Group Blog All Blog
|
ทริปแสวงบุญตามรอยพระมหาศาสดาเจ้า เยื่อนดินแดนแห่งพุทธศาสนา 3 สังเวชนียสถาน ณ อินเดีย สวัสดีค่ะ ห่างหายจากการทำบล็อคไปนานมากเกือบ 3 ปี บล็อคนี้ได้ฤกษ์มาทำบล็อคเพราะเป็นการไปเที่ยวในประเทศที่เราไม่เคยไปมาก่อนละอยากไปมากนั่นก็คือ อินเดีย แต่การไปอินเดียไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะชวนใครก็ไม่มีใครไปด้วย พอดีว่ามีพี่สาวบวชชีอยู่เลยบอกว่าถ้าวัดจัดทริปอินเดียขอไปด้วยนะ การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้นกับคณะแสวงบุญตามรอยพระมหาศาสดาเจ้า เดินทาง 9 คืน 10 วัน วันที่ 9 - 18 ธันวาคม 2565 กับคณะพระสงฆ์ 5 ชี 3 ฆารวาส 10 รวม 18 คน การเดินทางของเราเป็นดังนี้ 9/12/2565 เดินทางจากกรุงเทพถึงเมืองคยา : เจดีย์พุทธคยา / พักวัดไทยพุทธคยา 10/12/2565 เมืองราชคฤห์และนาลันทา / พักวัดไทยพุทธคยา 11/12/2565 เมืองคยา : งานสาธยายพระไตรปิฏก / วัดนานาชาติ / พักวัดไทยพุทธคยา 12 - 13/12/2565 เดินทางไปเมืองกุสินารา / แวะเมืองไวสาลี / พักวัดไทยกุสินารา 14 - 15/12/2565 เดินทางไปเมืองสาวัตถี / พักวัดไทยเชตวัน 16/12/2565 เดินทางไปเมืองสารนารถ / พักวัดไทยสารนาถ 17/12/2565 เมืองพาราณสี : ล่องเรือชมแม่น้ำคงคา / พักวัดไทยพุทธคยา 18/12/2565 เมืองคยา : พระมหาโพธิเจดีย์พุทธคยา เดินทางกลับกรุงเทพ วันที่ 9 ธ.ค.2565 เราเดินทางไปเมืองคยากันด้วยสายการบินไทยสไมล์ ไฟล์ทออก 12.20 น. อาหารที่เสริฟบนเครื่องส่วนตัวเรากินผัดไทยนะแต่ในรูปจะเป็นข้าวอบกะทิกับแกงปลา และก็มีขนมหวานเป็นกุหลาบจามุน รสชาติดีค่ะ เดินทางถึงคยาเวลา 14.00น. เวลาที่อินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าจะถึงอินเดียตั้งแต่บ่ายแต่ตม.ที่นี่ทำงานช้าและชิวมาก กว่าจะผ่านด่านแต่ละด่านออกมาได้ก็เกือบค่ำแล้ว วันนี้เราเลยทำได้แค่ไปกินข้าวเย็นที่วัดไทยพุทธคยา และไปสักการะทำวัตรเย็นที่ เจดีย์พุทธคยา ภายในเจดีย์เค้าห้ามเอามือถือเข้าแต่เอากล้องถ่ายรูปเข้าได้ค่ากล้อง 100 รูปี กล้องที่เราถ่ายก็เป็นกล้องดิจิตอลธรรมดาเลยถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าไหร่ วันที่ 10 ธ.ค. 2565 วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองราชคฤห์และนาลันทา จากคยาเดินทางไปราชคฤห์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปกินอาหารเช้ากันที่วัดลัฎฐิวันสวนตาลหนุ่ม พอไปถึงวัดกำลังกินข้าวอยู่ก็มีบรรดาเด็กๆ อินเดียมาเข้าแถวรอรับบริจาค แต่กรุ๊ปเราโดนกำชับไว้แล้วว่าอย่าให้เพราะถ้าให้ก็จะโดนรุมและก็เป็นการส่งเสริมคนอินเดียในทางที่ผิดด้วยเหมือนไปสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้เค้าทางที่ดีไม่ให้ดีกว่านะคะ เขาคิชกูฎ สถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงโปรดประทับมากที่สุดในเมืองนี้ ด้านบนจะมีพระมูลคันธกุฎีพระพุทธองค์บนยอดเขา นมัสการกุฏิพระอานนท์, ถ้ำสุกรขาตา ที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ เราจะต้องเดินขึ้นไปบนเขาระยะทางประมาณ 750 เมตรตลอดสองข้างทางก็จะมีร้านขายของ มีคนมีตื้อขายของ และเด็กๆ ที่มาขอทาน ฝึกความอดทนกับไปจนกว่าจะเดินถึงยอดเขา ด้วยความที่ทริปนี้เรามีคณะพระสงฆ์ไปด้วยเราก็เลยต้องกินอาหารกลางวันกันในเวลาฉันเพล ซึ่งเวลาที่อินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง ดังนั้นก็ถือซะว่าได้กินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงของไทยพอดี อาหารกลางวัน ของวันนี้เราไปกินกันที่วัดไทยนาลันทา ซึ่งอาหารก็จะมีต้มหัวผักกาดขาว แกงส้ม ผัดกระหล่ำปีใส่วุ้นเส้น และก็ไข่เจียว ตลอดเวลาที่อยู่อินเดียอาหารก็จะไม่ค่อยต่างไปจากนี้เหมือนกันแทบทุกวัดค่ะ มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก ซึ่งถูกเผาทำลายไปตั้งแต่ยุคที่พระพุทธศาสนาเสื่อมโสม ที่มี่มีบริเวณกว้างขวางมากก็จะมีน้องๆ นักเรียนอินเดียมาทัศนศึกษาและที่เขาว่าคนอินเดียชอบถ่ายรูปก็นักท่องเที่ยว ก็จริงอย่างที่เขาว่าเด็กๆ มารุมขอถ่ายรูปเหมือนเราเป็นเซเลปวุ่นวาย เหนื่อยแต่ก็สนุกดีค่ะ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนาลันทาก็จะมีหลวงพ่อองค์ดำ ซึ่งเราไปที่นี่กันด้วยรถริกชอหรือรถตุ๊กตุ๊กอินเดียนะคะ ขากลับมาเด็กๆ วิ่งเกาะรถมาขอเงินด้วยเห็นแล้วกลัวอุบัติเหตุมาก การไหว้หลวงพ่อองค์ดำเค้าจะมีน้ำมันให้เราเอาไปราดองค์หลวงพ่อแล้วก็เอาน้ำมันที่เหลือมาลูบตามตัวเราเชื่อว่าให้หายจากอาการเจ็บป่วย หลวงพ่อองค์ดำเดิมเคยอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา แต่เมื่องมหาวิทยาลัยถูกเผาทำลายไปองค์พระกลับยังคงอยู่อย่างเกือบจะสมบูรณ์ 11 ธ.ค. 2565 วันนี้เราอยู่กันที่เมืองคยาทั้งวันค่ะ เพราะว่าตรงกับวันที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพงานสาธยายพระไตรปิฏกซึ่งจัดที่มหาเจดีย์พุทธคยา ที่นี่จะมีชาวพุทธหลากหลายนิกายจากทั่วโลกมาสวดมนต์ทำพิธีบูชาตามความเชื่อของตนเอง ซึ่งส่วนตัวเราที่ยังเข้าไม่ถึงเราว่ามันวุ่นวาย คนเยอะ และไม่เห็นถึงความสงบเลย ขอชื่นชมบรรดาชาวพุทธที่ไปสวดมนต์ทำสมาธิ ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เบื้องหน้าพระแท่นวัชรอาสน์ ด้วยนะคะ ในรูปกลางของช่องสุดท้ายคือสระมุจลินทร์ จำลองซึ่งอยู่ภายในบริเวณมหาเจดีย์พุทธคยาซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของปางนาคปรกคือขณะที่พระพุทธเจ้าทำสมาธิอยู่เกิดฝนตก พญานาคเลยมาแผ่แม่เบื้ยเพื่อกันฝนให้ กลับมากินอาหารกลางวันกันที่วัดไทยพุทธคยา เดินชมวัดกันซักหน่อย ช่วงบ่ายเราไปเที่ยววัดนานาชาติในเมืองคยากันค่ะ แต่โดยทั่วไปวัดนานาชาติที่นี่ปิดช่วงเที่ยงถึงบ่ายสองนะคะ แต่โชคดีว่าเรามีแม่ชีไปด้วย พอไปเกาะประตูวัดขอเข้าไปได้ไหมเหล่านักบวชก็ยินดีต้องรับนักบวชเช่นกันค่ะ วัดที่เราไปก็จะมีวัดญี่ปุ่น วัดภูฎาน วัดมองโกเลีย และวัด kamar (ส่วนตัวเราเข้าใจว่าเป็นวัดธิเบตแต่ไม่มั่นใจในข้อมูลค่ะ อาจจะเป็นวัดพุทรของอินเดียก็ได้นะคะ) 12 ธ.ค. 2565 วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองกุสินารา ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาปรินิพพานสถูป เมืองกุสินารามีระยะทางห่างจากคยาประมาณ 320 กิโลเมตรแต่ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 8-10 ชั่วโมงด้วยสภาพถนนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งการบีบแตรที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอินเดียก็เป็นการรบกวนการงีบบนรถมากๆ เช่นกัน ระหว่างทางเราแวะเที่ยวกันที่เมืองไวสาลี วัดกูฏาศาลา ป่ามหาวัน ซึ่งปรากฏสถูปทรงโอคว่ำ และเสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราชที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังปรากฏสิงโตหินบนยอดเสาและวัดนี้ยังเป็นที่พระพุทธองค์ประทานพุทธานุญาตบวช พระนางปชาบดีโคตรมีเป็นพระภิกษุณีรูปแรกของโลก รูปตรงกลางของรูปด้านล่างคือพระสถูปปาวาลเจดีย์ ซากสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเหล่ากษัตริย์วัชชีได้รับแบ่งมาหลังถวายพระเพลิงพุทธสรีระ 1 ใน 8 ส่วน วัดวาฬุการาม สถานที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2ในสมัยพระเจ้ากาฬโศกแห่งเวสาลี เมื่อราว พ.ศ.100 และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ชอบซอยเข้าวัดนี้มากๆ เพราะจะต้องผ่านบ้านของชาวชนบทอินเดียวเข้าไป รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในฉากหนังอินเดียชนบทเลย เราจะพักกันที่วัดไทยกุสินารา 2 คืน ที่นี่หนาวมากด้วยความที่ใก้ลชายแดนเนปาลใก้ลเทือกเขาหิมาลัยเห็นอุณหภูมิตัวเลขไม่ได้ต่ำมากแต่หนาวสุดๆ ค่ะ ตอนเช้าหมอกลงหนามาก 13 ธ.ค.2565 ด้วยความที่เมื่อวานเดินทางไกลมาทั้งวัน และตอนเช้าหมอกก็ลงหนาจัดมาก วันนี้เราเลยออกเดินทางกันสายหน่อยประมาณ 8 โมงเช้าไปทำวัตรเช้ากันที่ มหาปรินิพพานสถูป สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน กลับมากินอาหารกลางวันที่วัดไทยกุสินารา ก่อนที่จะไปต่อกันที่ มกุฎพันธนเจดีย์ (สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า) เป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตั้งอยู่ห่างจากสาลวโนทยานประมาณ 1 กิโลเมตร 14 ธ.ค. 2565 วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองสาวัตถีกันค่ะ จากกุสินาราใช้เวลาเดินทางไปเมืองสาวัตถีประมาณ 6 ชั่วโมงอย่างที่เคยบอกไว้ว่าตอนเช้าของเมืองกุสินารหมอกลงหนามาก เราเลยได้ออกเดินทางกันประมาณ 8 โมงเช้าเพื่อหลีกเลี่ยงอาการหนาวและไม่ให้เป็นอันตรายในการขับรถด้วย กว่าจะเดินทางถึงวัดไทยเชตวันมหาก็บ่ายแล้ว เราเข้าไปทำวัตรเย็นกันที่วัดเชตวันมหาวิหาร ก่อนที่จะมืดเราได้มีโอกาสไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมหาวิหาร นั่นก็คือแดนมหามงคล ที่นี่เค้าห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาให้ชมกัน แต่เราทึ่งในความศรัทราในพระพุทธศาสนาของ อุบาสิกาบงกช สิทธิผล หรือที่ชาวแดนมหามงคลเรียกว่าคุณแม่ ท่านเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มาสร้างแดนมหามงคลข้างวัดเชตวันมหาวิหาร ในอินเดีย ลงทุน ลงแรง เห็นได้ถึงความมานะของท่าน ทราบมาว่าที่ไทยแดนมหามงคลตั้งอยู่ที่อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี หากมีโอกาสคงได้ไปซักครั้ง รูปประกอบจาก internet 15 ธ.ค. 2565 สถานที่ท่องเที่ยวเมืองสาวัตถี เริ่มจากซากสถูปที่สร้างขึ้นบริเวณที่เคยเป็นคฤหาสน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี และบ้านของท่านปุโรหิตบิดาขององคุลีมาล วัดเชตวันมหาวิหาร - สร้างถวายโดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งพระพุทธองค์ประทับจำพรรษานานถึง 19 พรรษา นมัสการ พระมูลคันธกุฎี ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน ชมธรรมศาลาที่แสดงธรรมครั้งพุทธกาล ธรรมสภาที่ประชุมสงฆ์ กุฎีพระอรหันต์องค์ต่าง ๆ เช่น พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอานนท์ พระสิวลี พระองคุลีมาล พระมหากัสสปะ และอารามฝ่ายพระภิกษุที่เคยจำพรรษาในครั้งพุทธกาล นมัสการ อานันทโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่เชื่อว่ามีอายุยืนยาวตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันมากกว่า 2,500 ปี ลานแสดงยมกปาฏิหาริย์ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงปาฎิหาริย์เพื่อปราบเหล่ามาร ลานนี้อยู่ไม่ไกลจากวัดไทยเชตวันสามารถเดินไปได้ค่ะ 16 ธ.ค. 2565 เราจะเดินทางไปเมืองสารนารถกันค่ะ จากสาวัตถีเดินทางไปสารนาถใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง ไปสังเวชนีย์สถานซึ่งเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนาที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันและ นมัสการเจาคันธีสถูป ที่นี่เค้าปิดเร็วนะคะประมาณ 4-5 โมงเย็นยามถือปืนเป่านกหวีดไล่นักท่องเที่ยวแล้วค่ะ คืนนี้เราพักกันที่วัดไทยสารนาถ 17 ธ.ค. 2565 ตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ เพื่อจะเดินทางไปล่องเรือชมแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสารนาถประมาณ 30 นาที ไปถึงท่าเรือฟ้ายังไม่สว่างเลยค่ะ มืดและหนาวมาก ประมาณ 6 โมงเช้าได้เวลาพระอาทิตย์เริ่มสว่างก็จะมีคนในเรือเอาปลา และ นกมาขายเพื่อให้เราทำบุญปล่อยนกปล่อยปลากันค่ะ มองเห็นไปจากการเผาศพที่ท่ามณีกรรณิการ์อยู่ไกลๆ ด้วยค่ะ กลับไปกินอาหารเช้ากันที่วัดไทยสารนารถ มาดูอาหารการกินของวัดไทยที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแกงส้ม แกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว อาหารเช้าจะเป็นข้าวต้มกับผัดผัก ฝีมือแม่ชีไทยบ้าง พ่อบ้านอินเดียโดยการควบคุมของแม่ชีไทยบ้างรสชาติดีถูกปากคนไทยค่ะ แล้วก็เดินไปทำวัตรเช้ากันที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันบริเวณพระมูลคันธกุฏิ กุฏิหลังแรกที่พระพุทธองค์จำพรรษาเป็นพรรษาแรกสถานที่ปฐมเทศนา แล้วก็เดินทางกลับไปเมืองคยานั่งรถประมาณ 8 ชั่วโมงเพื่อไปพักที่วัดไทยพุทธคยา 18 ธ.ค. 2565 เมืองคยา : ช่วงเช้าเราไปที่พระมหาโพธิเจดีย์พุทธคยา เพื่อนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ กราบลาพระพุทธเมตตา ได้ทำวิธีถวายข้าวมัธุปรายาสแก่พระพุทธเมตตาด้วยค่ะ หลังจากนั้นก็กลับมาถวายอาหารเพล กินอาหารกลางวันที่วัดไทยพุทธคยา แล้วเวลาประมาณเที่ยงก็เดินทางไปสนามบินคยาเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ ขากลับตม.ก็ยังทำงานชิลเหมือนเดิมค่ะ เผื่อเวลากันเยอะๆ นะคะ ปิดทริปตามรอยพระมหาศาสดาเจ้า กับเราซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยสวดมนต์นั่งสมาธิ แต่ไปทริปแสวงบุญกับสำนักปฏิบัติธรรม เราซึ่งไม่เคยศึกษาพุทธประวัติ แค่อยากไปอินเดีย แต่ก็ได้มาศึกษาโดยการเห็นของจริงทำให้เข้าใจในพุทธประวัติได้ง่ายขึ้น ทริปนี้ถือไปพรีอิเดียเพราะก็ยังได้เห็นอินเดียในแค่ไม่กี่มุม ส่วนใหญ่จะเห็นความเป็นไทยในอินเดียมากกว่า ไว้เจอกันใหม่อีกซักทริปกับแบกเป้เที่ยวอินเดีย ขอบคุณที่เข้ามาชมรีวิว จนกว่าจะมีเจอกันใหม่ ขอบคุณค่ะ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 29 ธันวาคม 2565 เวลา:20:29:52 น.
|
kumyotha
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] Friends Blog
Link |