สักทีเถอะ !

ผ่านมาหลายปีที่ทำงานกับบริษัทปัจจุบัน บอกตัวเองเสมอว่า ไปสักทีเถอะ บ่อยครั้งที่บอกกับตัวเองว่า หมดแล้วหละสัญญาใจ ไปสักที แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม ช่วงนี้ก็มาอีก สักทีเถอะ อยากจะไป กำลังโยนหินถามทางในใจตัวเอง เพราะเราไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียว ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆ อย่าง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ ก็ไปอย่างด่วน


ความทรมาณมันมาเป็นช่วงๆ การที่ทำงานอยู่คนเดียวที่บ้านก็ดี การที่ทำงานคนเดียวคิดได้อิสระก็ดี แต่ใช่ว่าความเป็นจริงเราจะเป็นคนที่มีอิสระมากกว่าคนที่ต้องไปทำงานทุกวัน เพราะความรับผิดชอบมันไม่ต่างกัน แม้กระทั่งเวลาหลับยังฝันว่าบางงานตัวเองทำงานส่งให้ไม่ทันเลยบ่อยๆ ปีนี้เห็นได้ชัดเลยว่า สุขภาพจิตเสื่อม มาก


โรคซึมเศร้า โรคภูมิแพ้ ไมเกรน โรคเครียดต่างๆ ที่เคยเห็นแต่ในหนัง ณ วันนี้เข้าใจอย่างสุดซึ้ง ชีวิตอยู่กับความอ่อนล้าของสุขภาพทุกๆ วัน วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา นานวันเข้าชีวิตไม่รู้สึกถึงการทำอะไรที่มีความสุขได้เลยจริงๆ เหมือนเป็นคนที่ไม่มีวิญาณ ไม่มีความฝัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แม้กระทั่งความรักความห่วงใย เรารู้ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่อาจรู้สึกให้สัมผัสได้ด้วยใจอย่างที่เคยเป็นเมื่อนานมามากแล้ว


ช่วงนี้เครียดมากกว่าที่เคย เพราะงานที่ต้องใช้ระดับความเครียด 2-3 เท่าของงานปกติ ที่ต้องทำเพียงคนเดียว รับผิดชอบกับเจ้านายเพียงคนเดียว เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ไม่มีทีม ต้องคิดให้ได้ ต้องทำให้สำเร็จโดยตัวเองคนเดียว ไม่ว่าระบบจะใหญ่หรือเล็ก ทำให้รู้สึกกดดัน อีกทั้งงานนี้เป็นงานที่เหมือนกับ ขมิ้นกับปูนกับเรา เพราะเป็นงานของบริษัทที่เราเคยทำมาก่อนหน้านี้ แต่จบด้วยกันไม่สวย อันเนื่องมาจากการรู้จักกันเป็นพิเศษและยาวนานของตัวเราเองกับเจ้านาย ทำให้การทำงานบางครั้งอารมณ์ส่วนตัวมามีส่วนกับงาน สุดท้ายจึงจบด้วยความรู้สึกที่แย่ แบบแตกหักไม่มีวันประสาน และเราได้มาทำงานกับที่ปัจจุบันซึ่งเดิมประสานงานอยู่กับที่เก่า แต่ตอนแรกพี่เขาก็บอกว่าจะไม่ให้เรายุ่งเกี่ยวกับงานของที่เดิมนั้นเลย แต่ไปๆ มาๆ สุดท้าย ก็เข้ามาเต็มตัว เพียงแต่ทางนั้นเขาไม่รู้เท่านั้นเองว่าคนที่ทำงานนี้คือใคร เพราะถึงเวลาประชุม มักจะมีตัวตายตัวแทนไปเป็นหน้าทัพแทนเสมอ


มันจึงสร้างความรู้สึกช้ำใจให้มาก เราทำงานทั้งน้ำตา มันก็ไม่ได้โกรธเกลียดเคียดแค้นใคร แต่ความรู้สึกของคนเรา ไม่ว่าจะนานแค่ไหน จะบอกว่าเรื่องานก็คือเรื่องงาน มันก็คงไม่ได้ตลอด เพราะเรารู้เสมอว่าเราทำงานตัวนี้ ตอนออกมาครั้งแรก ตัวเซอร์เวอร์เคยมีปัญหา คนแรกที่เค้าคิดถึงว่าไปทำร้ายทำลายให้เกิดปัญหาก็คือเรา นอกจากเป็นงานที่เราไม่อยากมีส่วนร่วมด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังเป็นเรื่องของความเครียดที่มันมีหลายเท่าตัวจากงานอื่นเพราะ ระยะเวลาที่มีให้ทำงานน้อยมาก เทียบกับความซับซ้อนของงานกับงานอื่นๆ ที่ความซับซ้อนน้อยกว่า เราคนเดียวยังต้องใช้เวลาอย่างต่ำก็เดือนสองเดือน แต่ตัวนี้ปีนี้มีเวลาไม่ถึงครึ่งของงานที่ไม่ซับซ้อนน้อยกว่าเลย และงานนี้มาทีไร เรานอนดึกตลอดทำให้ติด นอนไม่หลับ นอนหลับยาก เพราะวิตกกังวล วันหยุดก็จะไม่ได้หยุดแบบที่ควร เพราะหยุดจริงแต่ไปไหนไม่ได้ เผื่อมีปัญหาต้องแสตนบายที่บ้าน แม้กระทั่งวันที่ 12 สิงหา ที่เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เราจะบอกว่าเราเห็นเป็นวันสำคัญที่สุดก็ไม่ได้ เพราะจริงๆ สำหรับคนที่เป็นแม่เค้าสำคัญกับเราทุกๆ วัน เพียงแต่แม่เราก็คงลำบากใจ เพราะวันนี้ลูกๆ คนอื่นเค้าก็ได้กลับบ้าน ไปไหว้คุณแม่กัน แต่เราทำแต่งาน ซัพพอร์ตแต่งาน โทรไปก็พาชวนทะเลาะกัน....


จริงๆ ทั้งเรื่องงานเรื่องครอบครัวเราเองก็มีปัญหามาโดยตลอด ก็คงโทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเราเองที่เลือกเดินทางมาทางนี้ และยอมทำงานตัวที่เราไม่อยากทำแต่แรก ทำให้ยังคงต้องทำมาอยู่ทุกวันนี้ เหมือนไม่มีอะไร วันนี้มันทำให้รู้สึกได้ว่าเสียใจที่เหมือนเราเองทำลายตัวเองและคนที่เรารักหรือเปล่า เราเครียดเราไม่มีความสุข แล้วยังทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไปด้วยอีก


เราพยายามคิดแล้วคิดอีกว่าชีวิตจะไปทางไหน ตอนนี้เรามีแทบทุกๆ อย่าง มีบ้าน มีแฟนที่ก็เรียกได้ว่าดีอยู่ที่คอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ในบ้านให้ เวลาป่วยก็พาไปหาหมอ ก็เหมือนดูแลเทคแคร์กันมากขึ้น มีเงินหมุนเวียนไม่ขัดสนมากมาย พอกินพอใช้ แต่ชีวิตมันก็ยังไม่มีความสุข รู้สึกทุกข์ใจ วิตกกังวล ท้อแท้ ไม่มีความยินดียินร้ายอะไร ทำอะไรก็ทุกข์ใจไปหมด เศร้าสลดใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกอยากไปไหน ไม่รู้สึกอยากทำอะไร เบื่อหน่ายในชีวิต จนคิดว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ไม่รู้สึกว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร สิ้นหวังมาก ทั้งๆ ที่ก็รู้ก็เห็นว่าทุกอย่างรอบตัวไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ความรู้สึกที่มันเป็นมันไม่ใช่


พยายามจะกำจัดความเครียด ความทุกข์อย่างที่เคยๆ ทำมา แต่ไม่ว่าทำอะไรที่เคยทำแล้วมีความสุข ทุกวันนี้มันไม่มีผลอะไรเลย วันๆ นึงแทบไม่อยากจะเจอใคร ไม่อยากจะไปไหน ไม่อยากจะคุยกับใคร และแล้วอาทิตย์ที่แล้วก็มีปัญหาเรื่องงานกระหน่ำเข้ามาอีก ทำให้อาทิตย์ก่อนต้องไปหาคุณหมอถึง 2 ครั้ง 2 ครา หลังๆ เครียดมาก ไมเกรน นอนไม่หลับ จนคุณหมอต้องให้ยากล่อมประสาทมาทาน ทีแรกก็ไม่อยากไป เพราะเช็คประกันสังคมแล้วปีนี้ เพิ่งมีในระบบแค่เดือนเดียว ด้วยว่าทางบริษัทไปชำระช้ามาก ของเดือน กุมภา 55 - ปัจจุบัน จึงทำให้ในระบบไม่มีข้อมูลว่าชำระ ก็กลัวไปหาคุณหมอประกันสังคมจะถูกรีเจ็คออกมาก็ยิ่งจะทำให้ไอ้โรคเซ้นสิทีฟกำเริบ แต่ก็เสียงไป ก็อยากใช้สิทธิที่เสียเงินไปแต่ละเดือน คนเราก็ยังมีความงกกันทุกคนนะ


คุณหมอจ่ายยากล่อมประสาท ที่สำหรับพวกอาการโรคซึมเศร้าและแก้วิตกกังวลมา ผลข้างเคียงก็อย่างกับความเป็นยากล่อมประสาทนั้นแหละค่ะ ก็คือทำให้ประสาทเราเหมือนถูกกล่อมน๊อะ สำหรับเราไม่ได้ทำให้ง่วง แต่ทำให้สมองมันนิ่งขึ้น ความวิตกกังวลน้อยลง ทำให้รู้สึกเครียดน้อยลงไปด้วย หน้ามืด โคลงเคลงเวลาเดินตอนยาออกฤทธิ์ ออกจะมึนๆ มึนกระทั่งว่าวันนึงมีคนมากดออดยืมเงิน เรานอนหลับเกือบเช้า ก็ลงไปทั้งชุดนอนหน้าบ้านแล้วกลับขึ้นมาเอาเงินไปให้เค้าเฉย ดีนะที่เค้าเอามาคืน โชคดีไป


ตอนนี้ยาหมดแล้ว คุณหมอให้มาแผงเดียวคงเพราะยามันแรงมั้ง คงกลัวจะติด แต่เราก็ยังคงเครีดยหนักเหมือนเดิม เพราะงานที่ทำมันยังคงดำเนินความเครียดอยู่ และจะเป็นแบบนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือน เมื่อคืนวันเสาร์เราทรมาณมาก เพราะอาการมันกลับมา ตกดึกรู้สึกทุรนทุรายในใจ วิตกกังวลไปต่างๆ นาๆ เศร้าสลดในใจสุดๆ รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังสุดๆ จนนั่งร้องไห้ออกมา แย่มาก สติเราพอมีรู้ว่าความจริงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ในใจความรู้สึกที่สัมผัสใจมันแย่สุดๆ เลย หลังๆ เครียดมากๆ ร้องไห้มากๆ เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกบ่อยมาก เลือดกำเดาออกอยู่เรื่อย ปวดหัวข้างเดียวอยู่เรื่อย บางวันอาการเป็นแบบนี้ร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล (คือคนอื่นมองว่าอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ เหมือนใครตาย) แต่ความจริงคือในใจเรามันรู้สึกเศร้าจนต้องร้องไห้ออกมา พอร้องไปสักพักคนเราจะหายใจลำบาก ของเราก็เป็นแต่สักพักถ้ายังไม่ควบคุมสติ ปล่อยให้ความรู้สึกแย่มันมาเรื่อยๆ ทำให้ร้องไห้หนักขึ้น ใจมันทุรนทุรายมากขึ้น (อาการเหมือนเราเสียของรักมากๆ ไปแบบนั้นแหละ) ร้องไห้จนตะคริวกิน ชาไปทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า โชคดีที่แฟนเราหลังๆ จะพอทราบ จะคอยอยู่ด้วย บีบนวดให้ครายตลอด ไม่งั้นเราเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น



วันสองวันนี้ รู้สึกลำบากใจในเรื่องงานมาก เพราะทำอะไรไปก็เหมือนไม่ใช่ตลอด เราก็ถามตัวเราเองว่าเพราะเราความสามารถเสื่อมถอยจึงทำงานที่ทำมาหลายๆ ปี เดิมๆ ไม่ได้ในเวลาเร่งรีบ หรือเพราะอะไร เพราะเวลาน้อยลง หรือความกดดันมากขึ้น ยิ่งนานวันยิ่งทำให้รู้สึกทรมาณจนอยากจะไร้ความรับผิดชอบให้พี่เค้าหาคนอื่นมาทำแทน แต่เรารู้ว่าคนอื่นเค้าก็จะลำบาก แต่เราเองก็ทำงานลำบากด้วยสุขภาพจิตแย่ๆ แบบนี้ และด้วยงานที่เครียดๆ ตัวนี้ หัวเราปวดข้างเดียวแบบต่อเนื่อง จนไม่สามารถจะบอกได้ว่าเดือนนึงปวดต่อเนื่องกันกี่วัน ต้องบอกว่า เดือนนึง เราจะมีวันที่ไม่ปวดอยู่ 4-5 วัน นอกนั้นจะปวดอยู่ตลอด มันแย่นะ



อยากจะหยุดทำงาน อยู่บ้านเฉยๆ สักพัก แต่ลำพังเงินเดือนแฟนก็คงอยู่ได้ไม่ถึงไหน แต่โชคดีที่เราขายของออนไลน์เริ่มไปได้ดี ถึงบางเดือนจะมียอดสั่งซื้อหลักแสน แต่ก็ยังไม่กล้าทำแบบที่อยากทำเพราะความเสี่ยงสูง เราเองภาระเยอะ ตอนนี้ต้องดูแลหมา 9 ชีวิต แมว 4 ชีวิต ตัวเองและแฟน ทั้งผ่อนบ้านอีก เดือนละเป็นหมื่น แถมวางแผนจะออกรถมาอีก 1 คัน


หมาที่มี 9 ตัวก็ไม่ใช่ของเราเองทั้งหมด ของเราเองเดิมมีแค่ 5 ตัวและไม่เพิ่มจำนวนแล้ว แต่พอดีพี่ชายเรามีปัญหาครอบครัวทำให้อยู่กันไปไม่ได้ จึงมีความจำเป็นต้องเอาหมามาไว้ที่นี่ให้เราเลี้ยงต่อไป ถึงมันเป็นภาระที่ไม่น้อยแต่เราก็ต้องเลี้ยงพวกเค้าต่อไป ส่วนเรื่องออกรถนั้นเราจะออกให้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัด เพราะที่บ้านขายของชำ บ้านเราเป็นครอบครัวจนๆ ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แค่ทำพอกินพอใช้ แต่ที่บ้านไม่มีรถยนต์ แม่ต้องขับมอไซค์สำหรับไปซื้อของในตลาดมาไว้ขาย เห็นแล้วเราทุกข์ใจมาก เพราะมันลำบากมาก ไป-กลับหลายกิโล ท่านต้องขนของมาไม่น้อยต่อรอบ และอันตราย รถบรรทุกเยอะมาก จริงๆ พ่อกับแม่จะออกเองตั้งแต่ต้นปี เก็บเงินขายของไปวันๆ นี่แหละฝากธนาคารเอาไว้ได้ไม่น้อย พอที่จะออกรถได้ แต่สุดท้ายหลังจากไปดูมาหลายเต้นท์ แถวๆ บ้านแม่ก็ตกลงใจว่า จะขอซื้อต่อรถพี่ชาย คือทำเรื่องกว่าจะผ่านไฟแนนซ์มันยาก เพราะที่บ้านก็เป็น สปก ไหนแม่จะกลัวโดนย้อมแมว เพราะแกจะซื้อรถมือสอง พยายามอธิบายแกว่าให้ซื้อมือหนึ่ง ให้ใช้ชื่อลูกออกให้ จะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลกับปัญหา


แต่สุดท้ายอย่างว่า ตอนต้นปีบ้านเราก็เพิ่งโดนน้ำท่วมไป กำลังจนมากๆ ก็พูดอะไรไปก็เหมือนไม่น่าฟัง สุดท้ายแม่ก็ทำตามที่คิด ไปขอซื้อต่อรถลูกชาย(ก็คือคุณพี่ชายของเราแหละ) ซึ่งที่บ้านเค้ามีรถอยู่ 2 คัน แม่ก็ขอซื้อต่อคันนึงแล้วให้ลูกเอาเงินไปดาวน์รถใหม่เอา สุดท้ายเสียเงินแต่ไม่ได้รถ และยังเสียเงินต่อเนื่อง เพราะสุดท้ายพี่ชายเรามีปัญหากับครอบครัวเค้าเอง เท่าที่เห็นมันก็เรื่องเดิมๆ คือเรื่องผู้หญิง ทำให้เงินทองในบ้านไม่พอใช้ หาได้เดือนละแสนก็ไม่พอ จึงทำให้มายืมเงินจากแม่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายบัญชีแม่เหลือไม่ถึงหมื่น จากเดิมออกรถป้ายแดงได้สบาย เรารู้และเห็นเพราะเราเองเป็นคนดูแลบัญชีให้แม่แบบออนไลน์ เวลาที่แม่ต้องโอนเงินให้ใคร หรือใครโอนเงินให้ เราก็ต้องคอยเช็คดูให้ตลอดเนื่องจากแม่ใช่ระบบออนไลน์ไม่เป็น และบ้านกับธนาคารก็ไกลกันมาก เราเห็นแบบนั้นแล้วเศร้าใจจริงๆ ความเป็นแม่ ไม่เคยปฏิเสธลูก ทั้งๆ ที่บางครั้งแม่ก็รู้ว่าเค้าเป็นแบบนี้ แม่ก็ยังยอมตลอด เราเองอยู่ในฐานะไม่อยากพูดอะไร เพราะเรื่องครอบครัวละเอียดอ่อนมาก จนทุกวันนี้พี่ชายเราเลิกกับพี่สะใภ้คนเดิมไปมีเมียใหม่ ยังคงมีรถคันละล้านขับ แม่เรายังคงขับมอไซค์ หาเงินเก็บเข้าบัญชีใหม่ ลูกยังมีลูกไม้ มาทำเนียนจะขอยืมเงินเหมือนเดิม แต่ครั้งสุดท้ายที่ให้ไป เราก็บอกเค้าไปแล้วแหละว่า นี่เงินก้อนสุดท้ายของแม่ เอาไปแล้วใช้ให้ดี เพราะจะเป็นก้อนสุดท้ายที่เราจะโอนจากบัญชีของแม่ให้ตามคำสั่งแม่จริงๆ



มันอดเศร้าไม่ได้นะ เลือดมันตัดกันไม่ขาด เรารู้ว่าเค้าชอบมาลูกไม้ไหน แต่เค้าชอบมาทำเหมือนเราไม่รู้ แลดูเหมือนเราโง่ที่เรารู้ไม่ทัน แต่ความจริงเรารู้ แค่ไม่พูด เพราะว่ารักไง ไม่อยากทำร้ายความรู้สึก แต่แม่โดนหลอกประจำเราก็สงสารแม่ แต่พูดไปแม่ก็ด่า ไม่พูดก็ด่า พูดกันไปก็ทะเลาะกัน หลังๆ ก็ไม่พูดดีกว่าเวลาแม่ถาม ก็บอกว่าอยากรู้เรื่องของใครไปถามคนนั้นเค้า เราไม่รู้ ....


เหตุนี้แหละเราจึงจะอยากจะออกรถใหม่มาคัน เพราะเคยถามยูสคาร์เจ้านึงแล้ว ผ่อนเดือนนึงตกแล้วพอๆ กับรถใหม่เลย แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจไฟแนนซ์จะผ่าน เพราะไฟแนนซ์แรกพูดมาเหมือนไม่อยากให้สินเชื่อ ทั้งๆ ที่เราคำนวนแล้วเรามีเงินผ่อนนะ แค่เราไม่ได้มีเงินมาดาวน์มากพอ ที่จองรถตอนแรกเพราะมันเป็นแคมเปญจัดขึ้นมาน่าสนใจ มันก็ดาวน์หลายหมื่นแหละ แต่พอไฟแนนซ์มาพูดตัดเยื่อขาดใย ใครจะไปง้อมันล่ะ ก็เลยบอกให้เซลล์หาไฟแนนซ์ให้ใหม่ เค้าก็แจ้งมาว่าหาแล้วให้เบอร์ไปรอให้เค้าโทรมาหาเรา เราก็รอไป มันก็เหมือนความหวัง เราอยากให้รถพ่อกับแม่ ไม่อยากเห็นเค้าลำบาก หน้าฝนขับมอไซค์ตากฝน เดี๋ยวนี้ต่างจังหวัดเค้าไม่มีรถโดยสารกันแล้ว บ้านใครๆ ก็มีรถส่วนตัวทำให้รถโดยสารเค้าวิ่งไม่คุ้ม เลยไม่มีรถโดยสารเลย


แต่ตอนนี้เรามาเป็นแบบนี้ เราเองก็ไม่รู้จะอดทนไปได้อีกสักแค่ไหน ถ้าแค่ไม่ได้ป่วย ทำงานเครียดอย่างเดียวก็คงพอจะรับมือไหว แต่พอเป็นอะไรแบบนี้แล้ว มันยิ่งทำให้แย่ไปใหญ่ เพราะกดดันตัวเองทุกทาง อยากจะปล่อยวาง ลาออกจากงานมาตั้งหน้าตั้งตาขายของอย่างเดียว ก็กลัวความเสี่ยงวันใดวันหนึ่ง เดือนใดเดือนหนึ่งหรือหลายๆ เดือนติดๆ กัน ยอดขายแย่ ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าใช้จ่ายดูแลเด็กๆ ในบ้าน จะเป็นอย่างไร เงินเดือนแฟนเราก็ได้แค่ค่าบ้าน ดีที่ห้องชุดให้เค้าเช่า ใจจริงอยากขายเพราะหลายอย่าง กลัววันใดวันนึงคนเช่าออก เราก็ต้องจ่ายค่าบ้าน 2 หลัง เป็นเงินเกือบ 2 หมื่น เงินเดือนแฟนคนเดียวไม่พอ


หรือจะออกมาหางานอื่น ก็ไม่รู้หนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า ใจจริงอยากหยุดงานออกมารักษาตัวเอง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนจากอาการเอาแน่เอานอนของสภาพจิตใจเรา แต่ยังออกมาเฉยๆ ตอนนี้ไม่ได้ หยุดไม่ได้ เหมือนที่เราหยุดหายใจไม่ได้ยังไงยังงั้น คนอื่นก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ทำให้ช่วงนี้รู้สึกลำบากว้าวุ่นใจและเป็นทุกข์มาก วันที่ 12 ที่ผ่านมาวันแม่ กะโทรไปหาแม่ เพราะไม่ได้ไปหา ได้แต่ส่งของขวัญไปล่วงหน้าให้ มา 2 ปีติดแล้ว แต่เมื่อเช้าแม่ดันอดไม่ได้ที่จะโดนคนรู้จักบังคับให้ไปนั่งฟังขายตรงเจ้านึง เราโทรไปแต่เสียงมันดังฟังไม่รู้เรื่อง เลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวโทรมาใหม่ตอนเย็น ตกเย็นก็โทรไปใหม่ แทนที่จะชื่นใจกันไปวันนึง กลับไปทะเลาะกับแก ด้วยเรื่องที่ว่าแกจะสมัครขายตรงแล้วให้ทุกคนรอบตัวไปสมัครด้วย เราก็บอกไปว่ามันไม่ดีหรอก คนพูดก็พูดอะไรดีไปหมด ถ้าดีจริงคนไม่ต้องทำงานแล้ว และมันจะเป็นอย่างที่เค้าพูดก็คือแม่ต้องไปพูดชักจูงคนอื่นให้มาสมัครต่อแม่อีก มันก็ไม่ดีนะ ไปทางไหนพูดเรื่องนี้คนที่เค้ารู้อยู่แล้วเค้าก็จะรังเกียจเรา กลายเป็นเราทำให้เค้าโมโห ก็ว่าเรามาว่า ก็ทำหมดแหละอะไรจะทำให้ได้เงิน เผื่อจะมีเงินไปดาวน์รถออกป้ายแดง ดีกว่ามีเงินให้ใครมาเอาไปใช้อย่างอื่น (แกพูดยังกับเราเอาเงินแกมา เราเสียใจนะ) ก็เลยบอกไปว่า งั้นก็แล้วแต่แม่ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยบอกว่างั้นแค่นี้แหละโทรมาเฉยๆ (เพราะพูดต่อก็ทะเลาะกัน)



ตั้งแต่เริ่มขายของเราส่งเงินเข้าบัญชีแม่ไว้ทุกเดือน อย่างต่ำก็ 2 พัน อย่างสูงก็ 7 พัน มันก็ไม่ได้เยอะ แต่เราเดือนนึงก็ใช้เงินหมุนเยอะ เลยขอส่งเข้าไปแค่นั้นก่อน รายจ่ายเราเองยังแยะอยู่ทั้งค่าบัตร ค่าอาหารหมาแมว ค่าซ่อมบ้านนั่นนี่พังไปหลายจุด จากน้ำท่วม ก็ทยอยซ่อมเอา อีกทั้งเราขายของได้ยอดเดือนละหลายบาทก็จริง 3-4 เดือนล่าสุด ก็ยอดอยู่ที่ 5หมื่น-แสนได้ แล้วแต่เดือน บางเดือนดีมากได้แสน บางเดือนพอไปได้ก็ 5-6 หมื่น แต่เราก็เอายอดกลับมาหมุน ซื้อของสต๊อกมากขึ้น ก็เริ่มจากหลักไม่กี่พัน มีสินค้าไม่กี่ชิน จนตอนนี้สินค้าสต๊อกไว้เป็นพันๆ ชิ้น เงินหมุนก็เยอะตาม เพราะสินค้าใหม่เข้าทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์ 2-3 ครั้ง ก็หมดไม่น้อย แต่มันก็คือ กำไร ที่เอามาทำทุนต่อ เราก็แค่พยายามทำสิ่งที่คิดว่ามันดี



แต่พอเราเจอทุกๆ ด้านมาแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะหมดเรี่ยวแรง เหนื่อยแม้แต่หายใจ.....โชคดีที่เรื่องของแฟนเงียบๆ ไปบ้างช่วงนี้ ไม่งั้นเราคงทำมาหากินไม่ได้เลยวันๆ เพราะสมองเต็มไปด้วยเรื่องของปัญหาต่างๆ นาๆ

ไม่ได้มาอัพนาน ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่ยังเข้ามาให้กำลังใจ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ


Create Date : 13 สิงหาคม 2555
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 5:08:25 น. 2 comments
Counter : 379 Pageviews.

 
ฟังธรรมะ ของท่านพุทธทาส เรื่อง" การมีชีวิตด้วยจิตว่าง"ค่ะ
พอช่วยบรรเทาได้

เครียดอยู่เหมือนกัน อาศัยธรรมะ เข้าช่วย
ก็พอปล่อยวางได้บ้าง ไม่ทั้งหมด ลดความเครียดนิดนึงก็ยังดีนะคะ

เป็นกำลังใจให้เข้มแข็งต่อปัญหาทั้งปวงค่ะ


โดย: อบอุ่นในหัวใจ วันที่: 13 สิงหาคม 2555 เวลา:8:04:13 น.  

 
ได้ระบายคความในใจไปบ้างแล้วคงรู้สึกดีขึ้นเนอะ
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรต้องไปคิดกับมันมากนะ
ปวดหัวเปล่าๆ


ขอให้มีกำลังใจเข้มแข็ง
สู้ ๆ นะจ๊ะ




โดย: รุ่นป้าหน้าใส วันที่: 15 กันยายน 2555 เวลา:19:19:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

SK_KS
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add SK_KS's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.