Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
28 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-2 ซาปา ละเลียดบรรยากาศ สูดอากาศ และซึมซาบวิวทิวทัศน์

>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-1 สุวรรณภูมิ ดินแดนของพนักงานหน้า...<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-2 ฮานอย เดินทาง หาที่พัก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-3 ฮานอย กินๆ นอนๆ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-1 ฮานอย เดิน เที่ยว ถ่าย วิ่ง Amazing Race<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-2 ฮานอย ถึงแล้วจริงๆนะ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-3 ฮานอย นี่หรือ cha ca!!!!<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-4 ฮานอย มุ่งสู่ซาปา<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-1 ซาปา มากินหรือมาเที่ยว<<<




หลังจากคุยกันกะเพื่อนๆ เราก็ได้ข้อสรุปว่าทริปนี้เรามากินมากกว่ามาเที่ยว เที่ยวพอเป็นพิธีมากกว่าประมาณว่านี่มาเหมือนชาวบ้านเค้าแล้วนะ แต่กินนี่รีวิวละเอียดยิบ เออไมละเวย ไม่เที่ยวไม่ตาย แต่ไม่กินตายนะเวย ใช่มะ ^^คิคิ


หลังจากที่เราทาทา (เปรม) กันจากร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศสนั่น ก็ได้เวลาเดินกันอีกครั้ง มาซาปาไม่เดินนี่ก็แปลว่ามาไม่ถึงอีกดิ ก็อาจจะจริงนะ แต่การเดินที่นี่จะไม่เหมือนเดินตามฟุตบาทในเมืองไทยที่ต้องก้มหน้างุดๆ กลัวเหยียบอึหมากัน ที่นี่เราจะเดินไปพร้อมๆกับละเลียดบรรยากาศ สูดอากาศ และซึมซาบวิวทิวทัศน์ไปพร้อมๆ กัน (เว่อร์จริงๆ) เพราะฉะนั้นใครที่มาแล้วก้มหน้าเดินไปบ่นไปนั้น แสดงว่ายังมาไม่ถึงซาปานะ ต้องมาใหม่ มาเดินแก้กันอีกรอบ หึหึ (แล้วในที่สุดทุกคนก็รู้แล้วว่าเราถูกชาวเวียดจ้างมาเขียนหลอกให้คนไทยไปเที่ยวเวียดนามกันเยอะๆ^^ ล้อเล่นๆ)


ที่เราแพลนกันไว้ก็คือวันนี้เราจะไปเดินหมู่บ้าน Cat Cat กัน ซึ่งเคยได้ยินว่าเค้าอ่านว่ากั๊ดกั๊ด แต่เราก็ขอเสร่อไปถามทางแถวตลาด แล้วพูดว่า "แคทแคทวิลเลจ" แต่ไม่เป็นไรคนแถวนี้เข้าใจ ชี้ทางให้เราไปถูกทิศได้ ทางไปกั๊ดๆนี่ เราต้องเดินผ่านตลาดซาปาเข้ามา มีตลาดสองฝั่ง มีถนนอยู่ตรงกลาง ฝั่งที่เป็นทางเดินลงกะทางเดินขึ้น เดินลง (ซ้ายมือถ้ามาจากที่พัก) นี่ก็อันเดียวกะที่เรามากินข้าวในตลาดก่อนหน้านี้นั่นเอง (อันเดินขึ้นขวามือนั้น ไม่ได้ไปเดินสำรวจเห็นเค้าบอกขายพวกเสื้อผ้า) แต่เราเดินด้านบน คือขึ้นบันไดมา เพราะข้างล่างมันแฉะๆ แต่จุดหมายเดียวกัน เดินไปเรื่อยๆ จะงงๆ ว่านี่มันถูกทางมั้ย จุดสังเกตุง่ายๆ มันจะต้องผ่านโรงแรม Cat Cat ตามรูปอยู่ขวามือเราแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าพ้นตลาดจะเจอเลยก็ต้องเดินสักพักอ่ะนะ



แต่เราก็เดินมาตามทางหลักเรื่อยๆ แหละ จะผ่านโรงแรมมากมาย และทางจะเป็นแบบนี้



แล้วเราก็จะเจอกะจุดให้ซื้อตั๋ว คนละ10,000ดองเท่านั้น จุดนี้เองที่เราจะเจอมอไซด์มาเสนอขับไปส่งทางเข้าหน้าหมู่บ้าน ซึ่งถ้าเราไม่เอา เค้าก็เสนอไปรับขากลับ เพราะเค้าจะรู้ว่าเราเดินกันมาจนเหนื่อยเปลี้ย เราจะไม่อยากเดินกลับเข้าเมืองเอง ยิ่งเป็นพวกเราสามคนที่มีความขี้เกียจเยอะมากจนออกมาทางหน้าตา ถือเป็นหมูในอวยของพวกนี้นักแล



เก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ เพราะต้องเอาไปให้จนท.ฉีกตั๋วที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน เดินตามทางต่อ ระหว่างทางก็ได้เดินสวนกับคนที่ไปเดินรอบหมู่บ้านมา หน้าตาแต่ละคนนั้นอย่าให้บอก เหน็ดเหนื่อยเหมือนไปทำนากันมาทั้งวัน ทั้งๆที่ตอนนั้นแค่บ่ายโมงกว่าๆ (555 ไม่ขนาดนั้น) นอกจากนั้นยังมีความรู้สึกว่าเราได้กลับมาแผ่นดินบ้านเกิดโดยไม่ต้องนั่งเครื่อง เพราะว่าเราได้เดินทักทายคนไทยที่เดินสวนมา และเจอะเจอคนไทยเดินร่วมทางกันไปตลอดเวลา รึว่าจริงๆ แล้วเขานี้มันเชื่อมกับดอยอินทนนท์กันแน่



วิวแรกๆยังไม่ค่อย



แล้วเราก็มาเจอกับสิ่งนี้



เดินเข้าไปข้างใน ขึ้นไปข้างบนตรงโดมขวามือนั่น เราก็ได้จะวิวสวยๆ มาเก็บไว้ในใจ



เพราะกล้องราคาหมื่นกว่าบาท ไม่สามารถเก็บภาพเหมือนกับที่เราเห็นมาได้ (กล้องแพงกว่าทริปนี้ทั้งทริปอีกแฮะ)



แล้วเราก็กลับออกมา เดินต่อไปยังจุดหมายของเราต่อ นี่ขนาดเป็นหน้าหนาวของเขาที่ไม่มีการเพาะปลูกนะ ถ้าเพาะปลูกมันจะเขียวจะสวยขนาดไหน อีกครั้งที่ยังต้องบอกว่า มันต้องมาดูเองอ่ะ ถ่ายรูปไปมันไม่เหมือนกับที่เราเห็นเลย



มุมไกลแบบมองภูเขาลิบตา



ถึงกับเลือกรุปไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะถ่ายมาไม่สวยสักรูป^^ (เป็นมือหมักเล่น) ถ่ายออกมาหมอกเยอะกว่าที่เห็นด้วยตาแฮะ



แม้แต่ควายยังเลิกทำนามานั่งชมวิว



ยังเดินไม่ถึงอีกรึเนี่ย



ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ตรงนี้เองที่จนท.เค้าจะมาฉีกตั๋วเรา กรุ๊ปทัวร์ฝรั่งไม่ปรากฎสัญชาติลงทัวร์มาพอดี เราถือโอกาสเดินหัวแดงเนียนเข้าไปด้วย จนอีเพื่อนหัวดำตัวโตไม่สามารถทำเนียนได้ จนท.กันไว้ไม่ให้เข้าเพราะถือเป็นสัตว์สงวน เราเลยเดินกลับออกมายื่นตั๋วให้เค้าฉีก



เดินเข้าไปก็เป็นบันไดขั้นๆ เป็นทางให้เราไม่หลง มีบ้านชาวเขาอยู่เป็นหย่อมๆ เด็กกลุ่มนี้จับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ว่าไอ้พวกวุ่นวายพวกนี้เมื่อไรจะไปสะที จะเล่นกิงก่องแก้วนะเวย



เราสงสัยจนต้องย้อนถามกับตัวเองว่าทำไมธรรมชาติจึงสร้างมาซะสวยงามขนาดนี้ (แบบไม่ให้เราเก็บเอาไปดูต่อคนเดียวหรือฝากทางบ้านได้อีกต่างหาก)



แล้วก็คิดคำตอบเอาเองเสร็จสรรพว่า คงเพราะอยากให้เราหลงใหลไปกับธรรมชาติ จนต้องเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้กันต่อไปน่ะเอง



กลุ่มเป็ดดาราที่ทุกคนมารุมถ่ายรูป ลองเอาไปเดินที่ฮานอย ได้ลงไปอยู่ในหม้อซุปแล้ว



ถ้าไม่อยากทำก็วางไว้แล้วไปเล่นเห้อ



โอ้ว คิดถึงช่วงๆ กะหลินหุ้ยจัง



แบกเยอะจนไม่เห็นว่าหล่อขนาดไหน แต่เด็กชาวเขาผู้หญิงน่าตาน่ารักเกือบทุกคนเลยไม่รู้ทำไม



ตรงนี้ขอลงแบบสไลด์เดอร์ได้มะ น่าหนุก พอลงทางโค้งนี้ไปเราก็จะไปเจอกับจุดพัก แล้วก็จะมีน้ำตก



สะพานนี้เองที่พาเราข้ามไปชมน้ำตกแล้วก็นั่งพักเหนื่อย สังเกตุผู้ชายที่ยืนบนสะพานเป็นชาวกรีกที่พยายามเขย่าให้เราตกสะพาน



และรูปนี้จะมัวกว่านี้ร้อยเท่าถ้าชายกรีกคนนั้นยังไม่ลงไปจากสะพาน



นั่งพักเหนื่อยหน่อย ชมน้ำตกไปพลางๆ น้ำน้อยหน่อยเพราะนี่มันช่วงหน้าหนาว



มีคนไทยกลุ่มนึงพยายามบอกให้เราเดินย้อนกลับไปทางที่มาเพราะไม่มีทางเดินต่อแล้วจบแล้ว แต่พวกเราไม่เชื่อ พวกเรารั้นที่จะเดินต่อไปแม้มองไปข้างหน้าไกลๆ จะไม่มีใครเลยที่เดินนำอยู่ให้เรารู้ว่ามันเดินต่อไปได้ หรือทางที่จะไปต่อนี้เป็นแค่ขึ้นเขาไปชมวิวแล้วต้องย้อนกลับมา แต่เราก็ตัดสินใจไปต่อ (สู้เพื่อเพื่อนว้อย! ..ตรงไหน จริงๆ ขี้เกียจเดินกลับไม่ใช่อะไร) ก็คือตรงสะพานเมื่อกี้ที่เราข้ามมานั่งพักชมน้ำตก (พอข้ามสะพานเสร็จเราเลี้ยวซ้ายมานั่งพัก) ทีนี้เราก็กลับไปถ่ายรูปบนสะพานนั้นอีกครั้ง แล้วเราก็เลือกเลี้ยวขวาเดินต่อ โดยมีความเชื่อว่ามันต้องกลับออกไปได้โดยไม่ต้องย้อนกลับ


หันหลังกลับไปดูก็ไม่มีใครเดินตาม งั้นก็มองบนฟ้าซะเลย วันนี้ฟ้าสวยมาก ตั้งแต่บ่ายโมงมา มีแดดเปรี้ยงเลย ตอนถ่ายรูปนี้ก็บ่ายสามได้ เป็นบ่ายสามวันศุกร์ที่ทุกคนกำลังทำงาน เจ๊แม่ลูกอ่อนคิดอย่างนั้นแล้วยิ่งมีความสุขมากเป็นทวีคูณ



เดินมาได้ไกลพอควร หันหลังกลับไปอีกที เห้ยมีคนตามมาแล้ว เย้ (ซึ่งจริงๆเค้าก็คงรู้ทางของเค้าอยู่แล้วอ่ะนะ ไม่ใช่ว่าเดินตามอะไร) จนถึงจุดนึงที่เราเริ่มลังเลเพราะมองขึ้นไปบนภูเขามันยิ่งไกลจากจุดแรกที่เรามาเหลือเกิน เหมือนเราเดินอ้อมเขา1ลูกมาเลย แต่เราก็ยังมีความเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว จนในที่สุดเราก็เจอคนเวียดตะโกนโบกไม้โบกมือเรียกเราจากที่ไกลลิบๆ เราถึงรู้ว่านั่น เราจะถึงทางออกแล้ว คนที่ตะโกนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่นัดว่าจะมารับเรานั่นเอง ดีใจว่าหมูมาให้ฟันว่างั้น แต่เราก็ดีใจที่ไม่ได้เดินย้อนกลับไป ... ทางที่เดินจะถึงทางออก วิวสวยสู้ตอนแรกไม่ได้



มอไซด์คิดจะฟันเราที่ 50,000ดอง/คน เราส่ายหัวตามเคยพร้อมส่งภาษา "แหยมแย้" ต่อรองกันไปมาอย่างสนุกสนานเหมือนเล่นขายของกันมากกว่าใช้เงินจริง สรุปที่ 70,000ดอง/3คน ซึ่งเคยได้ยินว่า 10,000ดอง/คนก็พอแล้ว แต่ตอนนั้นมันเดินจนเหนื่อยมาก เพราะงั้นราคานี้รับได้สบายมาก เราก็ให้เค้าไปส่งเราที่โบสถ์ เพราะเราจะไปถ่ายรูปแถวนั้นก่อนไปกินข้าวเย็น




>>>อ่านตอนต่อไป ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-3 ซาปา เมืองแห่งหมอก<<<


Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 มีนาคม 2551 19:02:49 น. 1 comments
Counter : 524 Pageviews.

 
น่ารักนะคะซาปา ไปมาเมื่อเดือนกค
กำลังเขียวเลย แต่ฝนตกเยอะ


โดย: ทากลูกหมู IP: 124.121.19.173 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:21:39:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SimVK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
มีอะไรก็หลังไมค์มาได้^^
Friends' blogs
[Add SimVK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.