Never cease

มันหวาน…ที่คาวาโกะ(Kawagoe)

มันหวาน…ที่คาวาโกะ(Kawagoe)

เช้าวันใหม่ ที่มีดวงอาทิตย์อันสดใสสาดส่องแสง อ่อนๆแถวชินจูกุ ยิ่งแสงกระทบซากุระสีสด ยิ่งสวยน่ามอง แม้จะอยู่กลางกรุงโตเกียว เมืองที่ช่างโกลาหน ซึ่งแม้นหนุ่มสาวมาเป็นคู่ ก็อาจพลัดหลงกันได้ แค่เดินข้ามถนน หลายคนบอกว่า’เวอร์ แต่เจอมากับตัว เมื่อมาโตเกียวครั้งแรก เพื่อนที่มาอบรมกันด้วยกว่า 10 คน ผมหลงฝูงอยุ่คนเดียว

ที่นี่แหละ ชินจูกุ เพราะแค่ข้ามถนน… เหลือเชื่อว่ะ แต่เกิดขึ้นแล้ว อาจจะเพราะเป็นตอนกลางคืน ก้อเลยหลงกันง่ายหรือเปล่า ไม่รู้ ….หรือว่า อยากหลงไปคนเดียว ก็ไม่แน่..

เรื่องอย่างนี้ อย่าประมาทไป…..แม้มันออกจะไม่น่าเป็นไปได้




เข้าเรื่อง ต่อดีกว่า..

เช้านี้ ว่าจะไป JR Train mesuem ที่ Omiya หน่อย จริงๆชื่อเค้าคือ The Railway Museum …ว่าแล้ว ก็นั่งรถไฟหวานเย็นไป Omiya ก่อน หลายคนบอก ทำไมไม่ไป Shinkansen ล่ะ ไวกว่า….แม่นแล้ว ครับ ก็ไม่มีไร…ขี้เกียจไปสถานีโตเกียว ก็ shinkansen ไม่ผ่าน Shinjuku นี้ครับ นั่งหวานเย็น ชมซากุระรอบโตเกียวดีกว่า…ไม่รีบ








ไม่นานก็ถึง Omiya แต่แล้ว ใจคน ไว้เปลี่ยน หรือกระไร ….เปลี่ยนใจแล้วเจ้า Museum เดี๋ยวค่อยมา ตรรกะง่ายๆตอนนี้มีซากุระบานไปทั่ว แต่ที่ Museum ไม่ได้ไปดูซากุระ และซากุระบานไม่กี่วัน ดังฉะนั้น Musuem ไปวันหลัง เดี๋ยวค่อยไปขับรถไฟ JR Line กัน….




ไปดูซากุระที่Kawagoe ดีกว่า….เมืองที่ได้ชื่อว่า Little Edo (EcoEdo)
ว่าแล้วก็หารถไฟไป Kawagoe โดยพลัน มุ่งสู่สถานี Kawagoe เลย ไปถึงก็หาซื้อตั๋ว Day Pass ที่นั่งรถเที่ยวเมืองคาวาโกะซะก่อน แต่หาที่ซื้อไม่เจอ




ว่าแล้วก็ลงไปรอรถที่หน้าสถานีเลย มีตายายชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่งก็รออยู่ แกก็เหมือนจะงงว่าจะไปซื้อตั๋วได้ที่ไหน ถามไปถามมาได้ความว่า ไปซื้อบนรถได้เลย งั้นก็ดี..พอขึ้นรถปั๊บ มองหาโชเฟอร์ก่อนเลย ก็ง่ายดี ได้ตั๋วมาสองใบๆละห้าร้อนเยนพร้อมแผนที่ รถที่ว่าก็หน้าตาเข้ากับ Little Edo จริงๆ




ก่อนมาเที่ยวญี่ปุ่น หลายคนเอาแผนเที่ยวเมืองนี้ไว้ในแผน แล้วก็ตัดมันออก เพราะนึกไม่ออกว่าจะมา ทำไม? คงเหมือนกัน แต่ว่าแผนมีไว้เปลี่ยน ก็เลยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนมายืนที่สถานีนี้ ในตอนนี้

เอาเป็นว่า ผมก็เที่ยวแบบตามมีตามเกิดเพราะความรู้ที่จะเที่ยวเมืองนี้ มีแค่ความทรงจำที่เลือนๆหลังจากได้หาข้อมูลก่อนมาแบบผ่านๆ รู้แน่ๆว่าต้องมาดูทรงบ้านเก่าแบบEdo ในตอนนั้น…เพราะไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะมาที่นี่ เอาเป็นว่า จะเข้าท่าไหม ที่เที่ยวเมืองนี้ จะมีอะไรบ้าง…ตามมาดู กัลล์

สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ คนมาเที่ยวที่นี้ไม่ได้หนาแน่นมาก แต่ก็มี ไม่อึดอัดแบบไหลตามกันไป สำหรับผม นี่คือสิ่งที่ต้องการ เพราะไม่อยากเจออะไรที่วุ่นวาย




ลงป้ายแรกเลย มั่วสุดๆ ตามตายายคุ่นั้นไปนั้นแหละ….อะไรกันเนี่ย…อ๋อ..วัดครับ ...วัดNakain อ่านว่า naka-in ประมาณว่าเป็นวัดกลาง naka แปลว่า กลางไง เหมือนบ้านเราแหละ ที่มีวัดเหนือ วัดใต้ วัดกลาง อะไรพรรค์นี้
.... เอาลงแล้ว ก็ชมวัดหน่อย …สวยเหมือนกันน่ะ ช่วงนี้ น่าจะสวยที่สุดในรอบปีซากุระเต็มต้นไปหมด




แถมต้นซากุระท่าจะอายุหลายปี มีเสาเหล็กค้ำต้นเหมือน ส.ว. คนสูงวัยที่ใช้ไม้เท้ากันล้มกัน ดูแล้ว เค้าก็เหมือนคน ที่ต้องการการดูแลอย่างดี แม้ปีนึงจะมีผู้คนมาห้อมล้อมชื่นชม เอ๊ะเหมือนคนอีก ที่ปีนึงจะมีสักวัน สงสัยวันสงกรานต์ ที่ลูกหลานมาเยี่ยมเยียน…ว่าไปนั้น






แต่ที่ยืนยันว่า ช่วงนี้เป็นบรรยากาศวัดที่สวยที่สุดในรอบปี ก็คงจะเป็นที่บรรดา ส.ว. ตั้งกล้องถ่ายรูปกันแบบละลานตา คนญี่ปุ่นนี้..นิยมถ่ายรูปกันจริงๆเพราะอุปกรณ์ มันฟ้องว่าแต่ละคน ประสบการณ์สูงกันจริงไม่เว้นหญิงหรือชาย









ดูซากุระอิ่มดีแล้ว ก็ไปยืนขึ้นรถ ณ จุดที่ลงเมื่อสักครู่ เป็นแบบ Hip On Hip Off ขึ้นรถที่วนกันเป็นรอบ ไปอีกจุดหนึ่ง คราวนี้ไปลงตรง จุดที่มีหอสูงๆ ย่านกลางเมือง ข้ามวัด Kitain ไปซะได้ไง..มิอาจรู้ได้
แต่ตอนนี้ ยืนอยู่ในย่านกลางเมือง ที่เค้าเรียกอาคารพวกนี้ว่า Kura-Zukuri นี่แหละที่เป็นมรดกของยุค Edo อย่างเต็มตา





เพราะมันหาดูไม่ได้จากที่ไหนแล้ว ต้องที่นี้…จริงๆแล้วอาคารพวกนี้มันเป็นผลจากอาการที่เรียกว่า วัวหายล้อมคอก ซะมากกว่า ก็ปกติชาวเมืองเค้านิยมการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการสร้างบ้านแ ต่หลังจากเกิดไฟไหม้เมือง ปรากฏว่าบ้านเรือนเรียบวุธไปกับพระเพลิงเกือบหมด เว้นซะแต่ไอ้อาคารแบบ Kura ที่สร้างด้วยหิน ที่เค้าเอาไว้เป็นคลังสินค้าเก็บผลผลิตทางการเกษตร สินค้าจากEdo หรือจากเมืองหลวงโตเกียวนั้นเอง

ด้วยเหตุประการนี้ เค้าก็เลยเห็นประโยชน์เจ้าสถาปัตยกรรมแบบนี้ ก็เลยนิยมสร้างกัน แม้มันจะมีราคาแพง แต่ก็คุ้มค่าเพราะวันนี้มันก็ยังคงตั้งตระหว่านอยู่กลางเมืองจนถึงวันนี้ เป็นสมบัติล้ำค่าของชาวญี่ปุ่นสืบไป




บริเวณนี้ เราใช้เวลามากที่สุดในการเที่ยวเมืองนี้ เพราะย่านนี้ ต้องบอกว่า มีเสน่ห์ไม่น้อย ไม่ใช่แค่ถนนหลัก ลองเข้าซอยไปแวะดูบ้านเรือนสไตล์เก่าแก่แบบEdo ก็เพลินตา ใครจะหาร้านกินข้าว ก็แถวนี้เลย แถมร้านขนมก็มาก จนละลานตา น่ารัก น่ากิน ปายยย…หมด




ถ้าเป็นแม่ช้อย หมึกแดงมาเมืองนี้ รับรองต้องไปหาร้านที่เด็ดๆของเมืองนี้แน่ แต่ว่า อะไรมันดัง ล่ะ ที่จะได้ชื่อว่ามาคาวาโกะแล้วต้องไปกิน ไม่งั้น ไม่ถึง คาวาโกะว่างั้นเถิด…. แล้วมันคืออะไร ที่ไหนล่ะ??......

……มาคาวาโกะ ต้องไปกิน มัน …….แล้ว มัน คืออะไร ?
คำตอบนั้นก็คือ มันก็คือ มัน …..หลายคนบอก กวนตีน เข้าแว้ววว….




ตอบแบบคนที่พอจะคุยกันได้ ก็ต้องขอเรียนว่า มัน ก็คือ มันเทศ นั่นเอง…Sweet Potato ที่นี้ สุโก้ยย มากเรื่องของมัน…สุดยอดถึงขั้นมีเทศกาลมันหวาน ว่างั้นเลย…วัน Sweet Potato ที่จัดในวัดเกิดผมพอดี 13 ตุลาทุกปี..น่ามาดูแฮะ
เอาเป็นว่า มาถึง คาวาโกะ มาลองหามันกินกันเถิด…ชาวสยาม เอาตั้งแต่ขนม ยัน เบียร์ทำมาจากมันหวาน เจ้าจงมาลอง..ซะเถิด ยิ่งบางร้านเค้าเกิดมาเพื่อมันหวานโดยเฉพาะ ก็เล่นทำอาหารจากมันอย่างเดียว เช่นที่ร้าน Imozen ลอง..ต้องลอง

หรือแค่ลองขนมสามเหลี่ยมจากมันเทศหวาน จากคุณลุงท่านนี้ ที่ยิ้มหวานกว่ามัน…มันจะหร่อย สักปานใด




เค้าบอกกันว่ามา คาวาโกะ ต้องกินอยู่สองอย่าง คือปลาไหลอันเลืองชื่อ และเจ้า sweet potato นั้นแหละ ของอย่างนี้ ต้องลองเอง…

หลังจากลงรถแล้ว ก็เดินย้อนกลับมา ข้ามถนนไปชมเจ้าหอระฆัง อันแก่เก่า ดูๆไปก็ต้องบอกว่า เหมือนหอสังเกตการณ์มากกว่าหอระฆังเพราะหาระฆังไม่เจอ แต่เค้าว่าหอนี้ยังใช้บอกเวลาด้วยการตีระฆังด้วยทุกวันๆละสี่เวลา พูดง่ายๆ ยังใช้อยู่ แต่คงจะใช้เพราะหวังผลด้านการท่องเที่ยวซะมากกว่า ก็ถือเป็นเสน่ห์ของที่นี้





จะว่าไปแล้ว หอระฆังนี้ เค้าก็ใช้เป็นจุดสังเกตไฟไหม้ของเมืองนี้ นั้นแหละ เพราะเท่าที่ดู เห็นแต่อาคารสูงแค่สองชั้น ไม่มีตึกสูง ตามท้องเรื่องอันเก่าแก่ ไฟไหม้ แผ่นดินไหว เป็นภัยที่หายนะคู่กับคนญี่ปุ่นมายาวนาน ไม่เว้นกับเมืองนี้ ที่มีครั้งหนึ่งมีไฟไหม้.เรียกว่า ผลาญกันไปทั้งเมือง รวมทั้งเจ้าหอนี้ด้วย….ซึ่งหอที่เราเห็นนี้ ก็เป็นงานสร้างใหม่ แต่ก็ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ได้เลยที่เดียว คล้ายกับปารีสมีหอไอเฟล ปานนั้น

ว่าแล้ว ก็เดินรอดใต้หอระฆังนี้ ไปดูซิหน่อย ว่าแถวนี้มีอะไร…อ๋อ ศาลเจ้าเล็ก ตั้งอยู่นี่เองง มาแล้วก็ไปดึงเชือกสั่นกระดิ่งที่ศาลเจ้า เอาฤกษ์เอาชัย กันหน่อย…แล้วเดินย้อนกลับมารอดใต้หอ ว่าแล้วสายตาก็ไปเหลือบไปทางซ้ายเห็นแม่บ้านญี่ปุ่นต่อคิว ทำไรกัลย์… เข้าไปดูหน่อยดิ…และ...มันคือ ร้านดังโงะ นี่เอง…


ลุงคนขายกำลังปิ้งดังโงะอย่างช้าๆ แต่ภาพที่เห็น มือแกทำงานไวมาก จนจับภาพไม่ได้ อิอิ…




เวลามาเที่ยวต่างถิ่น เค้าว่าอย่าไปเสียดงเสียดายเงินเลย มีอะไรที่พอลองได้ ก็ควรจะ…ตามกำลังศรัทธา ไอ้ครั้นจะฟังแต่เค้าเล่าแต่ไม่เคยลอง ก็เขินๆน่ะที่จะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง ประมาณว่ารู้ทฤษฏีแต่หนีปฏิบัติ มันคงทำนองนี้กระมั้งที่ว่า .. “ อ่านหนังสือพันเล่มไม่เท่าเดินทางลี้เดียว ”

เมื่อสติมา ปัญญาเกิด ไม่รอช้า คิดเร็วตัดหน้าแม่บ้านญี่ปุ่นที่กำลังเดินเข้าร้าน …สั่งดังโงะสองไม้ เอาไปลองกิน ทั้งที่ไม่ค่อย..ดังโกะสักเท่าไร เพราะมันทำจากแป้ง แหล่งกำเนิดแห่งความตุ้ยนุ้ย




จากตรงนี้จุดที่ลงรถเดิม แค่เดินขึ้นไปอีกนิดแล้วเลี้ยวซ้าย เพื่อไปเที่ยวต่อที่ ตรอกขนมแฟชั่นย้อนยุค จะเดินหรือขึ้นรถก็ได้ เพราะมันแค่ป้ายเดียว เลือกเดินดีกว่า ชมเมือง ชมสาว(แก่) เอาเป็นว่า เริ่มจากปากทางตรอกขนมอันเลื่องชื่อของคาวาโกะเลย มันเต็มปายยหมด..ขนมนมเนย เหมือนย้อนยุคแบบตลาดบ้านเราที่เป็นกระแสหลายตลาดเก่า แค่เดินเข้ามาไม่กี่ก้าว ก็อดนึกถึงตลาดเก่าที่ดิสเพลย์ในพิพิธภัณฑ์ราเมน ที่โยโกฮาม่าไม่ได้ เพราะมันอารมณ์เดียวกัน แต่ต่างกันที่ ตรงนี้ มันของจริง……




ตรอกขนมนี้ …มันไม่ได้เพียงที่จะแสดงออกมาถึงวัฒนธรรมทางอาหารผ่านรูปแบบขนมญี่ปุ่นนับร้อยพันแบบ ไปยังคนญี่ปุ่นทั่วทุกมุมเกาะญี่ปุ่น แต่เราก็จะได้เห็นเสี้ยวหนึ่งของความสำเร็จของขนมพวกนี้ ที่ออกไปยังชาวโลก

อย่างบ้านเราที่ขนมญี่ปุ่นพวกนี้บุกมาตีตลาดเราไปพร้อมๆกับการ์ตูนญี่ปุ่นเมื่อหลายยี่สิบ สามสิบปีก่อน จนปัจจุบัน วันนี้ ตรงนี้ เรามาตามหาแหล่งอารยธรรมทางขนมของญี่ปุ่นโดยแท้…




ตรอกนี้ ไม่ใหญ่มาก และไม่ลึก เดินสักพักก็ครบ แต่อยากให้เดินตรอกนี้แบบดื่มด่ำหน่อย เราอาจจะพบความทรงจำเก่าๆที่มีค่า รอเราอยู่ก็ได้ เช่น พวกขนมย้อนยุค ในแพคเก็จเดิมๆที่สดใส น่ารัก น่ากิน แบบที่เคยมาขายในบ้านเราเมื่อตอนเด็กๆ

แต่ขอเตือนไว้หน่อย ว่ายังไงๆ เวลาเลือกขนมก็อย่าไปแย่งกับเด็กๆญีปุ่นน่ะ อาย…ก็รุ่นพ่อแล้ว ยังมาคุ้ยขนมแย่งเด็ก ..อิอิ




เดินไม่นาน ก็ได้ขนมเต็มไปหมด เอาไปกินบนรถไฟคงอร่อย…เมื่อยเต็มคราบ เดินกลับมารอรถ ที่ปากซอย กลับสถานีรถไฟ ด้วยอารมณ์ที่ happy ที่ตัดสินใจมาเมืองนี้ แม้จะยังเที่ยวไม่ครบสูตร แต่ก็เป็นทัวร์ครึ่งวันที่ไม่เหนื่อย คุ้มค่าเวลาในการเที่ยวย้อนยุคเมือง Little Edo แห่งนี้ งานนี้ไม่มาไม่รู้ แต่ในความคิด มาหน้า hanami จะโอมากเลย อีกทีก็เดือนตุลาคมมีงานแห่ประจำเมือง

บ๊าย บาย ด้วยสาวคาวาโกะ ว่าจะโบกไปสถานีหน่อย แต่แฟนดึงหูไว้….. ตึ้งโป๊ะ……












ประจันดุม ๒๐๐๘















 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2552
5 comments
Last Update : 5 มีนาคม 2552 18:00:50 น.
Counter : 7844 Pageviews.

 

ภาพสวยจังค่ะ

 

โดย: bakaminkchan 25 กุมภาพันธ์ 2552 16:33:29 น.  

 

คุณลุงขายมันหวานน่ารักมากเลยค่ะ

 

โดย: koipotter 25 กุมภาพันธ์ 2552 19:52:10 น.  

 

คุณลุงขายมันหวานน่ารักมากเลยค่ะ

 

โดย: koipotter 25 กุมภาพันธ์ 2552 19:52:13 น.  

 

ขอบคุณนะครับที่แวะมาเยือน และคำชมนะครับ

คุณลุงขายมัน ว่านอกจาก แกจะยิ้มหวานแล้ว มันที่ขายก็ยังหวานจับใจจริงๆครับ

 

โดย: the fivedog 25 กุมภาพันธ์ 2552 22:02:27 น.  

 

อ่านแล้วสนุกดีค่ะ
ถ้าจะให้ทานปลาไหลกับมันนี่
อย่างแรกเห็นทีจะไม่ไหว คงไม่กล้าเป็นแน่แท้

 

โดย: Yolanrita 26 กุมภาพันธ์ 2552 0:55:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


the fivedog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




การได้อยู่กับคนที่เรารัก ก็ดีพอแล้ว
แต่การได้เดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน มันสุดยอดมากกับชีวิตคู่ ของคนธรรมดาคนหนึ่ง

คนที่เชื่อมั่นในการให้ การแชร์สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เพื่อสังคมดีๆ ที่น่าอยู่ต่อไป
New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
25 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add the fivedog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.