ฉบับที่ 05 - การคุ้มครองทั่วไป
ฉบับที่ 5 แด่ ผู้ใฝ่รู้ในวิชากฎหมายแรงงาน
การคุ้มครองทั่วไป
สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายของลูกจ้าง ลูกจ้างหรือทายาทของลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย จากทนายความตามที่รัฐมนตรีแต่งตั้งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรึกษา ในกรณีที่มีการฟ้องร้องคดีเป็นข้อพิพาทเกิดขึ้น กฎหมายได้บัญญัติให้สิทธิในเรื่องนี้ ไว้ใน มาตรา 8 ดังนี้... ให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ เพื่อมีอำนาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงาน ให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย และเมื่อกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ก็ให้มีอำนาจทำการได้จนคดีถึงที่สุด ความจริงแล้ว ในเรื่องการการฟ้องคดีแรงงาน ลูกจ้างหรือนายจ้างอาจฟ้องหรือยื่นข้อต่อสู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความก็ได้ แต่ในคดีที่มีข้อเท็จจริงซับซ้อน หากลูกจ้างผู้ช่วยเหลือก็จะเป็นการดีกว่า ในข้อนี้กฎหมายเล็งเห็นว่า โดยทั่วไปนายจ้างมีฐานะทางเศรษฐกิจเพียงพอที่จะจ้างทนายความได้เอง แต่ลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์เพียงพอที่จะว่าจ้างทนายความได้โดยไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย ดังนั้นเจตนารมณ์ของกฎหมายมาตรานี้ก็เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกจ้างในคดีแรงงานนั่นเอง.... ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเรื่องความเสมอภาคของบุคคล เอาไว้ดังนี้... มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน... ส่วนในกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้น ก็ได้ย้ำในเรื่องนี้อีกทีใน มาตรา 15 ว่า... ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงโดยเท่าเทียมกันในการจ้างงาน เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้ แล้วยังอธิบายต่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกใน มาตรา 53 ว่า... ในกรณีที่งานมีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน ให้นายจ้างกำหนดค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าลูกจ้างนั้นจะเป็นชายหรือหญิง ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฎหมายนั้นได้ให้ความสำคัญในเรื่องความเสมอภาคมากเลยทีเดียว เว้นแต่ในงานบางประเภทที่กฎหมายอนุญาตให้ไม่เท่าเทียมกันได้ เพราะงานชนิดนั้นอาจไม่เหมาะกับสภาพ หรือสรีระทางร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง โดยที่การทำงานในลักษณะเดียวกันนั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวลูกจ้างเองได้ เช่นการจำกัดลักษณะและประเภทงาน ของหญิงมีครรภ์ เป็นต้น... ผลของการที่นายจ้างเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้าง อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางเพศนั้น ถือเป็นความผิดและมีโทษทางอาญา คือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 146 การนับระยะเวลาทำงาน ในส่วนของการนับระยะเวลาในการทำงานนั้น กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับนี้ ได้กล่าถึงเรื่องนี้เอาไว้ดังนี้... มาตรา 19 เพื่อประโยชน์ในการคำนวณระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นับวันหยุด วันลา วันที่นายจ้างอนุญาตให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของลูกจ้าง และวันที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง รวมเป็นระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างด้วย มาตรา 20 การที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานติดต่อกันโดยนายจ้างมีเจตนาที่จะไม่ให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิใดตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่านายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานในหน้าที่ใด และการจ้างแต่ล่ะช่วงมีระยะเวลาห่างกันเท่าใดก็ตาม ให้นับระยะเวลาการทำงานทุกช่วงเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการได้สิทธิของลูกจ้างนั้น พิจารณาจากบทบัญญัติใน 2มาตราดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ที่ประสงค์ให้นับระยะเวลาตั้งแต่เริ่มทำงาน รวมไปจนถึงวันที่เกิดสิทธิต่างๆที่ลูกจ้างพึงมีตามกฎหมายนี้ เช่นวันหยุดประเพณี วันลา สิทธิพักผ่อนประจำปี โดยไม่ต้องหักวันใดออก ทั้งนี้เป็นไปเพื่อการที่ลูกจ้างจะได้ใช้สิทธิต่างๆของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น และป้องกันมิให้นายจ้างกระทำการโดยไม่สุจริต เช่นนับอายุงานของลูกจ้างไม่ต่อเนื่องกัน เพื่อเลี่ยงกฎหมายในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง หรือจ่ายน้อยลง ตามมาตรา 118 เป็นต้น...
รุ่งอรุณ ของวันที่สิบเอ็ด เดือนเจ็ด ปีห้าสาม ท่านเคยตั้งคำถามบ้างไหมว่า
ดวงอาทิตย์ยามเช้า และ ดวงอาทิตย์ยามเย็น ช่วงเวลาไหน... ที่ดวงอาทิตย์ดูสวยกว่ากัน ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า.... ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันด้วยความรู้สึกแบบไหน ถ้ามองด้วยความรู้สึกหิวข้าวอย่างในตอนนี้ล่ะก็.. น่ากินทั้งคู่
Free TextEditor
Create Date : 24 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 22:43:37 น. |
|
0 comments
|
Counter : 980 Pageviews. |
|
|