ฉบับที่ 06 - วันทำงานปกติ
ฉบับที่ 6 แด่ ผู้ใฝ่รู้ในวิชากฎหมายแรงงาน
วันทำงานปกติ
ความหมาย เบื้องต้น ในมาตรา 5 ได้นิยามความหมายของคำว่า วันทำงาน เอาไว้ดังนี้.... วันทำงาน หมายความว่า วันที่กำหนดให้ลูกจ้างทำงานตามปกติ ส่วนรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการทำงานในวันทำงานปกตินั้น กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ใน มาตรา 23 ดังนี้... ให้นายจ้างประกาศเวลาทำงานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกินเวลาทำงานของแต่ละประเภทงาน ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกินแปดชั่วโมง ในกรณีที่เวลาทำงานวันใดน้อยกว่าแปดชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละเก้าชั่วโมงและเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งต้องไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบสองชั่วโมง ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นตามวรรคหนึ่งเกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างรายวันและลูกจ้างรายชั่วโมง หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานในแต่ละวันได้ เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกินแปดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง (ข้อสังเกต จากวรรคแรกนั้น จะเห็นได้ว่า งานมี 2ประเภท คือ งานธรรมดาทั่วไป และ งานประเภทที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป...) ...มาตรานี้ จัดได้ว่าค่อนข้างยาว แต่ก็สำคัญมากเช่นกัน อ่านเสร็จแล้วอาจจะยังมึนๆ ข้าจึงขอแนะนำให้กลับไปอ่านอีกรอบ ก่อนที่จะกลับมาอ่านคำอธิบายต่อจากนี้... วรรคแรกนั้นกฎหมายกำหนดในนายจ้าง ต้องบอกลูกจ้างว่า เริ่มงานกี่นาฬิกา และเลิกงานกี่นาฬิกา โดยระยะเวลาในการทำงานในแต่ละวันนั้น จะต้องพิจารณาตามประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ดังนี้... กฎกระทรวงฉบับที่ 2 พ.ศ.2541 ข้อ 1 ให้งานทุกประเภทมีกำหนดเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกินแปดชั่วโมง ข้อ 2 งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ได้แก่ (1) งานที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือในที่อับอากาศ (2) งานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี (3) งานเชื่อมโลหะ (4) งานขนส่งวัตถุอันตราย (5) งานผลิตสารเคมีอันตราย (6) งานที่ต้องทำด้วยเครื่องมือหรือเครื่องจักรซึ่งผู้ทำได้รับความสั่นสะเทือนอันอาจเป็นอันตราย (7) งานที่ต้องทำเกี่ยวกับความร้อนจัดหรือความเย็นจัดอันอาจเป็นอันตราย งานประเภทที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามกฎกระทรวง ข้อ 2 นี้ ระยะเวลาทำงานในแต่ล่ะวันต้องไม่เกิน 7ชั่วโมง และเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินสัปดาห์ละ 42ชั่วโมง ผลของการที่นายจ้างไม่ประกาศเวลาทำงานปกติหรือประกาศแต่กำหนดชั่วโมงทำงานปกติเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ข้างต้น ถือเป็นความผิดและมีโทษทางอาญา คือ ปรับไม่เกินห้าพันบาท ตามมาตรา 145 ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานวันใดน้อยกว่า 8ชั่วโมง นายจ้างจะตกลงให้ลูกจ้างนำเอาเวลาส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นๆก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละ 9ชั่วโมง และเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วจะต้องไม่เกินสัปดาห์ละ 48ชั่วโมง วรรคสองเป็นกรณีที่มีการตกลงนำเอาเวลาส่วนที่เหลือจากการทำงานน้อยกว่า 8ชั่วโมง ในวันก่อนๆ มารวมกับเวลาทำงานตามปกติในวันปัจจุบัน แล้วเกิน 8ชั่วโมง ดังตามที่ได้บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งตอนท้าย กฎหมายกำหนดว่านายจ้างจะต้องจ่าย ค่าตอบแทน ไม่น้อยกว่า หนึ่งเท่าครึ่ง(1.5เท่า) ในส่วนของเวลาที่ลูกจ้างทำเกิน 8ชั่วโมงมานั้น โดยคำนวณจากอัตราจ้างตามปกติต่อชั่วโมงของลูกจ้างรายวันและรายชั่วโมง และคำนวณจากอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงสำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ตัวอย่าง เช่น (1.) น้ำตก เป็นลูกจ้างรายวัน ได้รับค่าจ้างในอัตราเฉลี่ยแล้ว ชั่วโมงละ 50 บาท ดังนั้นหนึ่งเท่าครึ่งของ 50 บาท จึงเท่ากับ 75บาท วิธีคำนวณง่ายๆ คือ นำเอา 50 มาคูณด้วย 3 แล้วหารด้วย 2 ( 50x3 = 150 , 150/2 = 75) (2.) น้ำใส เป็นลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ในวันนี้ น้ำใส ทำผลงานในส่วนชั่วโมงที่ทำงานเกินมานี้ คิดเป็นค่าจ้างแล้วได้ 100 บาท หนึ่งเท่าครึ่งของ 100บาท จึงเท่ากับ 150 บาท ( ***ข้อสังเกต 1. การจ่ายเงินตาม วรรคสองของมาตรานี้ กฎหมายใช้คำว่า ค่าตอบแทน ซึ่งมีลักษณะการจ่ายคล้ายกับ ค่าล่วงเวลา แต่ความหมาย และวิธีการได้มาแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องแยกสองคำนี้ออกจากกัน 2. การจ่ายเงินตาม วรรคสอง ของมาตรานี้ กฎหมายไม่ได้กล่าวถึง ลูกจ้างรายเดือน แต่อย่างใด ดังนั้นสำหรับลูกจ้างรายเดือนจึงไม่มีการจ่ายเงินตามมาตรานี้ ) วรรคสามเป็นกรณีที่นายจ้างไม่สามารถบอกเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของงานที่ทำในแต่ละวันได้ เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน เช่น งานตัวแทนจำหน่ายสินค้า เป็นต้น กฎหมายจึงกำหนดเตือนเฉยๆว่า นายจ้างจะไปตกลงกับลูกจ้างยังไงก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็อย่าให้เกินวันละ 8 ชั่วโมง และเมื่อรวมทั้งหมดแล้วในหนึ่งสัปดาห์ต้องไม่เกิน 48ชั่วโมง ก็แล้วกัน... เวลาพักระหว่างทำงาน นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างทำงานเพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานเป็นการชั่วคราว รายละเอียดของกำหนดเวลาพักนี้ กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ใน มาตรา 34 ดังนี้... ในวันที่มีการทำงาน ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงหลังจากลูกจ้างทำงานมาแล้วไม่เกินห้าชั่วโมงติดต่อกัน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันอาจตกลงกันล่วงหน้าล่วงหน้าให้มีเวลาพักครั้งหนึ่งน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดเวลาพักระหว่างทำงานตามวรรคหนึ่งเป็นอย่างอื่น ถ้าข้อตกลงนั้นเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ให้ข้อตกลงนั้นใช้บังคับได้ เวลาพักระหว่างการทำงานไม่ให้นับรวมเป็นเวลาทำงาน เว้นแต่เวลาพักที่รวมกันแล้วในวันหนึ่งเกินสองชั่วโมง ให้นับเวลาที่เกินสองชั่วโมงนั้นเป็นเวลาทำงานปกติ ในกรณีที่มีการทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักไม่น้อยกว่ายี่สิบนาทีก่อนที่ลูกจ้างเริ่มทำงานล่วงเวลา ความในวรรคหนึ่งและวรรคสี่มิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะ หรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างหรือเป็นงานฉุกเฉิน กฎหมายกำหนดเวลาพักขั้นต่ำ ที่นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างในระหว่างที่ทำงานคือ 1ชั่วโมง ภายหลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้ว ไม่เกิน 5ชั่วโมง จะเห็นว่ากฎหมายไม่ยอมให้นายจ้างใช้งานลูกจ้างทำงานเกิน 5ชั่วโมงโดยไม่มีเวลาพักเลย แต่อาจมีการตกลงกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้มีเวลาพักแต่ละครั้งน้อยกว่า 1ชั่วโมงก็ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อรวมเมื่อรวมเวลาพักทั้งหมดแล้ว ต้องไม่น้อยกว่า 1ชั่วโมง เช่นกำหนดเวลาพัก 2ครั้ง หลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้ว 4ชั่วโมง โดยให้พักครั้งละ 30นาที เป็นต้น หากนายจ้างและลูกจ้างจะตกลงเรื่องเวลาพักไว้เป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด ถ้าข้อตกลงนั้นเป็นคุณแก่ลูกจ้าง ข้อตกลงนั้นก็ใช้บังคับได้... โดยปกติ เวลาพักนี้ กฎหมายไม่ให้นับเหมารวมเอามาเป็นเวลาทำงาน มีผลให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในส่วนของเวลาพักนี้ แต่ในกรณีที่มีการตกลงให้ลูกจ้างมีเวลาพักเกินกว่า 2ชั่วโมง กฎหมายอนุญาตให้นับเวลาในส่วนที่เกิน 2ชั่วโมงมานั้นเป็นเวลาทำงาน มีผลคือ แม้ลูกจ้างจะไม่ได้ทำงานในส่วนในเวลาพักส่วนที่เกิน 2ชั่วโมงนั้นก็ตาม นายจ้างก็ต้องจ่ายค่าแรงในส่วนนั้น กรณีที่นายจ้างจะให้มีการทำงานล่วงเวลาเกินกว่า 2ชั่วโมงในวันทำงานนั้นๆ (การทำงานล่วงเวลาคืออะไร เอาไว้จะอธิบายกันในโอกาสต่อไป) นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างได้มีเวลาพักก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลา ไม่น้อยกว่า 20นาที อย่างไรก็ตาม ในวรรคห้า กฎหมายก็ได้กำหนดข้อยกเว้นของวรรคหนึ่งและวรรคสี่เอาไว้ กล่าวคือ ในงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกัน หรือเป็นงานฉุกเฉิน เช่น แพทย์ที่กำลังผ่าตัดคนไข้ในโรงพยาบาล เป็นต้น ถ้าได้รับความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว จะไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งและวรรคสี่ ก็ได้...
สนธยา ของวันที่สิบเอ็ด เดือนเจ็ด ปีห้าสาม พัดลมสองตัวส่ายหน้าให้แก่กัน ไม่รู้ไปเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน ร้อนโว้ย!!!.........
Free TextEditor
Create Date : 24 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 23:53:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 866 Pageviews. |
|
|