Never cease
ปักใจ ที่ต้องไป ปักกิ่ง…๒

ปักใจ ที่ต้องไป ปักกิ่ง…๒

ใครมาเมืองไทยก็ต้องเจอยักษ์ แต่กับที่เมืองจีนย่อมจะเจอ สิงโต กิเลน มังกร ว่ากันว่าเวลาไปยืนคู่สัตว์พวกนี้ ให้ไปยืนด้านซ้ายของเค้า เพราะเค้าถือว่าด้านซ้ายจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญเช่น ฮองเฮาเบอร์หนึ่ง จะยืนด้านซ้ายฮ่องเต้ ไม่ใช่ขวา แต่ที่เห็นเรามักไปยืนถ่ายรูปมันตรงหน้าสิงโตเลย เค้าว่าไปยืนให้มันดูดพลังชี่ ทำไมกัลล์….เชื่อไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่….ไม่รู้ … รู้แต่จะไปลองทำไม…ล่ะ

นอกจากเจอพวกกิเลน มังกร สิงโต จนลายตาแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือคนจีน แต่เป็นคนจีนที่เป็นทหาร ถ้าทหารสวิสที่เฝ้าวาติกันน่าสนใจ ผมก็คิดว่าทหารจีน ก็ไม่ต่าง เพราะดูแล้ว เป็นประเทศที่ ทอ ทหาร ขึงขังน่าดู ยิ่งตอนยืนเข้ายาม ช่างน่าเกรงขามด้วยระบบทหารที่ดูเข้มงวด ยิ่ง

แต่ใครจะเคยเห็นบ้างว่า ทหารผู้นี้ ยิ้มอะไรนักหนา ต่างกับเพื่อนที่เคร่งขึมอยู่ข้างๆ ด้วยสองอารมณ์อันแตกต่าง ...หยินหยางโชว์




ก็ไม่ใช่อะไรที่แกยิ้มเหงือกบานปานนั้น ก็เพราะเจ้าหมอนี้กำลังโดนสาวๆจีบอยู่ครับ เห็นว่าสาวๆกำลัง ขอเบอร์แกอยู่ คริ คริ สุดหล่อ ..สงสัยภาพนี้ ถึงมือผู้กอง น่ากลัวงานจะเข้า…พ่อรูปหล่อเอ๋ย..


ที่เที่ยวในปักกิ่งยังมีมากอยู่ ที่เห็นที่การเที่ยวแบบใกล้ชิดชุมชนก็คือการนั่งสามล้อเข้าไปในซอยบ้านเก่าๆ เรียบทะเลสาบแถวหอ กลอง ย่านแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนของปักกิ่ง ที่เรียกว่า นั่งสามล้อเที่ยวหูถ้ง ที่ถึงขั้นว่าไว้เปรียบเปรยว่า “ไม่ถึงหูถ้ง เหมือนไม่ได้มาปักกิ่ง..” ทั้งที่มันก็แค่นั่งๆ ขี่ๆ ไม่พูดไม่จา ไม่เข้าถึงอะไรใดๆ งงๆ ทางการจีนน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เช่น จุดแวะระหว่างทาง ให้ความรูผ่านสื่อต่างๆที่สามารถแปลภาษาท้องถิ่นไว้ล่วงหน้า แผนที่ อะไรเทือกนี้ ไม่ใช่ รีบๆไปๆ ไม่ได้อะไร เสียสาระจริง…ทั้งที่วัตถุดิบในการท่องเที่ยวพร้อม แต่ขาดการปรุงแต่งให้กลมกล่อม น่าเสียดาย



และที่ต้องไปตามโปรแกรมอีกอย่างคือ กายกรรมปักกิ่ง เท่าที่ดูหากใครเคยดูกายกรรมที่เซี่ยงไฮ้มาก่อน คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นี่มันกายกรรมเด็กๆ ก็ปักกิ่งใช้เด็กแสดงส่วนใหญ่ แต่ที่เซี่ยงไฮ้ใช้รุ่นเดอะ รุ่นๆทั้งนั้น ลีลาก็เลยตามประสบการณ์



เด็ดๆน่าจะตรงที่ไม่ต้องไปไกลถึงเฉินตู ที่นี่มีแสดงการโชว์เปลี่ยนหน้ากาก อันเป็นศิลปะขั้นสูงของจีนอีกแขนง





และที่แน่ๆใครมาเมืองจีนต้องไป ชม ไม่งั้นไม่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ๑ ใน ๗ ของโลกมาโดยตลอด แน่นอน กำแพงเมืองจีน ที่เร็วๆนี้ว่ากันว่าเจอกำแพงยาวกว่าเดิมที่ว่ากันไว้ว่า หกเจ็ดพันกิโลเมตร เป็น แปดพันกิโลเมตรแล้ว แหม… อะไรมันจะตั้งใจสร้างให้ยาว ขนาดนี้ อย่างว่า มันไม่ใช่ว่าสร้างเสร็จทีเดียว แต่เค้าค่อยๆสร้างกันมา คงจะนานกว่าวลีที่เรียกกันทั่วไปว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่กำแพงเมืองจีนน่าจะสร้างยาวนานกว่า สร้างโรมน่ะ





หลายคนบอกว่าเวลากลับจากเมืองจีน เหมือนกลับจากทำนาเลย ตัวดำกลับมายิ่งกว่าไปทะเล ก็จริงๆอากาศมันไม่ร้อน แต่แดดมันเผาแรงเท่าเดิม ไม่ว่าที่ไหนในโลก ก็เลยคิดว่า ไม่ร้อนก็ไม่ดำ แต่คงคิดผิด ….ทากันแดดเถิดครับ แดดแรงจริงๆยิ่ง กำแพงเมืองจีน มันไม่มีร่มให้หลบแดดเท่าไรหรอกเวลาปีนกำแพงเมืองจีน หากไม่ทา ก็อย่าลืมหมวก ลืมร่ม เพราะเวลาเดิน สุขมันต่างกัน…



ด่านที่ไปปีน เค้าชื่อ ด่าน จิ่ว ยงกวน เป็นด่านที่ได้รับความนิยมสุด จากทัวร์ๆทั้งหลาย บันไดที่ปีนก็สูงชัน น่าขาสั่นอยู่บ้าง ไอ้ตอนเวลาขึ้นก็ไม่เท่าไร แต่พอตอนลง จาย มันหายยย ไปหมด ครั้นจะหันหน้า เดินลง มันก็เสียวๆ เราก็เลยเห็นว่า มีแต่คนขึ้นกำแพงเมืองจีน ไม่เห็นคนลงมาเลย ก็แหง..แหละ ตอนลงเค้าถอยลงมา นี่ ไม่งั้นเสียวโดยเฉพาะคนกลัวความสูง

ด้วยกำแพงเมืองจีนนั้นสร้างด้วยวัสดุหลายหลาก บางจุดใช้หิน บางจุดใช้ดินเหนียวอัดแน่น แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆคนสร้างเนี้ย เค้าเฝ้าผลงานของเค้าอยู่ตรงนั้นชั่วกัลป์ ด้วยลองจินตนาการเหมือนการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เมืองกาญย่อมต้องแลกด้วยเลือดเนื้อชีวิต ว่ากันว่าทุกก้าวที่เดินก็อย่างน้อยหนึ่งศพ ก็สมกับเป็นที่มหัศจรรย์บนโลกนี้ ด้วยความพยายามของมนุษย์ที่สร้างกำแพงได้ยาวมากๆ หากคิดไม่ออกว่ายาวประมาณไหน ก็ประมาณแบบยาวไปถึงเมืองไทยแล้วย้อนกลับมาเมืองจีน ไปกลับครบหนึ่งรอบ




มาถึงตรงนี้ ได้ความคิดว่า หากจะเที่ยวปักกิ่งให้สนุก ก็น่าจะรู้ประวัติศาสตร์ของจีนไว้บ้าง ถ้าไม่อยากสับสน จะเริ่มแค่ช่วงราชวงศ์หมิง มาราชวงศ์ชิง จนหมดยุคฮ่องเต้ ต่อมาถึงสงครามกลางเมือง ยุคประธานเหมา แค่นี้ ก็แหล่ม แจ่มจรัสแล้ว

เมืองจีนไม่ใช่มีแค่ประวัติศาสตร์ที่เร้าใจแบบรบ รัก แก้แค้น ชิงฆ่า ใส่ความกัน ซึ่งแม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เรื่องแบบนี้ก็เกิดแบบเดจาวูในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องคลาสสิกซ้ำไปซ้ำมาเสมอ อยู่ที่เรียนรู้ โดยเฉพาะเกมแย่งชิงอำนาจแบบหมากัดกัน

แต่เรื่องศาสตร์ฮองจุ้ยหรือเฟิงสุ่ย ก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์เมืองจีน ที่สัมผัสไม่ได้ด้วยตาเปล่า แต่เรื่องนี้ทรงอานุภาพต่อวิถีชีวิตของคนจีนมาตลอด เชื่อไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่ ยากที่จะบอกว่าดีหรือร้าย แต่ถ้าสบายใจ ทำไปก็ไม่เสียอะไร แต่อย่างงมงายเกินพอดี





จบทริปนี้ ด้วยความเข้าใจในความเป็นจีนเพิ่มมากขึ้น ดังความเข้าใจต่อกลองหินอ่อนนี้ ที่เห็นทั่วไปที่หน้าบ้านหน้าวัง กลองคือการแสดงออกถึงการรุกราน การปกป้องที่ต้องรบ รุกราน หรือตั้งรับ ย่อมแสดงถึงความไม่เที่ยงที่จะดำรงคงอยู่ในวิถีปกติ แต่แล้วเมื่อกลองที่เป็นหินอ่อน ที่ย่อมตีไม่ดัง บ่งบอกถือความก้าวร้าวรุกราน ได้หมดสิ้นไป ….ความสุขสงบ สันติก็ผุดเกิดขึ้นมา ณ ที่แห่งนั้น ด้วยความเชื่อ เราจึงเห็นกลองหินอ่อนพวกนี้ตามประตูหน้าบ้านโดยทั่วไป ไม่เว้นแม้ในเมืองไทย สวัสดีครับ…





Create Date : 15 พฤษภาคม 2552
Last Update : 18 พฤษภาคม 2552 15:42:16 น. 3 comments
Counter : 1563 Pageviews.

 


โดย: Kengmanny วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:25:50 น.  

 


โดย: the fivedog วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:18:05 น.  

 
รูปสวยมากครับ


โดย: จอมเยอะเล่า วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:0:58:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

the fivedog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




การได้อยู่กับคนที่เรารัก ก็ดีพอแล้ว
แต่การได้เดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน มันสุดยอดมากกับชีวิตคู่ ของคนธรรมดาคนหนึ่ง

คนที่เชื่อมั่นในการให้ การแชร์สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เพื่อสังคมดีๆ ที่น่าอยู่ต่อไป
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add the fivedog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.