วีซ่าสำหรับไปทำงานเกษตรกรรม.. จริงหรือหลอก
มีอีเมล์มาถามเรื่องไปทำงานสวนผักในอเมริกา ว่าจริงหรือไม่ เจ้าของคำถามส่งต้นฉบับของโฆษณามาให้ดูด้วยค่ะ....
“ใครที่สนใจมาทำงานสวนผัก ของคนเกาหลี ที่ Gorgia นะคะ ตอนนี้ เปิดรับสมัคร จำนวน 10 ตำแหน่งค่ะ รายได้ เดือนละ $2,500 นะคะ แล้วเวลาทำงานทำ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกค่ะ ส่วนมากจะทำงานกับเครื่องมือนะคะ แล้วก็รถเทรกเตอร์ อะไรประมาณนั้นค่ะ เป็นโครงการ J-1 12เดือน นะคะ ถ้าสนใจ กรุณาติดต่อมาด่วนนะคะ พร้อม Resume, transcript and passport แสกน แล้วก็อีเมล์มาที่ …...........@yahoo.com งานนี้สำหรับน้องๆ ที่อยู่เมืองไทยนะคะ...”
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าแหม.. ก็ดีน่ะสิ... ดูท่าจะขอวีซ่าไม่ยากเลย หยุดนิดนึงก่อนนะคะ......... ขออธิบายดังนี้ค่ะ
การจะทำงานแบบนี้ คุณต้องคุ้นเคยงานหนัก คือต้องเคยทำไร่ทำนา สวนผลไม้ ฯลฯ มาก่อนเป็นเวลาพอสมควร ไม่ใช่อยากจะไปอย่างเดียว เพราะงานนี้เป็นงานหนัก ถ้าคนไม่เคยทำรับรองอยู่ได้ไม่กี่วัน นี่คือเหตุผลที่รัฐฐาลอเมริกันจำเป็นต้องหรี่ตาข้างนึง เพราะคนอเมริกันเองไม่ค่อยจะมีใครอยากมาทำงานแบบนี้
กฏหมายกำหนดรายได้ของคนงานเกษตรกรรมแยกต่างหากจากแรงงานไร้ทักษะทั่วไป กล่าวคือให้พิจารณารายได้เกณฑ์สูงเป็นหลัก กฏหมายรัฐบาลกลางกำหนดไว้ที่ $7.25/ชั่วโมง หากนายจ้างและสถานประกอบการอยู่ในรัฐที่มีกฏหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำสูงกว่านี้ ก็ให้ถือเกณฑ์สูงเป็นหลัก เช่น ถ้านายจ้างและสถานประกอบการอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งกฏหมายของรัฐกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเอาไว้ที่ $8.00/ชั่วโมง นายจ้างจะต้องถือเอา $8.00/ชั่วโมง เป็นเกณฑ์ แต่ในรัฐจอร์เจีย ค่าแรงขั้นต่ำคือ $5.25/ชั่วโมง ดังนั้นให้ถือเอาเกณฑ์ของรัฐบาลกลางเป็นหลักคือ $7.25/ชั่วโมง
การจ้างงานโดยทั่วไป คำว่า full time คือ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หากนายจ้างต้องการให้ทำงานมากกว่านั้น ก็ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาคือ 1.5 เท่าของค่าแรงปกติโดยต้องไม่เกินชั่วโมงที่สิบสอง นอกจากนี้กฏหมายยังกำหนดเอาไว้อีกด้วยว่า ห้ามลูกจ้างทำงาน 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ คืออย่างน้อยจะต้องหยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ที่เขาโฆษณาว่ารายได้เดือนละ $2,500 นั้น หมายความถึงคุณจะต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง เดือนละ 25 วัน ที่เขาไม่บอกแต่คุณจะไปรู้เอาทีหลัง หลังจากเซ็นสัญญาไปแล้ว คือ นายจ้างคิดค่าที่พักราคาขูดเลือด โดยอ้างว่า คุณจะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางเพราะส่วนมากจะอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากๆ นอกจากนั้นหากคุณต้องออกไปไหนมาไหน นายจ้างก็จะชาร์ทค่ารถมหาโหด เหมือนที่คนที่เคยไปเข้าโครงการ Work& Travel เคยเจอกันมามากมาย สรุปแล้ว หลังจากหักค่าใช้จ่ายคือค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอื่นๆ จิปาถะนิดหน่อย คุณอาจจะเหลือเงินเดือนละไม่กี่ร้อยเท่านั้น
นอกจากนั้น สิ่งที่ไม่มีใครบอกคุณ แม้แต่นายจ้างคือ เมื่อคุณมีรายได้ คุณต้องเสียภาษี และในกรณีนี้ รายได้ที่จะนำไปคำนวณภาษีจะตกอยู่ที่ประมาณสามหมื่นต่อปี ถ้าคุณทำงานได้ $2500/เดือน คุณจะรับเงินสุทธิประมาณหนึ่งพันแปดร้อยเศษๆ คือหักภาษี ณ ที่จ่ายประมาณ 25% เวลายื่นแบบภาษีก็จะไม่ได้ลดหย่อนมากเพราะสถานะเป็นคนต่างด้าว ส่วนหักลดหย่อนน้อยกว่า นี่เป็นตัวเลขประมาณก่อนหักค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ฯลฯ เรื่องตั๋วเครื่องบินหรือวีซ่านั้นต่างหากค่ะ ถ้าคุณต้องจ่ายค่านายหน้า และค่าดำเนินการเรื่องวีซ่าในจำนวนที่สูงมากๆ หลักแสนขึ้นไปละก็...... หยุดคิดสักนิดนะคะ เพราะเท่ากับคุณทำงานหนักฟรีๆ ทั้งปี และไม่เหลืออะไรเลย เผลอๆ อาจจะถูกโกงเอาด้วย
ทีนี้ประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องถูกโกงนี่ละค่ะ....... ข้อเท็จจริงคือ งานเกษตรกรรมที่มีเทอมการทำงาน 12 เดือน มีเฉพาะวีซ่า H-2 เท่านั้น ไม่มีวีซ่า J-1 รัฐบาลอเมริกันเปิดโควต้าให้วีซ่า H-2 ปีละหกหมื่นคน และส่วนมาก ผู้ประกอบการรายใหญ่มักจะได้โควต้าไปเกือบหมด ไม่ค่อยเหลือมาถึงนายจ้างระดับล่างๆ โครงการ Work & Travel มีบ้างเหมือนกันที่รับผู้เข้าโครงการในสายงานเกษตรกรรม แต่เงื่อนไขต่างกับกับวีซ่า H-2 กล่าวคือ จะต้องเป็นนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ และเทอมจะได้แต่สี่เดือนเท่านั้น ไม่ใช่สิบสองค่ะ
ก่อนจะตัดสินใจ ก็ขอให้ศึกษาหาข้อมูลให้ดี อย่าผลีผลามตัดสินใจไปโดยไม่ปรึกษาผู้รู้ การที่ผู้ลงโฆษณาอ้างตนเป็นตัวแทนสำนักงานทนายความ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นคนดี ตั้งมั่นในศีลธรรม หรือจะไม่โกง เพราะเหยื่อส่วนมากไม่มีปัญญาไปสู้รบปรบมือกับเขาหรอกค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ.... โชคดีค่ะ
//www.dol.gov/compliance/guide/taw.htm //www.dol.gov/compliance/topics/wages-agricultural.htm
Create Date : 27 สิงหาคม 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 27 สิงหาคม 2554 11:15:02 น. |
Counter : 2248 Pageviews. |
|
|
|