร็จคนก็มองว่ามันเป็นหนังรักวัยรุ่น เราทำงานเพลย์เซฟ
แต่บ่อยๆเข้าผมก็ชินๆเฉยๆ แต่ทุกครั้งที่เราทำหนังเราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่ในโซนปลอดภัย
ไม่รู้ว่าเสร็จออกมาแล้วหนังจะได้ตังค์เลยสักเรื่อง”


โดยรวมแล้ว
“วัยรุ่นพันล้าน” เป็นหนังในอารมณืไหน


“หนังมันมีดราม่าอยู่
แต่ก็ไม่ได้ดราม่า หนัก แบบร้องไห้ปวดหัว ไม่ได้อย่างนั้น แล้วเป็นหนังวัยรุ่นมาก
ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่อินกับชีวิตวัยรุ่น เวลาทำอะไรออกมาก็จะพุชไปกับชิวิตวัยรุ่น ทำไมคิดอย่างนี้ ที่กล้าไปเพราะไม่มีประสบการณ์
ก็เลยไม่กลัวแต่สิ่งที่พบเจอทำให้มันเป็นผู้ใหญ่โดยปริยาย
ผมเชื่อว่ามันเป็นหนังที่ดูสนุก แต่ความสนุกของผมก็คือเรื่องราวมันน่าติดตาม ขำขันคอมาดี้มันอาจจะมีน้อยมากๆ
จะมีขำขันบ้างก็คงเป็นเรื่องคาแร็กเตอร์คน สถานการณ์”


ช่วงเวลาที่หนัง
“วัยรุ่นพันล้าน” เข้าฉาย ก็เป็นอีกเดือนที่ดูคึกคัก
กับภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศที่เข้ามาเยอะ


“ผมเชื่อว่าคนทำหนังทุกคนควรกังวลว่าหนังตัวเองทำยังไงจะให้ออกมาดีที่สุด
อย่าไปสนใจสิ่งแวดล้อม เพราะเราทำอะไรสิ่งแวดล้อมไม่ได้
เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมไม่ได้ แต่เราจะทำยังไงให้หนังออกมาดีที่สุด
ให้คนดูรู้สึกคุ้มค่ากับค่าเงินของเขาแล้วกลับมาดูหนังของเราซ้ำ
หรืออยากจะบอกต่อคนอื่นให้มาดูหนังของเรา อันนี้สำหรับผมกังวลกว่า
เพราะการจะทำหนังให้ดีดูสนุกไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหนังเราโอเค
ที่เหลือก็เป็นเรื่องที่ต้องปล่อยให้เป็นไป เรื่องนี้เราไม่ได้ทำหนังเอาเปรียบคนดู
แต่ดูเสร็จแล้วเขาจะชอบหรือไม่ชอบอันนี้เราก็ไม่รู้นะ เราไม่ได้ตีหัวทำหนัง ไม่ได้ทำหนังหลอกคนดู”


ในฐานะนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
ตอนนี้ผู้กำกับไทยเป็นไงกันบ้าง


“ทุกคนยังดิ้นรนทำงานในแบบที่ตนเองอยากทำ
คนที่ทำงานแบบที่ชัดเจนในตัวเอง ก็จะมีโอกาสได้ทำงาน ชิ้นต่อไปได้เรื่อยๆ
แต่ถ้ายังไม่มีตัวตนที่ชัดเจนในงาน ก็จะค่อยๆหายไป ยังเป็นระบบการทำหนังไทยแบบเดิม
แต่ทุกวันนี้คนที่อยากทำหนังอินดี้ อยากทำหนังนอกกระแส เขาก็ลุกขึ้นมาทำกันได้
มีที่ทางให้ทำ มีที่ทางให้ได้ฉาย ก็ถือว่าใหม่สำหรับวงการภาพยนตร์ ไทย
ที่เหลือก็คือคนทำงานกระแสหงักจะหนีตัวเองไปยังไง”


ใกล้หมดวาระแล้ว
คืดว่าก้าวต่อไปของสมาคมผู้กำกับควรเป็นยังไง


“ผมรู้สึกว่าการทำงานสมาคมผู้กำกับเป็นการทำงานที่ยาก
เราไม่ได้ทำงานสหภาพ แล้วเราทุกคนล้วนมีตัวตนแล้วแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันอยู่
จะให้มาเป็นยูนิตี้มันค่อนข้างยาก
แต่ถ้าเราผนึกกำลังกันเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างเราจะพูดได้เสียงดัง เหมือนตอนเราจัดงานสมาคมผู้กำกับ
เรารวมตัวแล้วเราจะทำอะไรเสียงมันจะดัง แต่เราไม่ต้องคิดเหมือนกัน ผู้กำกับเป็นอาชีพที่มีอีโก้
มีตัวตน เรียกร้องอยากให้คนอื่นสนใจ
เรียกร้องอยากให้คนอื่นให้เกียรติ ผมรู้สึกว่าก่อนที่จะให้ใครมาให้เกียรติเรา
เราต้องให้เกียรติอาชีพเราก่อน ให้เกียรติตัวเราเองก่อน
ผมรู้สึกว่าจะทำให้องค์กรนี้มันมั่นคงแข็งแรงมันยาก เพราะไม่มีใครมานั่งในองค์กรแบบเต็มเวลาแล้วรันงานตรงนี้
เข้ามาจับหนึ่งโปรเจ็กต์ก็ต้องไป ก็จะได้แค่งานนั้นๆให้มันดีแล้วผ่านไป”











Create Date : 19 ตุลาคม 2554
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 3:35:04 น. 3 comments
Counter : 4783 Pageviews.

 
หนังเรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ


โดย: โบว์ IP: 1.47.252.113 วันที่: 21 ตุลาคม 2554 เวลา:20:05:32 น.  

 
snagmag


โดย: aomsin IP: 118.173.54.186 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2554 เวลา:12:30:31 น.  

 
เศร้ามากเลยค่ะ
น่าทึ่งมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: เดกดอย IP: 49.49.193.232 วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:27:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

takeoffjack
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add takeoffjack's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.