ตามรอยเทพทอง



ผมตัดสินใจเดินทางสู่...มหาปราสาทหินนครวัด เพื่อตามหาเทพทอง ในช่วงวันที่ 13-14-15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 ก่อนเดินทางผมได้ซื้อกล้องถ่ายภาพชนิดดิจิตอลที่มีหน่วยความจำมหาศาล เพราะวาดหวังว่าจะบันทึกภาพอย่างละเอียดในการเดินทางครั้งนี้ ผมเลือกที่จะซื้อทัวร์ชนิด VIP โดยเดินทางไปกับผู้ติดตาม 1 คน ไกด์นำทาง 1 คนและคนขับรถอีก 1 คน รวมเป็น 4 คน วันนั้นผมเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครโดยรถตู้ไปถึงบริเวณโรงเกลือ จังหวัดอรัญประเทศ ราวเวลา 8.00 นาฬิกา หลังจากทำเอกสารเดินทางข้ามประเทศเสร็จ ก็มีรถเก๋งเคมรี่สีขาวมารอรับอยู่ในฝั่งปอยเปด เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

ผมเริ่มตื่นเต้นนับจากนาทีแรกที่เยียบเข้าเมืองปอยเปด ขณะที่ผมขึ้นนั่งบนรถเก๋งเคมรี่สีขาว โดยมีไกด์นั่งหน้ากับคนขับรถ ส่วนผมกับผู้ติดตามนั่งด้านหลัง ขณะนั้นหัวใจของผมเม่อลอยไปไกลถึงใจกลางปราสาทนครวัดเรียบร้อยแล้ว ภาพนิมิตรฝันของผมที่ในเวลานั้นผ่านไปถึง 15 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความคมชัดเจนราวกับตัวผมเองเคยได้เข้าไปสัมผัสในเหตุการณ์จริงๆ มาก่อนเลยทีเดียว สายตาของผมที่มองทอดยาวไปสองฝากฝั่งถนน ที่มีการปลูกข้าวเต็มทุ่งนาบ้าง และปล่อยให้่รกร้างว่างเปล่าบ้างเ็ป็นระยะ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหัวใจของผมก็คิดไปไกล คนละทิศคนละทางกับดวงตาที่ทอดยาวไปนั่นเอง หัึวใจของผมพองโตอย่างมาก ที่ตัวเองจะได้มีโอกาสตามหาเทพทองจริงๆ ณ ใจกลางปราสาทนครวัดในครั้งนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยเดินทางออกนอกประเทศเลยทีเดียว

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 หลังจากที่ผมเดินทางโดยรถยนตร์เคมรี่ถึงที่พักในเมืองเสีบมเรียบระหว่างทางก็แวะรับประทานอาหาร จากนั้นก็เดินทางถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย วันแรกก็ออกไปชมอาณาจักรบายนแห่งแรกที่ปราสาทบันทายสรี ซึ่งเป็นปราสาทหินสีชมพู มีความปราณีตงดงามตามสมควร แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ตระการตาเหมือนกับปราสาทอื่นๆ ที่จะไปตามกำหนดการในครั้งนี้ ผมถือโอกาสบันทึกภาพด้วยกล้องดิจิตอลชนิดไม่ยั้งมือตั้งแต่ปราสาทแรกสุด เพราะวาดหวังว่าการเดินทางในครั้งนี้ ผมจะต้องเก็บภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อกลับไปอวดเพื่อนๆ ในเมืองไทยพร้อมๆ กับตามรอยเทพทองตามที่ตั้งใจไว้นั่นเอง





ผมใช้เวลาในการชมปราสาทบันทายสรีราว 1 ชั่วโมงเศษก็ทั่วทุกจุด เพราะปราสาทบันทายสรีไม่ได้กว้างขวางสักเท่าใดนัก ความงดงามของปราสาทแห่งนี้ก็เรียกได้ว่าน่าจดจำไม่น้อย แต่ความยิ่งใหญ่ยังด้อยกว่าปราสาทอื่นๆ อีกหลายแห่งในอาณาจักรบายนแห่งนี้ จำได้ว่าผมบันทึกภาพปราสาทบันทายสรีราวๆ สัก 100 ภาพเห็นจะได้ อันนี้เรียกว่าแค่เพียงเรียกน้ำย่อยก่อนเท่านั้นเอง เพราะนับจากปราสาทแห่งนี้ต่อไปก็จะต้องเจอกับปราสาทที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ไกด์นำทางเป็นผู้อธิบายในตลอดเส้นทางที่นั่้งรถจากปอยเปดสู่เมืองเสียบเรียบแห่งนี้

หลังจากชื่นชมความงามของปราสาทบันทายสรีเป็นที่เรียบร้อย ไกด์นำทางก็พาออกเดินทางไปยังเขาพนมบาเค็งต่อ ซึ่งวิธีการเดินทางจะต้องนั่งรถไปจอดยังจุดพักรถก่อน แล้วก็เดินต่อไปอีกไกลพอสมควร ค่อยๆ เดินรัดเลาะขึ้นเขาไปเล็กน้อย พอจะทำให้เหงื่อแตกได้เหมือนกัน ขณะที่เดินทางโดยเท้าจนถึงปราสาทเขาพนมบาเค็ง ทุกคนก็ต้องปีนป่ายขึ้นไปบนตัวปราสาทเขาพนมบาเค็ง ซึ่งบอกได้เต็มปากเลยว่า...รู้สึกเสียวจนขาสั่นเลยทีเดียว เพราะบันไดสูงชันมากๆ และแคบจนยืนได้เพียงครึ่งเืท้าเท่านั้นเอง แถมยังต้องคอยยึดเชือกตลอดทุกขั้นบันได ไม่เช่นนั้นอาจตกลงมาจากชั้ืนบนสู่ชั้นล่างได้อย่างแน่นอน ซึ่งหากตกลงมาจริงๆ อาจถึงขั้นคอหักตายได้เลยทีเดียว

กว่าผมจะปีนป่ายขึ้นไปถึงบนปราสาทเขาพนมบาเค็ง ทำเอาขาสั่นไปเลยล่ะ และหลังจากที่ปรับสภาวะขาสั่นได้แล้วก็เริ่มต้นถ่ายภาพกันอย่างเมามัน เพราะปราสาทหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าปราสาทบันทรายสรีอย่างมาก ผมได้มีโอกาสถ่ายภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากยอดปราสาทเขาพนมบาเค็ง ก่อนที่จะรีบๆ ลงจากประสาทก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเีสียก่อน และตอนขาลงจากปราสาทก็ยิ่งน่ากลัวกว่าตอนขึ้นอีกหลายเท่า เพราะตอนขึ้นแค่เสียวๆ นิดหน่อย แต่ตอนลงเสียวโคตรๆ กันไปแล้ว เพราะอาจจะคว่ำหน้าลงมาได้เลย ดังนั้นถึงแม้จะรีบๆ เพราะเกรงว่าฟ้าจะปิดมืดค่ำไปเสียก่อน แต่ก็ต้องระวังจะคว่ำหน้าตกปราสาทตายไปเสียก่อนด้วยเหมือนกัน





ผมหยุดพักการเดินทางในคืนวันแรก ในอาณาจักรบายน ณ ปราสาทเขาพนมบาเค็งแห่งนี้ จากนั้นก็เดินทางเข้าที่พัก อาบน้ำสระผมจนเย็นชื่นใจ แล้วไกด์มาก็พาำไปรับประทานอาหารมื้อเย็นในเมืองเสียบเรียบ เป็นลักษณะอาหารบุปเพ่สไตล์เสียบเรียบ ขณะที่นั่งรับประทานอาหารก็มีการแสดงร่ายรำชุดนางอัปสร ทำให้ได้บรรยายที่น่าประทับใจอย่างมาก สมกับที่ได้มาเที่ยวดินแดนแห่งบายนอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากอิ่มหนำสำราญก็เดินทางกลับเข้าที่พักราวเวลา 4 ทุ่ม และก็รีบเข้านอนโดยทันที เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เนื่องจากต้องเดินทางไปชมปราสาทที่ยิ่งใหญ่ถึง 3 ปราสาทด้วยกัน คือ ปราสาทตาพรหม ปราสาทนครธม และปราสาทนครวัด

เช้าตรู่วันแห่งความรัก...14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 หลังจากรับประทานอาหารเช้าในโรงแรมตั้งแต่ 6.30 น. ในเวลา 7.30 น. ก็ต้องออกเดินทางไปปราสาทตราพรหม ที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายหนังดังเรื่องทูมไรเดอร์ เมื่อหลายปีก่อน วิธีการเดินทางก็ต้องจอดรถไว้ในจุดพักรถและก็ต้องเดินเท้าไปค่อนข้างไกลพอสมควร แต่ลักษณะการเดินจะไม่ต้องขึ้นเขาเหมือนกับเมื่อวานตอนไปเขาปราสาทเขาพนมบาเค็ง เพราะทางเดินไปปราสาทตราพรหอมจะเป็นเส้นทางราบเรียบสบายๆ มีต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างเยอะ ไม่ต้องฝ่าแสงแดดจ้า ไม่ต้องเหงื่อแตกผลั๊กเหมือนกับเมื่อวาน

ทันทีที่เดินทางถึงปราสาทตราพรหมก็ต้อพบกับความตื่นเต้นที่สุดกับต้นไทรขนาดยักษ์ที่ทอดรากขนาดใหญ่ลงบนปราสาท มองดูอลังการสุดขีด ราวกับตัวเองได้ย้อนเข้าไปสู่ยุคไดโนเสาร์เลยทีเดียว สายตาที่มองเห็นรากไทรขนาดใหญ่มหึมาทอดลงบนปราสาทหิน ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงเป็นคนแคระไปเลยทีเดียว ผมบันทึกภาพ ณ ปราสาทตราพรหอมแห่งนี้มากกว่า 300 ภาพ เรียกว่าจุใจกันเลยทีเดียว ความงดงามของปราสาทตาพรมจึงยิ่งใหญ่ไปด้วยต้นใหญ่โบราณ ทอดรากเลื้อยไปตามปราสาทหินต่างๆ มากมาย ผมรู้สึกสะใจกับตัวเองอย่างมากที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับปราสาทโบราณที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้





หลังจากออกจากปราสาทตราพรหม ก็เดินทางต่อไปยังปราสาทนครธมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยหินแกะสลักโบราณขนาดยักษ์ เต็มไปด้วยใบหน้าพระพุทธรูปที่งดงามน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ผมใช้เวลาถ่ายภาพตรงปราสาทนครธมไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงเต็ม เพราะมีจุดให้ถ่ายภาพได้ทุกมุมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีความน่าตื่นตาตื่นใจให้ต้องบันทึกภาพชนิดไม่รู้เบื่อกันเลยทีเดียว ผมรู้สึกตื่นเต้นจนยากที่จะบรรยายได้หวาดไหว เพราะความยิ่งใหญ่ของปราสาทนครธม มันเหนือกว่าที่ผมคาดหวังไว้อย่างเทียบกันไม่ติดเลยจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าภาพถ่ายมากมายที่ผมเคยเห็น เมื่อได้มาสัมผัสกับสถานที่จริงๆ แล้วมันคนละเรื่องกันเลยทีเดียว เพราะความยิ่งใหญ่ที่สายตาผมมองเห็น มันเรียกว่าพานอราม่าเต็มตา 180 องศากันไปเลย ถึงกล้องถ่ายภาพที่วิเศษสักแค่ไหน ก็ไม่อาจจับภาพที่ยิ่งใหญ่ได้เท่ากับดวงตา 2 ข้างของเรา

ผมใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับปราสาทนครวัดจนเลยเวลาทานข้าวเที่ยงไปพอสมควร จากนั้นเมื่อได้แวะทานอาหารมื้อเที่ยงในเวลาเกือบบ่ายโมงจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ปราสาทนครวัด อันเป็็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และเเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางในวันนี้ และแน่นอนผมย่อมจะต้องตื่นเต้นจนหัวใจเต้นผิดปกติไปเลย เพราะการเดินทางในครั้งนี้ ผมมีเป้าหมายสำคัญที่สุดก็ตรงใจกลายปราสาทนครวัดแห่งนี้นี่ล่ะ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ดีว่าตัวผมเองไม่มีทางได้เห็นเทพทองเหมือนในนิมิตฝันของผมอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมสามารถบอกใจตัวเองได้ว่า...ในวันแห่งความรักปีนี้ ผมได้เดินทางมาถึงใจกลางปราสาทนครวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บางครั้ง...เทพทอง อาจเป็นเพียงเทพในจินตนาการของผมตามลำพัง ที่นิมิตขึ้นในความฝันของผมโดยส่วนตัว แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขที่เทพทองได้บังเกิดขึ้นในหัวใจของผม และทำให้ผมได้ตัดสินใจเดินทางมาเยี่ยมชมอาณาจักรบายนที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ผมก็ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรให้ต้องมาชมสถานที่โบราณแบบนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วลึกๆ ผมเป็นคนกลัวผี กลัวสถานที่โบราณ แต่การเดินทางในครั้งนี้ผมกลับไม่กลัว แถมยังเดินทางอย่างมาดมั่น เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของผมคือ ผมต้องการส่งกระแสจิตถึงองค์เทพทองว่าผมได้มาเยือนสถานที่ของท่านตามนิมิตฝันของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง



Create Date : 14 ตุลาคม 2556
Last Update : 14 ตุลาคม 2556 22:32:26 น.
Counter : 897 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บุษบาเสี่ยงเทียน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ตุลาคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
14 ตุลาคม 2556
  •  Bloggang.com