เมี้ยว...เมี้ยว...เสียงร้องจากน้องแมวหน้าตาบ๊องแบ๊วน่ารัก แต่แฝงไปความลึกลับ สัตว์ตระกูลน้องแมวถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทนักล่าโลกบันทึกว่า เป็นนักล่าที่น่าเกรงขามฝุดๆ
น่าเกรงขามฝุดๆ
เพราะน้องแมวเหล่านี้มีเขี้ยวที่แหลมคม มีกรงเล็บแข็งแกร่ง มีความว่องไวปราดเปรียวแฝงไว้ด้วยพลังอย่างเต็มเปี่ยม และสิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่เหล่าน้องแมวสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกที่มันปรากฏตัวขึ้นบนโลก
ไมเอซิส (miacis)
แรกเริ่มน้องแมวและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนักล่าอื่นๆ ล้วนมีวิวัฒนาการจาก เจ้าสัตว์กินเนื้อหน้าตาละม้ายคล้ายพังพอนที่มีชื่อว่า ไมเอซิส เจ้าพวกนี้อาศัยอยู่ในยุคอีโอซีนซึ่งต้องย้อนหลังไปราว 55 ล้านปีที่แล้ว และถือว่าเป็นต้นตระกูลของสัตว์นักล่าในยุคใหม่ทุกชนิดอีกด้วย ว้าววว
โครงสร้างกระดูกของน้องแมว
ในฐานะนักล่าผู้น่าเกรงขาม สัตว์ตระกูลแมวเขามีคุณสมบัติแยะมาก ไหนจะหน้าที่กว้างและขากรรไกรสั้น ทำให้มีแรงงับที่ทรงพลังกว่าพวกที่มีขากรรไกรยาว แถมพวกมันยังมีกระดูกไหปลาร้าเล็กมาก รวมทั้งกระดูกสันหลังที่เชื่อมกันหลวมๆ ระหว่างขาหน้าที่ยืดหยุ่นละเกิน ทำให้เจ้าเหมียวสามารถเล่นกายกรรม เอ๊ย กระโดดจากที่สูง กลับตัวกลางอากาศได้สบายบรื้อ
น้องแมวกระโดดเหย่งๆ
และใช้กรงเล็บจิกของหมุนตัวอวดหุ่น หุหุ
ส่วนกรงเล็บของแมวเองก็สามารถหุบเข้า กางออกได้ทำให้แมวเดินได้เงียบกริบ(เป็นที่มาของการเรียกขโมยว่าตีนแมวล่ะม้าง) แถมยังช่วยป้องกันเล็บมิให้สึกหรอ
ไม่แค่นั้นนะตัวเธอ...แต่พวกแมวยังมีสายตาแหลมคม ยิ่งตอนกลางคืนจะมองเห็นได้ดีกว่าทาสแมวแบบเราถึง 6 เท่า เลยล่าเหยื่อในความมืดได้ดีไง
โปรไอลูรัส (proailurus)
เจ้าไมเอซิสอาจจะเป็นต้นตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนักล่า แต่สัตว์ที่เรียกว่าเป็นต้นตระกูลแมวตัวจริงเสียงจริงพันธุ์แรกของโลก มีชื่อว่า โปรไอลูรัส เป็นสัตว์ที่ปรากฏตัวเมื่อ 30 ล้านปีที่แล้ว ในยุคโอลิโกซีนซึ่งเป็นยุคที่สามของมหายุคซีโนโซอิค
มีการค้นพบหลักฐานของซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงให้เห็นว่า สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะเดียวกับแมวปัจจุบัน ทั้งกรงเล็บ รูปทรงกระโหลกรวมถึงลักษณะโครงสร้างร่างกาย โปรไอลูรัสมีขนาดพอ ๆ กับแมวป่าและอาจจะใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งชีวิตอาศัยอยู่บนต้นไม้แบบเดียวกับพวกแมวป่าบางชนิดในปัจจุบัน
ซูไดลูรัส (Psuedaelurus)
จากเหล่าโปรไอลูรัส พวกมันก็ได้วิวัฒนาการต่อจนกลายเป็น ซูไดลูรัส (psuedaelurus) แมวนักล่าขนาดเท่ากับเสือดาว ซูไดลูรัสปรากฏตัวขึ้นเมื่อราว 23 ล้านปีที่แล้วในช่วงต้นของยุคมีโอซีนและเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางของยุคนี้ สายวัฒนาการของพวกมันก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม นั่นคือ กลุ่มเสือเขี้ยวดาบและกลุ่มแมวปัจจุบันนะจ๊ะ
เสือเขี้ยวดาบชนิดแรกปรากฏขึ้นเมื่อราว 15 ล้านปีก่อนในยุคมีโอซีนตอนกลาง ลักษณะเด่นของพวกมันคือเขี้ยวคู่บนที่งอกยาวออกจนพ้นริมฝีปาก เขี้ยวที่ยาวของพวกมันช่วยให้สามารถจัดการกับสัตว์กินพืชหนังหนาซึ่งเริ่มกระจายพันธุ์ในยุคมีโอซีนได้ เสือเขี้ยวดาบยุคแรกตัวไม่ใหญ่นัก โดยมีขนาดเท่ากับสิงโตภูเขาหรือเสือดาว จนเมื่อเข้าสู่ยุคพลีสโตซีน ราว 1.5 ล้านปีก่อน อันเป็นยุคที่มีสัตว์กินพืชขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก พวกเสือเขี้ยวดาบก็วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่กว่าในยุคแรก
Smilodon
โดยเสือเขี้ยวดาบที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ สไมโลดอน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือและใต้ พวกมันมีเขี้ยวยาวกว่า 25 ซม. และอาจหนักเกือบ 200 กิโลกรัม รูปร่างที่บึกบึนของมัน บ่งบอกว่า สไมโลดอนน่าจะล่าเหยื่อขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวช้า อย่าง สลอธยักษ์และมาสโตดอน เป็นอาหาร
วิวัฒนาการของเสือเขี้ยวดาบเป็นการสร้างลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเพื่อให้เหมาะกับการล่าเหยื่อขนาดใหญ่ในยุคของมัน ทว่านี่ก็เป็นสาเหตุที่นำพวกมันไปถึงทางตัน เนื่องจากเหยื่อที่เหมาะสมกับพวกมันได้สูญพันธุ์ไปหมดเมื่อ 12000 ปีก่อน จึงทำให้พวกเขี้ยวดาบต้องสูญพันธุ์ตามไปด้วย สำหรับสัตว์ในกลุ่มแมวยุคปัจจุบันดูจะประสบความสำเร็จในการวิวัฒนาการและสามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดีกว่า สัตว์ตระกูลแมวในยุคดึกดำบรรพ์หลายชนิดมีรูปร่างคล้ายกับพวกที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างเช่น ฮอพโพลโฟนีอุสที่ดูคล้ายกับเสือดาว เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้ มีสัตว์ตระกูลแมวอยู่ทั้งหมด 37 ชนิด โดยมีชนิดพันธุ์ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของสภาพภูมิประเทศและเหยื่อในแต่ละพื้นที่ ด้วยความสามารถในการปรับตัวนี่เอง ที่ทำให้สัตว์ตระกูลแมวหลายชนิดมีการกระจายพันธุ์อยู่ในเกือบทุกทวีปยกเว้นออสเตรเลียและแอนตาร์กติกา
แมวป่าไอบีเรียนลิงซ์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า สัตว์ตระกูลแมวจะมีความสามารถในการปรับตัวและเอาตัวรอดในการแข่งขันตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ทว่าในทุกวันนี้ กลับมีแมวหลายชนิดที่ลดจำนวนลงจนเกือบสูญพันธุ์ อาทิเช่น แมวป่าไอบีเรียนลิงซ์ที่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 300 ตัว และนักวิทยาศาสตร์กำลังหวั่นเกรงกันว่า มันอาจจะเป็นแมวชนิดแรกที่สูญพันธุ์ไปจากโลกในรอบหนึ่งหมื่นปีนี้
จากนี้ยังมีแมวอีกหลายชนิดที่เข้าข่ายชนิดพันธุ์ที่ตกอยู่ในอันตราย เช่น เสือโคร่งที่ทุกวันนี้เหลือไม่ถึง 4,000 ตัวในธรรมชาติ เสือดาวหิมะที่เหลือไม่เกิน 7,000 ตัว ชีต้าที่มีประชากรในป่าไม่ถึง 10,000 ตัว การล่าและการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยด้วยฝีมือของมนุษย์คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกแมวเหล่านี้ตกอยู่ในอันตราย ซึ่งนักอนุรักษ์ได้ประเมินไว้ว่า หากสถานการณ์ของพวกมันยังไม่ดีขึ้น โลกอาจต้องสูญเสียแมวยักษ์เหล่านี้ไป ก่อนถึงกลางศตวรรษที่ 21 นี้ ก็เป็นได้ ซึ่งหากต้องเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเสียใจอย่างมาก
augustow pokoje nad jeziorem https://www.pokojejeziorohancza.online/podlaskie-lipsk-noclegi