Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2559
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
9 พฤษภาคม 2559
 
All Blogs
 

And the Band Played On








And the Band Played On: Politics, People, and the AIDS Epidemic
ผู้เขียน: Randy Shilts
ปีที่พิมพ์: 1987

เหตุที่ได้ซื้อเล่มนี้มาอ่านก็เพราะคืนก่อนดูเรื่องนี้ที่เป็นหนังสร้างโดย HBO เพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์อีกรอบ หลังจากดู 2-3 รอบแล้วเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คือตั้งแต่ครั้งที่ออกอากาศคืนแรกเมื่อปี 1993 ดูครั้งแรกในคืนแรกที่ออกอากาศ จำได้ว่าตอนจบร้องไห้เป็นวักเป็นเวร คืนต่อมาดูอีกรอบก็ร้องอีก คือตอนที่เป็น montage แสดงภาพศิลปินและคนมีชื่อเสียงหลายๆ คนที่ตายด้วยโรค HIV/AIDS ในระยะเริ่มแรก ประกอบกับเพลง The Last Song ของ Elton John ซึ่งพูดถึงพ่อที่พยายามทำใจให้ได้ว่าลูกชายเป็นเกย์ และกำลังจะตายด้วยโรค AIDS ยิ่งทำให้ตอนจบนั้นมีพลังมหาศาล Elton John เขียนเพลงนี้ขึ้นหลังจาก Freddie Mercury (นักร้องนำวง Queen) ตายได้เพียงปีเดียว ยิ่งเมื่อคิดว่าคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Rock Hudson, Freddie Mercury, นักบัลเลย์ Rudolf Nureyev, นักเทนนิส Arthur Ashe, news anchor ผิวดำคนแรกของสหรัฐ Max Robinson, นักแสดง Brad Davis, Ray Sharkey และอีกหลายๆ คน




คนเหล่านั้นไม่ควรตายเลยถ้าไม่เป็นเพราะผู้นำในหลายๆ กลุ่มที่สามารถหยุดยั้งหรือชะลอความรุนแรงของโรคใหม่ (ในคราวนั้น) นี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี Ronald Reagan ที่ไม่เพียงไม่แยแสเท่านั้น ยังส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงออกมาปฏิเสธเสียด้วยซ้ำว่านี่คือโรคใหม่ที่ยังไม่มีใครเข้าใจ หรือนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ก็ไม่สนใจเพราะมองว่าการค้นคว้าหาทางการรักษาโรคที่เป็นกับเกย์นั้นไม่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง สื่อก็ไม่สนใจเพราะสมัยนั้นคิดกันว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับเกย์ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย

ในท่ามกลางความสับสนและการปฏิเสธไม่รับรู้นั้นมีนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กลุ่มเล็กๆ ที่พยายามต่อสู้ให้ผู้คนยอมรับ และศึกษาว่าโรคนี้เกิดจากไวรัสอะไรกันแน่ พยายามวิ่งเต้นขอเงินช่วยจากรัฐบาล แต่ก็ถูกปฏิเสธจากทุกหนทุกแห่ง พยายามติดต่อนักวิจัยที่คิดว่าจะช่วยได้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ จนเมื่อผู้คนที่ติดโรคเริ่มไม่ใช่เกย์แล้ว เริ่มมีคนที่ติดเชื้อโรคนี้ทางการถ่ายเลือด เริ่มมีเด็กแรกคลอดก็เป็น คราวนี้จึงได้มีคนเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง แต่ในที่สุดคนที่ได้ชื่อไปว่าเป็นคนค้นพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้กลับไม่ใช่คนที่ค้นพบจริงๆ กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ประเภทแสวงหาชื่อเสียงทั้งๆ ที่แรกๆ ปฏิเสธไม่ให้ความสนใจเสียด้วยซ้ำ

หนังที่ HBO สร้างดำเนินเรื่องตามหนังสือเป๊ะ คือเริ่มจากปี 1976 เมื่อ Dr. Don Francis ซึ่งเป็น epidemiologist (ภาษาไทยว่าอะไรก็ไม่ทราบ) ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศ Zaire และพบว่าผู้คนรวมทั้งหมอด้วยตายกันเป็นเบือจากโรคที่มีอาการคล้าย Ebola หนังสือลำดับเหตุการณ์นับแต่วันนั้น ต่อมาในปี 1981 Dr. Francis พบคนที่มีอาการของโรคคล้ายๆ กันนั้นในกลุ่มเกย์ในลอสเอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ค ทำให้เขาเริ่มสืบหาสาเหตุของโรค Dr. Francis ทำงานโดยไม่มีงบประมาณ ห้องทำงานเล็กๆ แคบๆ ด้วยอุปกรณ์ล้าสมัย พยายามติดต่อนักการเมือง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรือแม้แต่ผู้คนในกลุ่มเกย์ เพื่อขอการสนับสนุน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ จนในที่สุด Bill Kraus ซึ่งเป็น gay activist ชั้นหัวแถวฟังเขาและให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่เกย์คนอื่นๆ มองว่า Dr. Francis พยายามเข้ามาแทรกแซงการใช้ชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ Dr. Francis เสนอให้ปิด bathhouse ชั่วคราวก่อนจนกว่าจะหาสาเหตุของโรคระบาดนั้นได้ ทฤษฎีของ Dr. Francis คือ AIDS ติดต่อกันโดยผ่านความสัมพันธ์ทางเพศ ความพยายามของ Dr. Francis ที่จะ isolate เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค AIDS (ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีชื่อของโรคเสียด้วยซ้ำ) ถูกขัดขวางโดยกลุ่มคนที่ควรจะเป็นผู้นำในการค้นคว้าหาสาเหตุเพื่อป้องกันและรักษาโรคนี้เสียด้วยซ้ำ นั่นก็คือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ซึ่งไม่ยอมรับว่าการถ่ายเลือดเป็นทางหนึ่งที่โรค AIDS แพร่ออกไป รวมทั้งการแข่งขันกันเองระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Dr. Robert Gallo นักวิทยาศาสตร์ด้านโรคติดต่อชั้นแนวหน้าของสหรัฐ กับนักวิทยาศาสตร์ในสถาบัน Pasteur Institute ในกรุงปารีส ที่ต่างก็แย่งกันเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค AIDS เป็นคนแรก ในขณะที่จำนวนคนเป็นโรคนั้นและคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

หนังสือเล่มนี้ควรใช้เป็นบทเรียนถึงความอัปยศของหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา โรคซึ่งควรป้องกันได้แต่เนิ่นๆ ควรหาวิธีรักษาได้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะลุกลามจนฆ่าคนเป็นล้านในเวลาเพียงไม่กี่ปี กลับกลายเป็นโทษประหารสำหรับคนไม่น้อยด้วยสาเหตุเพราะความไม่เอาไหนของรัฐบาลและสังคมในเวลานั้น โอกาสที่ควรมีควรเป็นกลับถูกปฏิเสธ ชีวิตผู้คนที่มีคุณค่าต่อสังคมจำนวนไม่น้อยต้องสูญเสียไปโดยไม่จำเป็น ฮีโร่กลับกลายเป็นคนที่เริ่มจากเป็น villain เมื่อแรกๆ ปฏิเสธไม่รับรู้เพราะมองว่าตัวเองจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยถ้าให้ความสนใจ เหมือนอย่างที่ Shilts กล่าวไว้ใน epilogue ของหนังสือว่า:

''The bitter truth was that AIDS did not just happen to America - it was allowed to happen. . . . From 1980, when the first isolated gay men began falling ill from strange and exotic ailments, nearly five years passed before all these institutions - medicine, public health, the federal and private scientific research establishments, the mass media, and the gay community's leadership - mobilized the way they should in a time of threat. The story of these first five years of AIDS in America is a drama of national failure, played out against a backdrop of needless death.''



Dr. Donald Francis วีรบุรุษตัวจริงเสียงจริงผู้ไม่ได้เครดิตอะไรเลยในการต่อสู้กับโรค AIDS ตั้งแต่เริ่มแรก แม้แต่ในหนังสือเรียนทุกวันนี้ก็ยังระบุว่า Dr. Gallo คือผู้ค้นพบไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค AIDS อยู่เลย




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2559
1 comments
Last Update : 9 พฤษภาคม 2559 9:09:23 น.
Counter : 3166 Pageviews.

 

สวัสดีค่า คุณกุลธิดา ^^
เพิ่งได้กลับมาลงนิยายค่ะ ไม่ได้ไปอ่านที่ถนนเลยเห็นลงนิยายใหม่
แต่บันทึกคุณหญิงไอรีน นุ่นมีแล้วด้วยค่ะ
แล้วก็เรื่องต่อกันก็มีด้วย ชอบมากๆค่ะ

หนังสือเล่มที่รีวิว ไม่เคยอ่านเลยค่ะ
หนังก็ยังไม่ได้ดู น่าสนใจมากค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะ
เอาไว้จะไปตามอ่านเอเดน เซรีค่า

 

โดย: lovereason 23 กรกฎาคม 2559 16:03:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kdunagin
Location :
South Carolina United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




จำหลักไว้ในสายลม
กุลธิดา
www.mebmarket.com
แม้เป็นรักที่แอบเร้น หากก็ขออย่าเลือนไปกับสายลม
บาเคอร์
กุลธิดา
www.mebmarket.com
ราณียิ้มขมขื่น คำนั้นมีความหมายอย่างที่สุด บาเคอร์…วันพรุ่งนี้…ตามการออกเสียงของคนอิรัก เป็นสิ่งที่เธออยากเก็บไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป…หรือจนกว่าจะได้พบเขาอีก เพราะนั่นคือคำสุดท้ายที่เขาบอกก่อนจะจากกันในเช้าวันนั้น ที่บ้านย่าของเขา และเธอกำลังร้องไห้แทบขาดใจ ‘มีวันพรุ่งนี้เสมอนะราณี’ และเธอก็ยึดถือคำพูดนั้นของเขาเป็นสรณะนับแต่นั้นมา เป็นความหวังเดียวที่มี ว่าวันหนึ่งเธอและเขาจะได้พบกันอีก แม้อาจไม่ใช่ในโลกนี้ก็ตาม
Friends' blogs
[Add kdunagin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.