Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 4-2 ซาปา ทริปสั้นยามบ่าย เตรียมตัว กลับฮานอย

>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-1 สุวรรณภูมิ ดินแดนของพนักงานหน้า...<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-2 ฮานอย เดินทาง หาที่พัก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-3 ฮานอย กินๆ นอนๆ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-1 ฮานอย เดิน เที่ยว ถ่าย วิ่ง Amazing Race<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-2 ฮานอย ถึงแล้วจริงๆนะ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-3 ฮานอย นี่หรือ cha ca!!!!<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-4 ฮานอย มุ่งสู่ซาปา<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-1 ซาปา มากินหรือมาเที่ยว<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-2 ซาปา ละเลียดบรรยากาศ สูดอากาศ และซึมซาบวิวทิวทัศน์<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-3 ซาปา เมืองแห่งหมอก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 4-1 ซาปา สวนพฤกศาสตร์<<<




หลังจากเช้านี้เราเดินจนเปลี้ยและเวลาหมดแล้วเราก็ลงมา เพื่อนขอแวะซื้อของตรงแถวที่ขายตั๋วตอนที่มา จะมีร้านมากมาย ไม่แพงด้วย แต่ต่อเยอะๆหน่อย แล้วเราก็ไปกินกลางวัน วันนี้ที่ร้าน Little Sapa อยู่ใกล้ๆกะตลาดซาปาเลย



ดูจากลายผ้าปูโต๊ะ เพื่อนแม่ลูกอ่อนของเรายืนยันทันทีว่า
"เป็นเจ้าของเดียวกับ Little India แน่นอนแก ดูลายผ้าปูโต๊ะดิ"
"แล้ว Little Hanoi อ่ะ เจ้าของเดียวกันด้วยว่างั้น" เราถามต่อทันที
"ก็เออซิวะ"
"อืมม ดี เดี๋ยวเราลองสั่งแกงกระหรี่มากินดู^^"



เราต้องรีบทำเวลากันมากที่ร้านนี้ เพราะช่วงบ่ายวันนี้เราได้ซื้อทัวร์เที่ยวน้ำตกไว้ แล้วนัดเค้าบ่ายโมงตรง นี่เที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว เราสั่งจัสมินที ส่วนเพื่อนผู้เชี่ยวชาญภาษาสั่งกรีนที หอนกรุ่นอีกครั้ง ใช้ได้เลยยี่ห้อนี้ แต่ชาเขียวของเพื่อนเหมือนน้ำเปล่าสะงั้น (ชาแก้วละ7,000ดอง)



แล้วก็สตรอเบอรรี่โยเกิร์ตของเจ๊แม่ลูกอ่อน อร่อยดีไม่หวานไป (9,000ดอง)



แล้วเราก็สั่งข้าวมาแบ่งกันกิน ก็มีเราสั่งข้าวแกงกระหรี่มากิน (29,000ดอง) เพราะนอกจากเป็นของโปรดแล้วเราต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นเจ้าของเดียวกับ Little India รึเปล่า ปรากฎว่าเราต้องกลับมากินข้าวแกงกระหรี่หมูทอดที่zenแก้ (อีกแล้ว..แต่ถ้าชอบแบบเส้น อุด้งแกงกระหรี่ที่zenมันสุดยอดจริงๆ) สงสัยว่ามันเป็นสาขาห่างไกล เค้าเลยผสมน้ำเยอะโดยไม่จำเป็น รสมันเลยอ่อนมากๆ แต่ก็กินได้นะ ดีกว่ากินดิน (พี่เรามักพูดเสมอเวลาไปกินอะไรที่ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีมาก)



ส่วนคุณเพื่อนสั่งสปาเกตตี้อเมริกาโนอะไรสักอย่าง (43,000ดอง) เป็นเบคอน อร่อยดี เลี่ยนนิดๆ เพื่อนๆ เราขอพริกน้ำปลามาสู้ ใส่ในสปาเกตตี้เลย มันบอกอร่อยดี แต่เราไม่ได้กินแบบใส่พริกน้ำปลาเลยไม่รู้ว่าเป็นไง



อีกจานก็สปาเกตตี้โพโลไรนี่แหละ (43,000ดอง) อันนี้เป็นทูน่า แม้น้ำราดจะคล้ายๆ จานเมื่อกี้ แต่รสชาติต่างกัน อันนี้มันจะเลี่ยนกว่า และกลิ่นปลาทูน่ามันก็แรงพอควร แต่ก็กินได้อะ



ดูเวลาก็บ่ายโมงกว่า เราสามคนรีบมุ่งหน้ากลับไปโรงแรมทันที เดินขึ้นเนินอย่างรีบๆ นี่ยิ่งเหนื่อย ที่กินเข้าไปเมื่อกี้แทบทะลักออกมา พอถึงโรงแรม พนง.โรงแรมก็บอกว่า
"นี่บ่ายโมงสิบห้าแล้ว เวลานัดบ่ายโมงตรง คุณมาสายไป15นาที" แล้วเค้าก็ไปเรียกไกด์มาแนะนำให้รู้จัก
เราก็หันไปมองหน้ากับเพื่อนแล้วงงว่าเค้าจะพูดประโยคเมื่อกี้เพื่ออะไร ให้เรารู้สึกผิดว่ามาสาย? หรือจะบอกว่าเราเสียเวลาไปฟรี15นาทีเค้าไม่ชดเชยให้หรืออะไร ไม่เคลียอย่างแรงๆ


แล้วไกด์ชาวเขาซึ่งเป็นผู้หญิงตัวน้อยๆ เข้ามาจับมือทักทายพร้อมแนะนำตัวว่าชื่อ ไชย คือจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าชื่อไชยรึเปล่าหรือเราได้ยินผิด แต่หลังจากนั้นเราพยายามตะโกนเรียกไชยๆ เค้าไม่เคยหันมาเลยสักครั้ง T^T สรุปว่าเราไม่รู้ชื่อจริงๆอยู่ดีก็เรียกไชยไปแล้วกัน ง่ายดี


แล้วเราก็ไปขึ้นรถ มันแนวมากๆ ชีวิตนี้ไม่เคยนั่งแบบนี้มาก่อน ดูจากแดดนึกว่าร้อน จริงๆ อากาศเย็นสบายเลย (แต่ต้องใส่เสื้อหนาวแขนยาวอยู่นะ)



เส้นทางที่เราเผชิญก่อนไปถึงน้ำตก silver นั้น เรียกว่าฟื้นความจำตอนนั่งรถจากเสียมเรียบไปปอยเปตได้ดี เป็นหลุมบ่อตลอดเส้นทาง แล้วถนนยังเป็นดินแดง รถที่เรานั่งจึงกระดกขึ้นลงตลอด มีทางดีๆ เป็นระยะๆ จุดนี้เองที่เราไม่เข้าใจเจ๊แม่ลูกอ่อนของเรา ตอนถนนดีๆ เจ๊แกไม่หยิบน้ำขึ้นมากิน พอเจอถนนแย่ๆ จังหวะหลุมบ่อเมื่อไร ชีจะหยิบน้ำขึ้นมากินตอนมันลำบาก ตอนมันกระฉอกไปมาทันที ซึ่งสร้างภาพอันอุจาดตาให้แก่เพื่อนร่วมทางเป็นอันมาก ที่แบบหลุจากขวดแล้วปากก็ยื่นๆ พยายามไปที่ปากขวด ส่วนขวดก็ไปอีกทาง ที่เลวร้ายที่สุดคือไอ้น้ำขวดนั้นเป็นของเราเอง เราถึงกับยกให้ทั้งขวดแบบไม่เสียดาย


ไม่นานเราก็มาถึงน้ำตก silver น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของซาปา แต่เนื่องจากนี่เป็นหน้าหนาวเราจึงไม่คาดหวังอะไรมากนัก เมื่อลงรถมาเราก็จะเห็นเป็นซุ้มผ้าใบสีฟ้าขายของที่ระลึกมากมาย รวมถึงปิ้งๆย่างๆ ให้กินกันด้วย นั่นรถที่มาส่งเรา ส่งเสร็จก็ขับหนีไปไหนไม่รู้



เสียค่าเข้า 5,000ดอง/คน แต่เราไม่ต้องจ่ายเพราะรวมอยู่ในค่าทัวร์ที่ซื้อแล้ว ตรงที่ขายตั๋วมีรูปตอนน้ำเยอะๆ มันเยอะได้ใจมากๆ อ่ะ แต่เราก็รู้ว่าวันนี้ที่เรามามันคงไหลเอื่อยๆ แล้วเราก็เดินขึ้นไปอย่างหอบ จนไชยคงสงสัยว่าพาป้าแก่ๆ มาทัวร์รึเปล่า เพราะมันเล่นพักกันเกือบทุกขั้นบันได


พอเรามองขึ้นไป โอโห สูงแฮะ ทุกคนเรียกว่าถอดใจกันเลย แทบจะฝากไชยขึ้นไปดูแทนแล้วรอกันด้านล่าง



แต่จริงๆ มันไม่ได้สูงแบบที่เราคิด เพราะพอถึงตรงสะพานข้ามข้างบนนั่น ก็จบจุดที่สูงที่สุดแล้ว แต่เราคิดกันไปเองว่ามันต้องไปถึงยอดบนเขานั่น



แล้วเราก็ถ่ายรูปหมู่สามคนกัน เลยไม่ค่อยมีรูปวิว เพราะนานทีจะมีคนที่พอไว้ใจได้มาถ่ายให้ เราเลยเต็มที่กับมัน แม้ว่าไอ้น้ำตกนี่จะน้ำไม่เยอะ และก็ไม่ได้กว้างหรือใหญ่โตอะไรมากมาย ไม่นานเราก็ลงมา พร้อมหันกลับไปถ่ายรูปเป็นรูปสุดท้าย



แล้วก็นั่งรถกันต่อ เข้าไปอีกไม่นาน เราก็ถูกไล่ลงกลางเขา



หันไปถามไชยจึงรู้ว่า ออ ไอ้แทรมทอนพาสนี่มันก็คือเขามากมายสลับซับซ้อนพวกนี้นี่เอง มันคือจุดวิวสวยที่มาถ่ายรูปกัน ไอ้เราก็นึกว่าคืออะไร แล้วไอ้วิวสวยที่เราจะมาดู วันนี้ก็เต็มไปด้วยหมอกแบบนี้ แล้วนี่เราเสียค่าทัวร์มาเพื่อ?



ต้องรอจังหวะหมอกไปอยู่เป็นระยะๆ ก็จะได้เห็น



เป็นการทัวร์ครึ่งวันที่แพงชะมัด สองที่แค่นี้คิดคนละ 10ดอล เสียดายที่เราสามคนไม่มีใครขี่มอไซด์เป็น ไม่งั้นจะเช่ามอไซด์คนเดียวซ้อนสามขี่กันมาเอง คงถูกกว่าหลายเท่าอยู่ เพื่อนเราถึงกับยืนมองวิวไปคิดไปว่า นี่หรือที่เงินกรูแลกมาแต่จริงๆ วิวมันก็สวยอยู่นะ



เราจึงหลอกถ่ายรูปกะไกด์เลย เพื่อเอาไปประจาน เอ้ยไม่ใช่ ไกด์เราน่ารักมากต่างหาก ดูไม่เฟกเหมือนไกด์บางคนที่แอบไปเห็น มัวแต่ถ่ายกะไกด์เลยไม่มีรูปไกด์เดี่ยวๆ เลย


แล้วเค้าก็พาเรากลับ แต่คงเห็นว่าพวกเราโดนหลอกฟันค่าทัวร์แพงๆ เลยสงสาร แวะลงให้ถ่ายรูปอีกที่นึง ที่เห็นเขาฟาซิปันชัดๆ ไอ้เรามันก็เป็นพวกไม่ชอบทั้งวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ก็ไม่ชอบ เลยเห็นเขาไหนๆมันก็คือเขาอะนะ ต้องมีชื่อทำไมให้ยุ่งยากนะ แต่ไงก็สวยไปอีกแบบนะ เขามันซ้อนๆ กันแบบสวยดีอะ



เส้นทางที่เรามานี่สำหรับคนที่จะขึ้นเขาฟาซิปันเค้าก็จะพามาทางเดียวกันนี้ แล้วมันมีทางเข้าไปได้ แล้วก็ค่อยไปปีนขึ้นไปกันต่อ ซึ่งเราถามจากไกด์ไชยเค้าบอกว่ามันเป็นครึ่งทางของคนที่จะขึ้นเขาฟาซิปันเลย ได้ไม่ต้องไปเริ่มข้างล่าง ประมาณนี้


ที่นี้ก็กลับโรงแรมจริงๆ หล่ะ ทั้งหมดใช้เวลาไปกะทัวร์ครึ่งวันนี้เพียงสองชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น พวกเราทิปให้กะไกด์กะคนขับไปคนละ 20,000ดอง ตอนแรกจะให้มากกว่านี้แต่ทริปมันสั้นเหลือเกิน ก็ให้แค่นี้ละกัน หุหุ ตอนแรกไกด์จะไม่เอาด้วย แต่อีคนขับนี้รับไปยิ้มแย้มเลยนะ


เพิ่งจะสามโมงกว่าก็ถึงโรงแรม แล้วเจ๊แม่ลูกอ่อนก็ขอไปอาบน้ำ เราก็ไปนั่งเล่นแถวนั้น ห้องอาบน้ำที่โรงแรมสำหรับคนเช็คเอ้าท์ไปแล้วจะอยู่ชั้นใต้ดิน ชั้นล่างสุดเลยติดกับห้องอาหาร เดินเลยห้องอาหารออกมาด้านนอกก็จะเจอ เป็นแบบซีทรูนิดๆ คือถ้ามายืนใกล้ๆ กะประตู มันก็จะวาบหวามทีเดียว ที่เห็นว่าติด woman man ตรงหน้าประตูห้องน้ำก็ติดไปงั้นเอง เพราะจะชายหญิงเค้าก็เข้ากันได้ทุกห้องอะ เพราะเหมือนกันหมด และไม่เห็นว่าไอ้คนต่อคิวจะแยกเข้าตรงไหน



อีกฝั่งของห้องน้ำมีทางลงไปไหนสักแห่ง



แถมด้วยวิว เมื่อถ่ายจากแถวๆห้องอาบน้ำ



และด้วยความที่ว่างจัด ไม่มีอะไรทำแล้ว เลยมาถ่ายรูปในห้องอาหารแก้เซง ด้านนี้ติดกะทางออกไปห้องอาบน้ำ



ส่วนด้านนี้ติดกะฝั่งทางลงบันไดมาจะเจอแบบนี้ที่ทำให้เรางงไปตอนแรกที่ลงมา เพราะหาห้องอาบน้ำไม่เจอ



มีเน็ตให้ใช้ด้วย พอเราลองไปใช้ เน็ตมันใช้ไม่เห็นได้เลย



สำหรับอาหารในโรงแรมนี้ พอดีว่าอิ่มเลยไม่ได้สั่ง กะว่าไปรอกินตอนเย็นเลยทีเดียวแถวสถานีรถไฟเลาไก แต่เปิดเมนูแอบดูราคาก็ไม่แพงมากอะ เฉลี่ยประมาณจานละ 40,000ดอง อาหารเช้าก็มีตั้งแต่ 15,000-30,000ดอง น้ำผลไม้ปั่นก็ 10,000-15,000ดอง แต่รสชาติไม่รู้นะ ก็คงกินได้อะ เห็นคนที่เค้าสั่งมากินกันก็คึกคักดี


เมื่อเจ๊แม่ลูกอ่อนอาบน้ำเสร็จ อีกคนเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ก็ขึ้นไปชั้นล็อบบี้ ไปนั่งแอบฟังชาวบ้านคุยกัน มีแต่คนที่จะกลับวันนี้ทั้งนั้นมานั่งรอกัน เพราะว่างไม่มีไรทำ ต่างก็ชักชวนกันไปเที่ยวประเทศตัวเอง (ไปฟรีป่ะหล่ะ) จนเวลาประมาณ 5โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่โรงแรมนัดไว้ (รถตู้ที่พาคนลงไปส่งที่เลาไก ออกสายสุดที่ได้ยินก็หกโมงเย็น ส่วนใหญ่จะออกกันห้าโมง แต่คันที่เรานั่งออกห้าโมงครึ่ง) รถแวนคันใหญ่ของโรงแรมก็มา ก็ขึ้นไปเบียดเสียดนั่งกันเต็มคันแบบว่าเราหายใจไม่ออกอีกแล้ว เลยต้องขอเปิดหน้าต่างตลอดเส้นทางลงเขา 1ชั่วโมงนี้ ขนาดเปิดรูที่หน้าต่างรูเล็กนิดเดียว แต่โครตหนาว ทรมานมากๆ หูก็ปวด อื้อๆด้วย ฝรั่งแถวหลังเราขอให้เราปิดหน้าต่าง เราก็เลยบอกว่า "I can't breath" เพื่อนเราก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอยู่แล้ว "..without you" ทันที - - เอาเข้าไป


พอถึงแถวสถานีรถไฟเลาไก รถก็มาส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเอาตั๋วยาวๆ ของทุกคนบนรถซึ่งเป็นเหมือนตั๋วจองว่าเราจองจากยี่ห้อไหนไปเอาตั๋วจริงให้ แต่ต้องตอบแทนด้วยการนั่งกินร้านหัวคิวเค้านั่นแหละ เราก็ตอนแรกตั้งใจจะไปกินที่อื่น แต่ก็เอาวะ ที่ไหนก็ได้ เหมือนๆ กัน ก็สั่งน้ำมะนาวอุ่นผสมน้ำผึ้งมา ค่อยดีหน่อย เจ็บคอมากๆ สั่งอาหารอีกสามอย่าง ปลาทอดกะมะเขือเทศจานนึง แซนวิชจาน แล้วก็เฟรนช์ฟรายจาน ก็ข้าวสิ้นคิดอีกจาน (ข้าวผัด) ทั้งหมดก็ 84,000ดอง ข้าวผัดเย็นเหมือนเอาออกมาจากตู้เย็น แซนวิชมันก็คือขนมปังฝรั่งเศสใส่ใส้ไก่แล้วก็อะไรเทือกนั้นอะ ปลากะเฟรนช์ฟรายพอกินได้ แต่ถ่ายรูปมาแต่น้ำ



แล้วเราก็แวะซื้อน้ำ3ขวดกะกระดาษทิชชู่อันเล็กๆ ที่โชว์ห่วยแถวนั้น เค้าคิดน้ำขวดละ 4,000ดอง ทิชชู่อันเล็กแต่เนื้อดี 3,000ดอง ตอนแรกเค้าก็บอกเรา 11,000ดองอยู่ดีๆ ก็ขึ้นเป็น 15,000ดอง เราก็งงๆ แต่ช่างมันเล็กๆ น้อยๆ เงินก็เหลือเยอะ ไม่คิดไร


จากนั้นเมื่อเค้าเอาตั๋วมาแจกคืน แล้วเค้าก็พาเราไปสถานีรถไฟ มีการถือธงเดินตะโกนนำทาง เหมือนเรามากะทัวร์ไปเลยสะงั้น



พอเข้ามาสถานีก็คุยกะคนไทยไปเรื่อยๆ ระหว่างรอขบวนรถไฟอื่นออก เพื่อไปขบวนของเรา เราก็รีบไปอวดว่าทริปของเรามีค่าใช้จ่ายถูกขนาดไหนกะคนอื่น ให้เค้าเครียดว่ามาแพงกว่า แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ว่าแพงกว่าเราเท่าไรหรอก แต่ทริปหนุกสู้เราได้มั้ยก็อีกเรื่องอ่ะนะ


แล้วก็ขึ้นรถไฟซึ่งมีสภาพคล้ายเมื่อขามาไม่มีผิด ทั้งๆที่มันคนละยี่ห้อกัน แล้วคราวนี้มันก็มีเรื่องเตียงอีกแล้ว มันจะให้เรานอนชิวๆ สักครั้งไม่ได้เลยใช่มั้ย วันนี้เตียงเราได้ ตู้เบอร์1 ได้2เตียง เตียงล่าง1บน1 แยกไปตู้2 เตียงล่างคนนึง ห้องมันติดกันเลย ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรแบบ เออช่างเหอะคืนเดียว เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ปรากฎว่าไอ้คนเดียวที่ต้องแยกไปนี่ต้องไปสู้กะหนุ่มร่างกายบึกบึนชาวจีน ที่มีสามเตียงแต่เฮียเค้ามานอนกันถึง4คน อีกคนมันปีนหน้าต่างขึ้นมารึเปล่าฟระ เราสามคนคาดการณ์แล้วว่าใครที่ต้องไปนอนตู้นั้น วันนี้ยังนาวสาวพรุ่งนี้เช้าต้องเป็นนางแน่ๆ (เลยรีบแย่งกันไปนอนตู้นั้นทันที เอ๊ยไม่ใช่)


เจ๊แม่ลูกอ่อนถึงกับถอดใจบอกถ้าคนเดียวเจ๊ไหว แต่เวียนเทียนแบบนี้เจ๊คงต้องถอย ความหวังเดียวที่มีอยู่ตอนนั้นก็คือผู้ที่จะมานอนอีกสองเตียงที่ตู้1 เพราะเราอาจจะขอให้เราเค้าคนใดคนนึงเปลี่ยนตั๋วกะของเรา เราจะได้นอนรวมกันที่ตู้1ตู้เดียวสามคน แล้วมันก็ทำให้เราผิดหวัง เพราะเค้ามาเป็นคู่สามีภรรยาเลยเป็นชาวเวียดนาม ซึ่งไปกราบติงยังไงเค้าไม่ยอมแยกตู้นอนแน่ๆ เราเลยครุ่นคิดวิธีการกันต่อ คิดแผนนู้นนี้กันไม่หยุด


จนเห็นคู่เวียดเค้านอนเตียงล่างด้วยกันอยู่อย่างกระหนุงกระหนิง (นอนสลับด้านกัน คือติงลุงจะเจอกะหน้าป้า ติงป้าจะเจอกะหน้าลุง นี่อาจเป็นวิธีแสดงความรักชาวเวียดแบบดิบๆ อันนี้เราไม่คอนเฟิร์ม) เราหน้ามืดแล้วตอนนั้นเลยคว้าอีโต้มา กะว่าตายไปสักคนจะได้มีเตียงเหลือ (<<ฝันไปนะ) เราก็ก้มลงกราบติงคุณลุงคุณป้า บอกคุณลุงช่วยย้ายไปตู้ข้างๆ เหอะ เราสามสาวชอบเข้าวัดฟังธรรมมากแต่ไม่ชอบเวียนเทียนจริงๆ สุดวิสัยมากๆ ... ชักแม่น้ำทั้งหมดบนโลกนี้มาทำให้เป็น1000เหตุผลที่ลุงต้องย้ายไปตู้ข้างๆ ไปอยู่กะหนุ่มๆจีนนักเพาะกายนั่น หว่านล้อมลุงด้วยเงิน ขนม ของกินมากมาย พร้อมที่พักฟรีที่กรุงเทพฯ


ลุงฟังไปหลับไป จนในที่สุดรำคาญเลยบอกให้หยุดฝอย เพราะว่าลุงแกจะนอนกับป้าที่เตียงล่างนี่ เตียงบนจะไปนอนหรือยังไงก็เชิญตามสบาย โอ้ว สวรรค์ประทานให้ลุงป้านักรักดิบๆ คู่นี้มาตู้เดียวกะเราแท้ๆ ทำให้เราได้เตียงฟรีมาแบบง่ายๆ (ไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ จะได้ไม่ต้องซื้อตั๋ว)


แต่พอเจ้าหน้าที่รถไฟมาตรวจตั๋วเค้าก็ไล่ให้เราไปนอนตู้เวียนเทียนนั่นทันที แต่ขอโทษเจอป้าของเราพูดใส่ไฟแลบฟังไม่ทันและไม่รู้เรื่อง แต่เดาได้ว่า
"เห้ยแก มานอนตรงนี้ได้ไง ตั๋วแกมันตู้ข้างๆ ไสหัวเน่าๆ ของแกออกไปซะ" จนท.รถไฟหนุ่มตะคอกใส่เรา
"ไอ้เจ้าหน้าที่เวร แกนี่มันรนหาที่จริงๆ สาวน้อยน่ารักกลุ่มนี้เค้าไม่ชอบเวียนเทียนว้อย เค้าเลยขอมานอนแทนเตียงสามีชั้น แล้วสามีมานอนกะชั้นนี่ ไงเตียงมันก็ว่างก็ยกให้สาวๆเค้านอนไปสิเค้าไม่อยากไปตู้นั้น หรือถ้าแกชอบเวียนเทียนนักแกก็ไปนอนซะเองสิ" ป้าวีรสตรีโลกลืมของเราเถียงสู้
"ชิส์" เจ้าหน้าที่สะบัดหน้าหนี เดินสะบัดก้นออกไปพร้อมกระแทกประตูดังๆ
เราสามคนถึงกับอยากลุกขึ้นปรบมือแบบในหนัง ที่ค่อยๆดังจาก1คนตบมือจนทุกคนในอัฒจรรย์ต้องลุกขึ้นมาตบมือตามยังไงอย่างนั้น


แล้วเราก็ผ่านคืนนี้ไปอย่างเป็นสุข และความเศร้าของลุงกะป้าที่ต้องคอยฟังเสียงไอค่อกแค่กดังสลับไปมา3คนตลอดทั้งคืน




>>>อ่านตอนต่อไป ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอนจบ กลับกรุงเทพฯ<<<


Create Date : 02 มีนาคม 2551
Last Update : 4 มีนาคม 2551 20:14:40 น. 2 comments
Counter : 442 Pageviews.

 
ตอนที่ไปมาก็มีเรื่องปวดหัวเรื่องตั๋วรถไฟที่พนักงานเขียนอะไรสักอย่างผิด นางสถานีตรวจพบ เลยโวยวาย ตามตัวคนเขียนมาด่ากันเองโล้งเล้ง เกือบสิบห้านาทีที่กันไม่ให้เพื่อนที่เป็นเจ้าของตั๋วขึ้นรถจนใกล้เวลารถออก ทั้งที่ ไปสี่คน ตั๋วเขียนผิดใบเดียว ที่นั่งก็ไม่ได้ทับซ้อนกะใคร ความผิดของเค้าแท้ๆ แต่เค้ากลับทำกิริยาได้น่าเกลียดสุดๆๆ มารยาททรามาก ทั้งกระชากและตะปบแขนเราเพื่อกันไม่ให้ขึ้น ตอนแรกมันจะไม่ให้ขึ้นทั้งกลุ่ม เอากะมัน

จนในที่สุดพวกเรายกกล้องถ่ายยายสถานีตัวแสบ และขู่ว่าจะไปลงอินเตอร์เน็ทประจาน ถึงได้ยอมให้เพื่อนขึ้นรถ แย่มากกกกกกกกก

ยังคิดกันเลยว่าถ้าหากไม่ขู่แบบนั้น เค้าจะปล่อยให้เราขึ้นรถได้เมื่อไร เพราะมันเอาแต่ตะโกนด่าใส่กัน เวรกรรม ตั๋วก็จ่ายเงินแล้ว วันกลับแท้ๆๆ นี่เป็นสิ่งเดียวที่แย่มากของเลาไก


โดย: ทากลูกหมู วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:21:43:37 น.  

 
5555

เรื่องตั๋วรถไฟนี่เป็นเหตุได้หลายอย่างจริงๆ


อะไรไม่ดีอย่าจำ จำแต่ดีๆก็พอ เนอะ


โดย: SimVK วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:12:51:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SimVK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
มีอะไรก็หลังไมค์มาได้^^
Friends' blogs
[Add SimVK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.