อ่านหนังสือแล้วมองดูตัวเอง

เพราะช่วงปีหลังๆ มานี้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ในด้านของอารมณ์ความรู้สึก การดำเนินชีวิต ช่วงกลางปีก็เลยเริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน ก็หนังสือทั่วๆ ไป ซื้อมาเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาสไปเดินดู หลายต่อหลายเล่ม

สำหรับวันนี้จะพูดถึงเล่มนึงที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ เป็นเล่มเล็กๆ ประมาณ 200 หน้าได้ แต่ก็อ่านมาสองสามเดือน เพราะเป็นหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่งอะไร อ่านเมื่ออารมณ์มันพาไป จริงๆ เล่มแค่นี้อ่านกันแบบไม่ลุกไปไหนเลยก็คง สองสามชั่วโมง เป็นความรู้สึกดีเหมือนกันนะเวลาที่นั่งอ่านหนังสือสักเล่ม จริงๆ เมื่อก่อนก็ชอบอ่านหนังสือนะ แล้วก็ซื้อหนังสือบ่อย ทั้งนิยาย อันนี้เคยอ่านสมัยเรียนมัธยมต้น การ์ตูนทั้งไทยและญี่ปุ่น อันนี้อ่านตอนมัธยมปลาย (ขายหัวเราะนี่ซื้อทุกอาทิตย์เลย) พอเรียนปริญญาตรี ส่วนมากจะเป็นหนังสือวิชาการ อ่านแล้วขีดๆ เขียนๆ ไปด้วย พอมาเปิดดูอีกทีลายตาไปหมด หลากหลายสีสรรเกิน แล้วก็หนังสือทั่วไปบ้าง อาทิ ริชแดด (พ่อรวยสอนลูก) อันนี้ติดตามอ่านได้ถึงเล่ม 4 หุๆ หรือหนังสือของคนดังที่เราชอบอาทิ คุณสรยุทธตอนนั้น ซื้อมาแล้วไปขอลายเซนต์อีกตะหาก หรือหนังสืออ่านเล่นอื่นๆ ทั่วๆ ไปที่มีตามท้องตลาด ณ เวลานั้นๆ

แต่หลังจากคร่ำหวอดในอินเตอร์เนต (พูดเหมือนเก่งแต่เปล่า อิอิ ) หนังสือหนังหาก็ไม่ค่อยอยากจะแตะอีกเลย นานทีเดียว กระทั่งปีนี้แหละที่คิดอยากจะหาหนังสืออะไรก็ได้ที่อ่านแล้วรู้เรื่องมาติดไม้ติดมือ (นอกจากหนังสือวิชาการที่เกียวกับการทำงาน อันนี้ซื้อเสมอมา) หนึ่งในนั้นที่ได้มาก็คือเล่มนี้ "กลับหัวคิด มองโลก 80%" ซึ่งเป็นหนังสือแปลจากญี่ปุ่นที่แปลโดย คุณ ประวัติ เพียรเจริญ และเขียนโดยคุณ ไซโต้ ชิเงตะ เล่มเขียวๆ และเล่มที่ซื้อมาเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 10 แล้ว เป็นหนังสือในโหมดของ จิตวิทยา

เนื้อหาของหนังสือก็เกี่ยวกับการปรับตัว ความคิด ทัศนะคติ ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งล้วนมีเป้าหมายให้การอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขนั่นเอง แต่ในตลาดก็มีหลายๆ เล่มแหละนะ บังเอิญจังหวะที่เราไป เราชอบเล่มนี้ก็เลยซื้อมา

มีแบบทดสอบเกี่ยวกับลักษณะตัวตนของเรา และแบบทดสอบประเมิณภาวะการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งคอนข้างจะมีอยู่เยอะในสังคมเราปัจจุบัน เราเองก็แอบทำแบบทดสอบที่ว่านี่เหมือนกัน ^^ นอกจากแบบทดสอบที่มีให้เราได้ศึกาาความเป็นตัวของเราเองแล้ว เนื้อหาอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มีหลายแง่หลายมุมมอง ที่คุณไซโต้ ได้ชี้แนะให้เราได้เห็น แต่อันนึงเราชอบมากเลย และคิดว่ามันตรงกับความคิดของเราที่มีมามากๆ ก็คือ "คนเราไม่ควรปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็น และความอดทนลดน้อยลง"

เพราะถ้าไม่มีความอยากรู้อยากเห็น มันก็จะเป็นเหมือนเราตอนนี้ไง คือไม่อยากอะไรเลยสักอย่าง ชีวิตมันแสนจะดูหดหู่ สำหรับความอดทน คนที่มีความอดทนน้อยคงจะดำเนิชีวิตในสังคมยาก สำหรับเราก็คงมีแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละที่มันลดน้อยลงไป แต่ความอดทนยังเต็มเปี่ยม เป็นคนที่ อด ถึก ทน จนอาจจะได้โล่ห์เลยก็ได้ในบางเหตุการณ์

พูดถึงเรื่องความถึกทน เราก็นึกถึงสมัยที่เคยเรียนปริญญาตรี ตอนปีแรกๆ จนเกือบจบ ได้มีโอกาสทำงานเป็นสตาฟในกองถ่าย อยู่ 3 ปี เป็นอีกช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ทั้งด้านภาวะของอารมณ์ ความรับผิดชอบทั้งเรื่องงาน และเรื่องเรียน รวมทั้งครอบครัว ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้เจอคนมากหน้าหลายตา วงการบันเทิงมันก็เหมือนๆ ที่หนังละครได้สื่ออกมา มีทั้งคนที่สวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา คนที่สวมหน้ากากเฉพาะกิจ คนที่โยนขี้ให้คนอื่น และคนประเภทที่ "ตรูเจ๋ง ตรูแน่ ตรูใหญ่"

ทำงานอยู่จนเป็นที่คุ้นเคยและชำนาญในงานพอสมควร จากคนไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้า แต่เพราะหน้าที่การงานมันต้องพูดก็ต้องพูด ต้องเด้ดขาด แก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดให้ไว ทำให้เร็ว และปลอดภัย ตอนไปทำงานแรกๆ ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเคยเห็นละคร ได้ดูได้ฟังมา คนทำงานระดับแรงงานอย่างเราๆ เกิดไปเดินสะดุดสายไฟ หรือขากล้องเข้า คงจะโดนผู้กำกับ กินตับได้ง่ายๆ หรือใครก็แล้วแต่ที่อยู่เหนือเรา คงพร้อมจะขย้ำคอเราได้ทุกเมื่อ ฟังดูเหมือนไปเดินอยู่ในป่าของจูราสิคปาร์คเลย

แต่ก็อยู่มาได้จนสนิทสนมกับพี่เจ้าของบริษัท ที่เราเองก็เคารพรักและนับถือเสมอมา แม้กระทั่งทุกวันนี้ ไม่เคยลืมสิ่งที่พี่เึ้ค้าได้เคยสั่งสอนและให้โอกาสเราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ บางครั้งออกกองงานก็หนักบ้าง แต่ไม่เคยเบื่อ ตื่นแต่เช้า ตี3 ตี4 กลับดึกๆ เที่ยงคืน หรือตีหนึ่งตีสอง แต่ก็ไม่เคยเบื่อหรือหน่ายแต่อย่างใด ออกกองค่อนข้างจะเคร่งเครียดเหมือนกันในบางครั้ง เพราะเราต้องเผชิญหน้ากับผู้คนที่หลากหลายตัวตน แต่เจ้านายจะบอกเสมอว่า ออกกองอาจจะมีดุบ้างอะไรบ้าง ก็อย่าได้ถือสา เพราะเป็นเพียงการทำเพื่อให้งานมันออกมาดี และให้ได้ทันเวลา และก็แค่ตรงนั้น เราจะไม่เก็บเอามาใส่ใจที่ออฟฟิต ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงานมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับเจ้านาย แต่คนอื่นอาจจะไม่...

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราเคยโดนอาร์ทไดเรคเตอร์ท่านหนึ่งเคือง เพราะเราเป็นคนดูแลกองถ่าย ทีแรกเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาเคืองเราเรื่องอะไร เพราะออกกองทีคนไม่ใช่น้อยๆ แต่เราต้องคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้ึคนเหล่านั้น เพื่อที่งานออกมาจะได้ราบรื่นที่สุด ก็ดูแลกันตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบนั่นแหละ ทุกอย่าง ไม่ว่าใครประสงค์หรือต้องการอะไร รีเควสมา...แล้วเราจะจัดไป ครั้งนั้นที่เค้าเคืองเรา จากเดิมก็ไม่มีอะไรต่อกัน รู้จักกันมาได้สักพัก เพราะช่วงนั้นเค้ามาที่ออฟฟิตบ่อยก็คุยเรื่องงานกับเจ้านายนั่นแหละ

แล้วเรื่องมันมาเกิดตอนที่ ออกกองงานหนึ่ง พี่เค้าฝากกระเป๋าเจมส์บอนด์กับเราไว้อันนึง แต่ด้วยเราต้องทำงานเดินไปนู่นมานี่ ทำนู่นทำนี่ การหิ้วกระเป๋าเดินไปเดินมาด้วยมันก็ค่อนข้างจะไม่สะดวกเท่าไหร่ เพราะเราเองต้องคอย วอ 1 วอ 2 คอยเคลียร์ทางกันคนเวลาถ่ายงาน คอยเอาน้ำให้นักแสดง คอยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุดนักแสดง คอยดูแลความสุขใจของลูกค้า และอีกเยอะแยะ ฯลฯ นั่นแหละเราต้องทำทุกอย่างนี้ให้ทันเวลา ด้วยเหตุนี้ก็เลยน้ำคุณเป๋าเจมส์บอนด์ไปไว้กับรถกองถ่ายซึ่งจะมีคนขับรถอยู่ประจำ และเป็นรถที่ใช้ขับส่งทีมงานออฟฟิต ซึ่งก็มีคนจากบริษัทเรา เท่านั้น มันก็ค่อนข้างปลอดภัย

ทำงานทั้งวันไม่มีอะไร กระทั่งตอนเย็น เป็นเวลาทานอาหารพอดี แต่ทีมพร๊อพจะต้องเอาพร๊อพที่ยืมมาไปคืน เพราะเวลาที่ยืมหรือเช่ามา เค้าจะมีกำหนดเวลาส่งคืนด้วย ถ้าเกินนั้นเดี๋ยวจะโดนคิดเงินเพิ่ม และทีมพร๊อพได้มายืมรถตู้ในการไปจัดส่ง เราก็เลยต้องเอาคุณเป๋าเจมส์บอนด์ลงมา และด้วยเป็นเวลากินข้าวเย็นของกอง แน่นอนเราต้องไปคอยดูแล เทคแคร์ ทุกๆ ท่านที่มาร่วมงาน ว่าได้รับอาหารกันครบถ้วน หรือบางท่านที่ต้องทานอาหารที่เป็นเฉพาะของตัวเอง อย่างเช่น ไม่กินเนื้อ ไม่กินหมู อะไรแบบนี้ ก็เป็หน้าที่เราที่ต้องไปจัดการชี้แนะกับทางหน่วยเสบียง เพื่อให้ทุกคนได้อาหารที่กินได้ และอิ่ม มีความสุขกับการกิน

เราจึงเอากระเป๋ามาวางไว้ที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านหน้า และอยู่ในวงโคจรของลูกตาเราที่จะสามารถจับจ้องได้ตลอดเวลา และเป็นโต๊ะที่เตรียมเอาไว้ให้ทีมงานระดับมันสมอง ก็คือพวก ผู้กำกับ ฝ่ายศิลป์ ผู้ช่วยอะไรทำนองนี้แหละ ซึ่งเราก็ไม่ได้คลาดสายตาแต่อย่างใด ถึงจะวิ่งหน้าวิ่งหลังก็ตามที และเมื่อทีมงานระดับมันสมองมาถึงเราก็จัดให้นั่งที่โต๊ะที่ว่า แรกๆ เราก็นึกว่าคิดไปเอง เพราะพี่เจ้าของเป๋าเจมส์บอนด์เหมือนจะจ้องมองเราตลอด ไม่ว่าเราจะเดินไปไหนมาไหน ในระหว่างช่วงเวลาอาหารเย็น

และสุดท้ายเราก็ได้รู้ว่าพี่ท่านเคืองเรานั่นเอง เพราะคิดว่าเราไม่ดูแลกระเป๋าเค้าอย่างดี หาว่าเราเอาไปวางไว้สุ่มสี่สุ่มห้า เหอะๆ เราก็เอ๋อหน่อยๆ แต่ไม่ทันได้อธิบายพี่ท่านก็เดินหนีซะแล้ว พร้อมกับอาการแสดงออกอย่างชีัดเจนว่าไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เราเองทำงานที่นี่มานาน จนเริ่มชินกับสิ่งที่ถูกกระทำ หรือการโดนเข้าใจผิด หรือแม่้กระทั่งการโยนขี้มาให้เราเองก็เถอะ ...

และโดยไม่ต้องสงสัยแหละ เจ้านายเราก็มักจะได้รับรู้มาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่เราไม่คิดไม่อะไรมากนั่นก็เพราะ เจ้านายทำให้เรารู้สึกว่า เค้าเชื่อเรา แค่นั้นก็โอเคสำหรับเราแล้ว เราไม่ต้องการอะไรมากมาย นอกจากความเข้าใจ และเชื่อใจ เพราะเราเองก็ทำงานแบบถวายหัวให้เช่นกัน เราถึงได้รัแและเคารพเจ้านายเรามากมาย และหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป

แต่แล้วจิตใจคนเรามันก็สั่นคลอนได้ ความเชื่อมั่นและไว้วางใจก็สามารถจะถูกคลอนแคลงได้ด้วยเช่นกัน ในช่วงปีที่ 3 ดูเหมือนเจ้านายท่านนึงจะไม่ปลื้มเราเท่าที่ควร เพราะคิดว่าเราไปรับงานฟรีแลนซ์ให้กองถ่ายอื่น ที่เราบอกอย่างนี้ เพราะพี่เค้าถามเราตรงๆ ว่าเราไปรับงานอื่นหรือเปล่า เนื่องจากช่วงนั้นเราไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิตเท่าไหร่ ทำให้เห็นภาพและเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า "3 วันจากนารีเป็นอื่น" เลยเชียว เจ้านายเราเค้าคงคิดอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วคือตอนนั้นเรียนซะมาก เพราะที่มหาลัยปีท้ายๆ งานมันก็มีแยะขึ้น ต้องปฎิบัติเยอะขึ้น เคี่ยวเข็ญตัวเองมากขึ้น ทำไงได้มหาลัยเปิด แถมเรียนคณะวิทยาศาสตร์ บางครั้งไม่ได้เข้าเรียนก็แย่เอาการอยู่ แต่กระนั้นความไว้เนื้อเชื่อใจก็ไม่ได้มีเช่นเคย จนในที่สุดเราเองก็รู้สึกเหนื่อย แต่ไม่ได้โกรธอะไรที่ไม่เข้าใจและเชื่อใจเหมือนเคย เพียงแต่เราเหนื่อยและอาจจะน้อยใจด้วยในบางที

เพราะเรารักเจ้านายเรามากๆ และไม่เคยคิดจะหักหลัง รักและเคารพยิ่งกว่าพี่ของตัวเองเสียอีก แต่เพราะเหตุการณ์มันเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็เลยตัดสินใจลาออก เพราะตั้งใจว่าจะมาเรียนอย่างเดียว ให้จบๆ ไป เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้พี่เจ้านายคนนี้โกรธเราแหละเราว่า เราเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเราไมรู้ว่าเราทำอะไรผิดไป เราพยายามทำใ้ห้ออกมาดีทุกอย่างเรื่องงาน และความซื่อสัตย์ต่อพี่เค้าไม่เคยจะลดน้อยลงไป แต่วันสุดท้ายที่เราเข้าไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายของกองถ่าย พี่เค้าก็ไม่ลงมาเจอเลย และไม่ได้คุยกันอีกนานทีเดียว จะบอกว่าเราก็เสียใจ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากอยู่เป็นนางหน้าห้องของพี่เค้าตลอดไป แต่ทว่าคนเรามันก็ต้องมีทางดำเนินชีวิตของใครของมัน

เราเองมีครอบครัวที่คอยหวัง ให้เราเรียนให้จบ ให้มีงานมีการทำ พ่อแม่เราค่อนข้างจะโบราณสักหน่อย ในเรื่องของการเรียนให้จบสูงๆ ถึงจะมีหลายต่อหลายคนพูดว่า ลูกผู้หญิงจะเรียนไปทำไม แต่พ่อแม่เราไม่เคยคิดอย่างนั้น เค้าหวังให้เราเรียนให้สูงเท่าที่จะทำได้ และปริญญา ก็เป็นอีกอย่างที่เค้าหวัง เพราะในบรรดาญาติพี่น้อง ก็เป็นธรรมดาที่จะมีการกลัวกันได้ดีเกินตัวเอง เจอมาจนชิน ในบรรดาญาติๆ เราที่บ้านต่างจังหวัด ส่วนมากมีครอบครัวกันหมดแล้ว ในรุ่นราวคราวเดียวกันตอนนั้น บางคนก็มีครอบครัวจนมีลูกมีเต้า และก็มาพูดให้แม่ได้ยินเสมอๆ ว่า เดี๋ยวก็เป็นเหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ มันเลยทำให้แม่เราอยากให้เรามีปริญญา เหอะๆๆๆ เป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะนะ

คนเราก็อย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จัก หรือญาติสนิท ก็อาจจะเจอคนประเภทนี้ได้ทุกที่ คนส่วนมากไม่ค่อยมองอดีตที่เคยเป็นมา แต่เค้ามองที่ความสำเร็จที่ปัจจุบันมากกว่า หากตอนนี้ยังไม่มีอะไรเค้าก็พร้อมจะเหยียดหยันและทับถม คนที่เคยพูดว่าเราเป็นเด็กดีอย่างนั้น เด็กดีอย่างนี้ ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ต่อเมื่อปัจจุบันก็ไม่วายที่จะพูดจาถากถางให้พ่อแม่เรารู้สึกเจ็บในใจ เมื่อเรายังอยู่ในภาวะของการเรียน ซึ่งถืเป็นความผิดพลาดของเราเอง ครั้งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ทีเรียนซะนานหลายปี

หลังจากออกจากงานที่นั้นมา เราก็มาเรียน แต่มันเหมือนคนเคยทำงาน พอมาเรียนอย่างเดียวก็ต้องปรับตัวกันอีกมากเหมือนกัน จนกระทั่งแพ้ใจตัวเอง ทำให้การเรียนที่เหลือไม่กี่หน่วยกิจ ที่อุตส่าห์ออกจากงานมา มันไม่จบสักที ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอของตัวเราเองแท้ๆ หลงทางไปนาน แต่สุดท้ายก็จบออกมาจนได้ ถึงมันจะดูไม่สวยหรูเหมือนตอนจบมัธยม หรือประถมก็เถอะ แต่เราก็ได้ปริญญามาให้แม่และพ่อ อย่างน้อยคงไม่มีใครถามพ่อกับแม่อีกว่า เราเรียนจบหรือยัง ...

ถึงเราจะไม่ได้เป็นลูกที่ดีที่สุด หรือเป็นลูกที่ดีเหมือนก่อน แต่เราก็พยายามแก้ไขสิ่งที่ทำพลาด สิ่งที่ทำให้เค้าเสียใจ ตลอดหลายปีมานี้ และหวังว่าสักวันพวกท่านจะมีความภาคภูมิใจในตัวเราอีกครั้ง...

สำหรับหนังสือ กลับหัวคิด มองโลก 80% ที่ว่ามาในตอนต้นนั้น นอกจากสิ่งที่เราเอ่ยไปแล้วก็ยังมีหัวข้อที่น่าสนใจ และคิดตามอีกมากมาย แค่ 200 หน้าก็ได้อะไรเยอะแยะจากหนังสือเล่มนึง แค่เพียงเราหยิบมันมาอ่าน และหัวข้อที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้อีกก็อย่างเช่น การรู้จักมองจุดอ่อนของตัวเอง การมองความเครียดที่เป็นแบบเครียดดีและเครียดร้าย เรื่องของการคิดไปเองของคนเรา มุมมองของการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เราเอง ให้เราเข้าใจคำว่าโอกาสมากขึ้น ที่มันไม่ใช่การรอให้โอกาสมาหา แต่เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เอง เรียนรู้การเพิ่มความเป็นคนมีเสน่ห์ให้ตัวเราเอง การมองตัวเราเองจากการเรียนรู้จากผู้อื่น และอื่นๆ อีกมากมาย เผื่อใครจะอยากหามาอ่านดู เราก็พูดแค่เรื่องราวคร่าวๆ ที่หนังสือเรื่องนี้ได้นำเสนอให้เราคนอ่านได้ซืมซับ

และสำหรับเล่มที่เราถืออยู่นี้ คาดว่าจะนำไปจับฉลาก 5555 เพราะว่าหนังสือดีเราก็ไม่อยากอ่านคนเดียว จะเอาไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน แต่จะไปบังคับให้ใครอ่านก็ไม่ได้ใช่ไม๊ พอดีอีกไม่กี่วันนี้เพื่อนกลุ่มมหาลัยมีจัดงานเจอกันสำหรับปีใหม่ ทำบุญ พูดคุยและมีจับฉลาก และมันบังเอิญว่าห้ามซื้อของมาจับให้เอาสิ่งที่มีอยู่และคิดว่ามีค่ามาจับ ตอนเราได้รับอีเมล์เราเองยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปขุดหาอะไรในบ้านไปผูกโบว์ดี แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็โป๊ะเช๊ะ! ในใจ ว่านี่แหละใช่เลย เล่มนี้แหละ ไม่รู้คุณเพื่อนคนไหนจะได้รับไป ตื่นเต้น-ตื่นเต้น




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2553
5 comments
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 1:21:57 น.
Counter : 548 Pageviews.

 

สวัสดียามบ่ายจ๊ะกระติ๊บ ดีจังเลยมีงานปีใหม่คงสนุกสนานกันมากๆเลยเนอะ

 

โดย: หัวใจแก้ว 24 ธันวาคม 2553 14:46:22 น.  

 

สวัสดีค่ะกระติ๊บ

สุขสันต์วันคริสมาสต์นะคะ ขอให้อิ่มความสุขจนพุงกางเลยนะคะ ^^

 

โดย: หัวใจแก้ว 25 ธันวาคม 2553 0:38:09 น.  

 



ต้องกลับ ตจว. เลยมาอวยพรให้ก่อนนะคะ

 

โดย: Megeroo 29 ธันวาคม 2553 0:06:56 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: หัวใจแก้ว 1 มกราคม 2554 21:55:59 น.  

 

..ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พรุ่งนี้ขอให้เป็นวันที่สดใสนะคะ ^^กระติ๊บ

 

โดย: หัวใจแก้ว 3 มกราคม 2554 22:45:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


กระติ๊บริมทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนดีคนนึง ก็แค่นั้น อ่ะฮิ้วววว
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระติ๊บริมทาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.