|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
300
ดิบ ระห่ำ และตราตรึง
นับๆกันดูแล้ว -- เอาเฉพาะในช่วงหลังขึ้นสหัสวรรษใหม่ -- ฮอลีวู้ดหยิบยกเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ขึ้นมาละลายทรัพย์ผู้ชมอย่างไม่ ขาดสาย ทั้งประวัติบุคคลและประวัติเหตุการณ์ต่างหลั่งไหลมาเป็นระลอกๆ และไม่น่าแปลกใจที่หลายในนั้นจะเป็น เรื่องเกี่ยวกับการสงคราม
ถ้า จะให้พูดว่าทำไมเรื่องราวสงครามถึงมีให้ดูจนเฟ้อตลาดก็จะพาลออกทะเลหลุดไป ถึงน่านสากลจนกู่ไม่กลับเสียเปล่าๆ แต่บางทีในฐานะผู้ชมผมคงต้องตั้งคำถามว่า... ยังเหลือฉากแบบไหนที่เราไม่ได้เห็นจากหนังประเภทนี้อีก
เพราะนับจาก The Two Towers และ The Return of The King ทำแม่พิมพ์เอาไว้แล้ว หนังแนวเดียวกันที่คลอดตามออกมาก็ไม่แสดงอะไรที่เทียบเท่าได้เลย
... แต่ตรรกะนี้คงใช้ไม่ได้กับ 300 หนังมหากาพย์ (อีกแล้ว) เรื่องล่าสุดที่มาพร้อม อะไรแนวๆและความเป็นตัวของตัวเองอย่างเหลือล้น
(ขอบ่นนิดนึงว่า หลังๆมานี่เราชักจะมีหนังติดยี่ห้อมหากาพย์เดินชนกันมากไปหน่อยแล้วรึเปล่า...)
สารภาพ ว่าตั้งแต่ตัวอย่างของหนังเรื่องนี้พุ่งเข้ามาประทะสายตาผมเมื่อราวๆปลายปี ที่แล้ว ... ฉับพลันผมก็ขนลุกซู่ -- เปล่าไม่ใช่เพราะแอร์เย็นหรืออยากเข้าห้องน้ำ -- ผมตื่นตะลึงตึ่งตึ่งตึ๊งกับสิ่งที่เห็นบนจอ ทุกอณูในร่างกายกระทั่งพลาสม่าในกระแสเลือดยังเดือดระอุบอกตัวเองให้... "ห้ามพลาด" หัวจะเด็ดตีนจะขาดก็ต้องลากสังขารมาดูให้ได้
300 เป็นผลงานกำกับของ แซ็ค ไซเดอร์ที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนของแฟร้ง มิเลอร์ซึ่งอิงมาจากประวัติศาสตร์จริงในยุค 480 ปีก่อนคริสตกาลอีกที (ไม่งงใช่ไหมครับ) หนังมาพร้อมเรื่องราววีรกรรมการรบของกองกำลังสปาร์ตันผู้ยืนหยัดต่อต้านการ รุกรานของทัพมหึมาของจักรพรรดิ เซอร์ซิสที่ 1 (มหาราช) แห่งเปอร์เซีย
หนัง เริ่มเล่าเรื่องด้วยการแสดงขนบของชาวสปาร์ตัน เผ่าพันธุ์ที่ว่ากับว่าสืบเชื้อสายมาจากผู้กล้าเฮอร์คิวลิสโดยตรง (ใครไม่รู้จักเฮอร์คิวลิสก็อ่านข้ามไปได้เลยครับ) ชนเผ่าสปาร์ตันมิใช่พวกไร้อารยะ หากแต่พวกเขาเป็นยอดนักรบในหมู่นักรบด้วยกัน สปาร์ตันทุกผู้ถูกปลูกฝังว่าการพลีชีพในสนามรบนับเป็นเกียรติอันสูงสุด
เซอร์ ซีสแห่งเปอร์เซียผู้เปรียบตนเป็นจอมกษัตริย์และสมมติเทพกรีธาทัพจากเอเชีย หมายจะพิชิตทั้งยุโรปและครอบครองโลก ราชาหลายต่อหลายดินแดนมิอาจต้านทานกองทัพอันเกรียงไกรนั้นได้ พวกเขาถูกสังหารและปล้นชิงอิสรภาพของบ้านเมืองไป
และแล้วราชทูตก็นำ สาสน์มาถึงสปาร์ตาที่ซึ่งเลโอเนดิสราชาผู้ทระนงดุจราชสีห์และชาวเมืองกำลัง อยู่ในวันคืนปกติ ด้วยศักดิ์ศรีนักรบและความห้าวหาญเลโอเนดิสปฏิเสธการศิโรราบลงต่อมหาทัพ แห่งเปอร์เซียและนั่นก็คือการมุ่งหน้าสู่สงครามของเขา
เมื่อศัตรู เดินมาเคาะประตูบ้านปลุกเร้าให้กษัตริย์สปาร์ตาต้องหาหนทางปกป้องอธิปไตย และพลเมืองทั้งหลาย แม้จะถูกปฏิเสธการเดินทัพใหญ่อย่างเป็นทางการจากสภา เลโอเนดิสก็ไม่ยอมท้อถอยปณิธานของเขายังแข็งกล้าที่จะรักษาความเป็นเสรีชน แห่งสปาร์ตาไว้
กองกำลังชั้นใบอ่อนของหัวกระทิอีกทีถูกคัดเกณฑ์มา นับรวมได้ 300 ชีวิตเพื่อมุ่งขึ้นเหนือไปรับศึกใหญ่โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ และก็เพราะอย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเป็นเหล่าชายชาติอาชาไนยผู้มีทายาทสืบ ตระกูลทั้งหมด
เลโอเนดิสและกองกำลังเพียงหยิบมือที่พร้อมจะรบเคียง ไหล่และพร้อมจะตายเคียงกันเฉกเช่นวิถีของผู้กล้ากรีธามารั้งไว้ ณ ช่องเขาเธอร์โมพิเล หรืออีกชื่อว่า ฮอท เกทส์ที่ซึ่งตามยุทธศาสตร์แล้วจำนวนจะไร้ซึ่งความหมายทันทีโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าสปาร์ตันผู้ชาญศึกและไม่พกความปราณีติดกระเป๋ามา ด้วย
แต่งานของเลโอนิดิสไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะจำนวนอันเหลือคนานับของข้าศึกบวกกับกลการเมืองภายในของสปาร์ตาเองและ ยังรวมไปถึงการทรยศที่คาดไม่ถึงอีกด้วย จอมราชสีห์เลโอนิดิสจะบรรลุมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลของเขาได้หรือไม่ อันนี้คงต้องขอให้ควักตังค์ตามไปลุ้นเองในโรงแล้วล่ะครับ
การรบอัน เกริกไกรของกองทัพ 300 คนแห่งสปาร์ตาพร้อมจะเขย่าแผ่นดินให้สะท้านสะเทือนรวมถึงหัวใจของผู้ชมซึ่ง คงเกิดสำนึกในความเป็นเสรีชนและรักบ้านเมืองตนเองขึ้นมามั่งไม่มากก็น้อย เพราะของแบบนี้มันอยู่ที่ใจเพียวๆเลยครับพี่น้อง
ทำเอาผมนึกไปถึง บทเพลงพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุดท่อนที่ว่า... "จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา..."
และ บันทึกการศึกที่ช่องเขานี้เองที่ปลุกกองทัพพันธมิตรผู้กล้ากรีกทั่วสารทิศ ให้ตื่นขึ้นแล้วตั้งทัพหักหาญเอาชัยกับพวกเปอร์เซียแบบเป็นเรื่องเป็นราวใน กาลต่อมา
ว่ากันถึงตัวนักแสดง แน่นอนว่าหัวใจของหนังที่ต้องเต้นตุบตับสูบฉีดพลังและพาเรื่องราวทั้งหมดไป ตลอดรอดฝั่งนั้นต้องเป็นเลโอเนดิสราชาแห่งสปาร์ตาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
พูด กันตามตรงว่าผมเองก็เป็นแฟนของ เจอร์ราด บัตเลอร์ คนหนึ่งซึ่งการยื่นใบสมัครนั้นเกิดขึ้นหลังจากดู Phantom of the opera จบลงนั่นเอง(ซึ่งถ้าใครไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็ไม่ว่ากัน)
บัตเลอร์ใน บทแฟนท่อมนั้นแตกต่างอย่างแทบจะสิ้นเชิงกับพระเจ้าเลโอเนดิสในคำรบนี้ ในคราบของแฟนท่อม บัตเลอร์นั้นเท่...โคตรเท่...สุดแสนจะเท่ เท่จนเกินหน้าเกินตาพระเอกในเรื่องด้วยซ้ำ เป็นปิศาจที่ละมุนละไมเพื่อซ่อนความป่าเถื่อนเอาไว้ใต้หน้ากาก
แต่เลโอเนดิส ราชสีห์ทระนง ราชันย์ผู้กล้าแห่งสปาร์ตากลับตรงข้าม บัตเลอร์ถ่ายทอดเลโอเนดิสออกมาอย่างดิบ กร้าวและระห่ำ การรบอย่างบ้าบิ่นไม่เกรงกลัวศัตรูคนใดแสดงพลังของบทออกมาอย่างชัดเจน หากแต่ในบางเวลานั้นแววตาของยอดนักรบกลับสะท้อนความรู้สึกอันอ่อนโยนที่ไม่ ถูกอนุญาตให้แสดงออก เพราะความเป็นสปาร์ตันนั้นค้ำคออยู่...
แม้จะ เอ่ยบอกรักราชินีที่เขาแสนจะปฏิพัทธ์ก็ยังเพียงฝากแววตาอันซาบซึ้งไว้เท่า นั้น ก็อย่างที่ว่าไว้ หากบัตเลอร์คนเดียวเอาหนังไม่อยู่ทุกอย่างบนกระดานจะล้มตามๆกันเหมือนโดมิโน แต่กระนั้นก็เถอะครับในคะแนนสอบที่น่าพอใจของบัตเลอร์ ผมยังอยากจะร้องขอ "อะไร" ที่มากกว่านี้จากเขา
ไม่ได้กำลังบอกว่าบัตเลอร์ทุ่มไม่สุด ทั้งหมดทั้งปวงที่แสดงออกมาผ่านเลโอเนดิสบอกเราอย่างจะแจ้งว่าบัตเลอร์เทใจ ให้เต็มที่ในหนังเรื่องนี้... แต่ดูเหมือนในบางจังหวะเขาส่งพลังไม่แรงพอ (ย้ำว่าใน บาง จังหวะ) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตที่จะต้องหักคะแนนกัน
นอก เหนือจากเรื่องราวกระชับฉับไวที่มาพร้อมเวลาของหนังอันพอดีๆแล้ว ดนตรีประกอบยังกระหึ่มปลุกเร้าดวงใจของผู้ชมให้คล้อยตามไปราวจะต้องออกศึก ต้านทัพนับล้านพร้อมกับสหายอีกเพียง 300 ชีวิต แต่...และแต่ สิ่งที่ไม่พูดถึงก็คงต้องโกรธกันไปเลยคืองานโปรดักชั่นและเทคนิคด้านภาพที่ แนว แน๊ว แนว
ชัยชนะที่แท้จริงอาจไม่ต้องเกิดขึ้นเพียงในสนามรบ เฉกเช่นความสำเร็จของ 300 ก็ไม่ได้แอบอิงอยู่กับเพียงตัวเลขรายรับหรือคำวิจารณ์ู หากแต่สิ่งที่ตกค้างจากสรภูมิฮอทเกตส์จากเมื่อกว่า 2500 ปีก่อนมาถึงปัจจุบันนั้นคือเรื่องราวการกรีธาทัพที่สะเทือนเลื่อนลั่นปฐพี
และ สำหรับ 300 ก็เช่นกัน หากเทคนิคบลูสกีนของตัวหนัง (ซึ่งทำเพื่อถอดแบบให้ใกล้เคียงคอมมิคที่สุด) ก้าวขึ้นเป็นแม่พิมพ์อันหนึ่งของฮอลี้วู้ดได้นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ที่ ทุกคนต้องยอมรับ เหมือนครั้งหนึ่ง The Lord of the Rings สร้างฉากรบอันสุดแสนตรการตา ครั้งหนึ่ง Matrix สร้างปรัชญาและคิวบู๊แบบใหม่ หรือกระทั่ง I know what you did last summer ที่เป็นมารดาทางอ้อมของหนังฆ่ากรรมวัยรุ่นทั้งปวง
ในส่วนอื่น อารมณ์ของหนังพุ่งขึ้นและชะลอลงได้อย่างเป็นระบบระเบียบ และถึงจะเป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ 300 กลับนำเสนอตัวเองออกมาในเชิงแฟนตาซีได้อย่างลงตัวสวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว
ใน แง่ที่ต้องติบ้างก็คือความรุนแรงของหนังนั้นไม่เหมาะสำหรับเด็กด้วยประการ ทั้งปวง 300 มาพร้อมกับฉากที่บรรดาคอซาดิสม์ทั้งหลายต้องกริ๊ด ทั้งคอที่หลุดจากบ่าให้เห็นจะๆ เลือดที่ฉีดชโลมกันเป็นแกลลอน การฆ่าฟันอย่างสิ้นไร้ความเมตตาและกองซากศพพะเนินเทินทึก (แถมบางซีนที่ทำเอากองเซนเซอร์ต้องเต้นและเรียกหาโมเสคมาบังแทบไม่ทัน)
เรื่อง ที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลานับพันปี จากช่องเขาฮอทเกตส์มาสู่โลกกว้าง วีรกรรมของสปาร์ตันชนผู้กล้ามิได้เลือนหายไปเลย... นี่คือสิ่งที่เป็นถูกขับเคลื่อนด้วยปณิธานออกมาเป็นภาพยนตร์ที่แสนทางพลัง พร้อมจะมอบอารมณ์แบบผสมผสานทั้งหึกเหิม ทั้งตราตรึงและแน่นอนว่าผู้ชมหลายต่อหลายคนคงนึกยกย่องเลโอเนดิสกับเหล่าคน ของเขาอยู่ในใจ
ฉะนั้นและฉะนี้ อย่าหาว่าลำเอียง เพราะถึงว่าก็จะให้คะแนนเท่าเดิม... สำหรับ 300 หนังสงครามที่งดงามและเกรี้ยวกราดดั่งบทกวีของนักรบผู้ขับขานผ่านหอก ดาบและโล่ควรจะได้จากผมไป 4 เต็มๆ แบบไม่ต้องอั้นให้เสียราคา... และอย่าว่าอย่างนั้นอย่างเลยครับ มันคุ้มแค่ไหนแล้วที่เราได้ดู หนังสามร้อยในราคาแค่ร้อยสี่สิบบาท
ดูหนังให้สนุกนะครับ
Create Date : 16 มีนาคม 2550 |
|
4 comments |
Last Update : 16 มีนาคม 2550 1:03:36 น. |
Counter : 521 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: tempura (TeM_ChaN ) 26 มีนาคม 2550 20:54:27 น. |
|
|
|
| |
|
|