Kross (เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง~
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
6 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
Fate of Astray - Chapter 6 สนามรบแห่งดาบอนันต์

ภายใต้พิภพแห่งดาบ...

สิ้นคำของอาเชอร์, โลกที่อยู่รอบตัวของเซเบอร์ก็เริ่มถูกบิดเบือนและกลืนหายไปสู่อีกมิติหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทิวทรรศน์ใหม่ที่เป็นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาลพุ่งทะยานออกไปทุกทิศโดยมีอาเชอร์เป็นศูนย์กลาง ราวกับว่าเธอและคนทั้งหมดในสนามรบนั้นถูกฉุดกระชากเข้าไปสู่โลกที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน


เซเบอร์กระพริบตาถี่ๆพร้อมมองไปรอบๆอย่างไม่เชื่อสายตา... ดาดฟ้ากว้างยามค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง ถูกเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมแม้แต่นิดเดียว บรรยากาศรอบตัวเธอบัดนี้ร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาไฟ บนท้องฟ้าปรากฎจักรกลและฟันเฟืองยักษ์เสียดสีกันไปมาสนั่นหวั่นไหวแทนที่ดวงจันทร์และดารายามค่ำคืน พื้นคอนกรีตอันมั่นคงถูกเปลี่ยนไปเป็นผืนดินแห้งแล้งกว้างใหญ่สุดหูตาที่ประดับประดาด้วยโลหะนับหมื่นพัน



เมื่อเธอมองใกล้เข้าไปอีกนิด... โลหะนับไม่ถ้วนที่สะท้อนแสงผ่านฝุ่นสีแดงออกมานั่นไม่ใช่สิ่งใดแน่นอน นอกจากดาบ...ดาบ...ดาบนับพันเล่มถูกปักอยู่บนพื้นดินทั่วไปทุกหนแห่งของดินแดนอันไพศาล และที่ยิ่งไปกว่านั้น, ดาบทุกเล่มต่างแผ่ประกายของเวทย์มนต์อันทรงพลัง หรือไม่ต่างถูกออกแบบมาอย่างเป็นเอกลัษณ์โดดเด่นชนิดที่บอกได้ชัดเจนที่สุดว่า

ดาบทุกเล่ม...ทุกเล่มในที่นี้ล้วนแต่เป็นดาบชั้นเลิศที่สุดแห่งแผ่นดิน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากอาเชอร์ประกาศนามอนาจักรดาบอนันต์คือการเปิดใช้ไพ่ตายของวีรชนชุดแดง, พลังวิเศษที่น่ากลัวที่สุดชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ Reality Marble หรือโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างด้วยปัจเจกบุคคลและขยายออกมาทับมิติปกติของโลกคนเป็น หรืออีกนัยหนึ่งมันก็คือพื้นที่ที่ฉีกกฎเกณฑ์แห่งดาวเคราะห์ดวงนี้ได้นั่นเอง


นี่คือความสามารถที่น้อยคนนักจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ จอมเวทย์ หรือแม้แต่วีรชนก็ตาม, คนที่มีความมุ่งมั่นและพลังพอที่จะบิดเบือนแล้วขยายโลกภายในจินตนาการของตนจนกลายเป็นความจริงซ้อนทับกับมิติของโลกได้นั้นหาได้ยากยิ่งชนิดที่เรียกว่า หาเข็มในทะเลยังง่ายกว่าด้วยซ้ำ... เซเบอร์อดทึ่งและนับถือถึงความสามารถของศัตรูตรงหน้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว



ขณะนี้มือขวาของเซเบอร์นั้นยังถือดาบไว้อยู่ และดาบที่ได้รับพรแห่งพระจัทร์อีก 6 เล่มก็ยังคงปักล้อมตัวเธออยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนอาวุธประจำกายของเธอจะถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนวีรชน ดังนั้นเมื่ออาเชอร์ลากเธอเข้าสู่มิติแห่งใหม่อาวุธของเธอจึงตามติดมาด้วย ทว่า...ดาบเพียง7 เล่มรอบตัวเธอตอนนี้ดูช่างด้อยค่าเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับดาบชั้นเลิศนับร้อยพันที่รายล้อมเธออยู่ตอนนี้


“ไม่คิดมาก่อนเลยนะ ว่าเจ้าจะมีความสามารถแบบนี้ด้วย...อาเชอร์” เซเบอร์เอ่ยด้วยเสียงแข็งๆ
“อืมนั่นสินะ, ถือว่าเป็นเซอร์วิสเล็กๆน้อยๆให้มิโกะน้อยก่อนกลับไปนอนเล่นในบัลลังก์วีรชนละกัน...” อาเชอร์สวน
“เฮอะ... ไม่แน่หรอกว่าใครจะได้กลับบัลลังค์ก่อนกัน อาจเป็นจ้าก็ได้อย่าพึ่งใจร้อนไปเลย” เซเบอร์สวน
“ไม่จริงหรอกค้า… อาเชอร์เป็นแค่วีรชนกระจอกๆเองอ่ะ คงไม่ได้กลับไปอยู่บัลลังค์หรอกค่ะ ไงๆก็คงต้องโดนโลกนี้จิกหัวใช้งานตะพึดตะพือ...แถมยัง” เจ้านายน้อยสมญานามกระบี่แวววาวผู้แทรก...แต่ยังไม่ทันพูดเท่าไหร่ก็โดนขัดจังหวะสะก่อน


โป้กกกกกก.......
อาเชอร์นั่นเอง, เขาเขกหัวเจ้านายตัวเองด้วยความหมั่นไส้ปนเคืองที่แอบเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดกับคู่ต่อสู้ แม้จะรู้ว่ามาสเตอร์ของตนไม่มีเจตนาร้ายๆแต่การโดนขุดอดีตมาทับถมมันก็รู้สึกเจ็บใจน่าดู... และยิ่งเห็นเซเบอร์ทำท่าเหมือนกลั้นหัวเราะยิ่งรู้สึกเจ็บใจเพิ่มเป็นสองเท่า


“ทำไรอ่ะ อาเชอร์?” มาสเตอร์ตัวน้อยหันมาพูด ดูเหมือนการที่เขาโขกกบาลเจ้านายเต็มที่นั้นจะไม่ได้ส่งผลให้เด็กสาวเจ็บปวดใดๆแม้แต่น้อย เพราะเธอยืนทื่อราวกับเขาต่อยเสาหินก็มิปาน
“อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดที่สาธารณะสิ คุณหนู อีกอย่างบัลลังค์วีรชนมันก็ไม่ใช่ที่อะไรที่มันดีนักหรอก...” อาเชอร์พูดกับนายตัวเอง


ชีวิตและวิญญาณของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นและล้มตายไปนั้นก็ล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังสารวัติ ที่จักเวียนว่ายตายเกิดไปไม่จบสิ้น ทว่าสำหรับสิ่งมีชีวิตบางตนที่ครั้งหนึ่งได้สร้างตำนานหรือวีรกรรมใดๆไว้บนพิภพที่ตนอยู่อย่างยิ่งใหญ่เพียงพอและมีผู้ยกย่องจดจำ, วิญญาณของบุคคลเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตจะถูกโลกดึงไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเก็บไว้ยังบันทึกสูงสุด...หนึ่งในบันทึกที่ว่านั่นคือ “บัลลังค์วีรชน” (Hero’ Throne) นั่นเอง


สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นที่เมืองฟูยูกิ ประเทศญี่ปุ่น หรือปัจจุบันในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีการอัญเชิญวีรชนมาเป็นเซอร์แวนท์ผู้ต่อสู้แย่งชิงจอกฯนั้น ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่ขอคัดลอกตัวตนของนักรบจากบัลลังค์วีรชนมาร่วมต่อสู้นั่นเอง และเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดวิญญาณของพวกเขานั้นก็จะสลายหายไปโดยมีเพียง ‘บันทึกเพิ่มเติม’ สั้นๆกลับไปยังบัลลังค์ศูนย์กลางเท่านั้นเอง


เพราะพวกเขาคือวีรชน...ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริงในโลกยุคปัจจุบันนี้

“แต่ถ้าอาเชอร์ได้จอก ก็ขอพรให้ไม่ต้องกลับไปก็ได้นิหน่า...กลับไปอยู่ด้วยกันที่พราฮาก็ได้นะ…ฉันไม่ถือ...ถ้ามีวีรชนตัวเป็นๆไปให้อาจารย์ที่นั่นวิจัยได้ต้องดีใจกันยกใหญ่แน่ๆเลย” มาสเตอร์สาวน้อยยังคงพูดต่อ... แม้คำพูดเธอจะดูไม่ปลื้มสำหรับอาเชอร์ก็ตามที


“เหลวไหลนะนายท่าน ถ้าข้าได้จอกฯจริงๆข้ามีอย่างอื่นจะขอมากกว่า...” วีรชนชุดแดงตอบนายตัวเองแบบไม่ลังเล แต่ก็แน่หละ การโดนเอาไปชำแหละในห้องวิจัยคงไม่ใช่เรื่องพึงปรารถนาแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือเซอร์แวนท์ก็เถอะ


ตึง....
เสียงหนึ่งที่ดังแทรกขึ้นมา...เสียงฝีเท้า, ที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นหยุดสนทนาแล้วหันไปจับจ้อง...แอสแซสซินนั่นเอง, แม้จะถูกสาวน้อยแห่งพราฮาถล่มอย่างหนักแต่มันก็ยังไม่สิ้นใจ ทว่าสายน้ำและสายฟ้าอันรุนแรงได้บีบบังคับให้มันเสียคุณลักษณะการซ่อนพรางจนหมดสิ้นและบัดนี้ได้เปิดเผยร่างจริงให้ทุกคนเห็นอย่างแจ่มชัดเป็นครั้งแรก


วีรชนในชุดเกราะโลหะรูปร่างแปลกประหลาดสีดำเข้ม มันไม่เหมือนเกราะของนักรบใดๆในยุคโบราณหรือทหารในยุคปัจจุบันแม้แต่น้อย... ไม่เหมือนแม้กระทั่งรูปร่างของมนุษย์ โดยทุกส่วนของร่างกายมันเหมือนจะประกอบด้วยอุปกรณ์และอาวุธที่แสนจะล้ำยุคสมัยยิ่งกว่าเทคโนโลยีของประเทศใดๆ จนทั้งอาเชอร์และเซเบอร์ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือวีรชนที่อัญเชิญมาจากโบราณกาลจริงๆ


หอกสั้นที่ถูกพับไว้ด้านหลัง ขดแส้ไททาเนี่ยม ชุดเกราะล่องหน ปืนอนุภาคโฟตอน วงจักรอัจฉริยะ เลเซอร์ชี้เป้า เซนเซอร์นำวิถี... ของพวกนี้ไม่ใช่อาวุธโบราณแน่นอน



ในบรรดาเซอร์แวนท์ที่เข้าร่วมสงครามจอกฯ นักรบคนอื่นๆอาจถูกอัญเชิญจากยุคสมัยและมีพื้นเพที่แตกต่างกันไป แต่ว่าสำหรับแอสแซสซินนั้นไม่ใช่ เพราะนี่คือคลาสพิเศษที่กลไกจอกศักดิ์สิทธิ์จะคัดเลือกวีรชนเพียงนามเดียวเท่านั้นมาเข้าร่วม นั่นคือ “ฮัซซัน อัล ซับบาห์”, นามที่จะมอบให้กับบุรุษที่เปี่ยมฝีมือที่สุดแห่งศาสตร์สังหารในคาบสมุทรอารเบีย ผู้สร้างองค์กรนักฆ่า “ฮัซซาซิน” อันเลื่องลือ


หมอนี่ต้องเป็นฮัซซันผู้นำเหล่าแอสแซสซินแน่ๆ...
แต่องค์กรฮัซซาซินล่มสลายไปแล้วร่วมพันปี...
แล้วอาวุธสุดไฮเทครอบตัวของมันมาจากไหน..


คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของสองเซอร์แวนท์และ อีกหนึ่งมาสเตอร์เช่นกัน ที่อดตั้งคำถามไม่ได้เมื่อเห็นร่างกายอันน่าทึ่งของมันแบบชัดเจนเต็มตา


“ข้านึกว่าเจ้าอัดมันคาที่ไปแล้วสะอีกนะนั่น....” อาเชอร์หันไปมองนายตัวเอง
“ช่วยไม่ได้นิหน่า...ฉันไม่ได้ป่าเถื่อนขนาดนั้นสะหน่อย” เด็กหญิงตอบ “แต่ก็เท่านั้นแหละ...ได้เวลาที่อาเชอร์ต้องเอาจริงแล้วไม่ใช่รึ ปล่อยให้เจ้านายทำงานงกๆได้ไง...”


และท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนจัดและเสียงเสียดสีของฟันเฟืองบนท้องฟ้านั่นเอง, การต่อสู้ท่ามกลางดินแดนแห่งดาบอนันต์ของทั้ง 3 วีรชนกับ 1 จอมเวทย์ก็เริ่มต้น

ไม่มีใครหนีออกไปจาก Reality Marble นี้ได้นอกจากสังหารผู้ใช้ให้ดับดิ้น...


ทั้งเซเบอร์และแอสแซสซินรู้เรื่องนั้นดีเช่นกัน, ทั้งสองจึงไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวที่จะพุ่งเข้าจัดการอาเชอร์ให้จงได้ แม้ว่าจะรู้ตัวว่าเสียเปรียบที่พวกตนต้องอยู่ในอนาเขตของวีรชนชุดแดงที่เต็มไปด้วยสารพัดอาวุธให้เขาหยิบใช้ก็ตามที

“รับมือ อาเชอร์!” เซเบอร์ร้องพร้อมกับพุ่งตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ซึ่งตามหลังเธอมาติดๆก็คือแอสแซสซินที่หมายพิชิตศึก


แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับกัน, เด็กสาวผู้เป็นมาสเตอร์แห่งพราฮายืนตระหง่านขวางสองเซอร์แวนท์ไว้ ราวกับเธอกำลังปกป้องอาเชอร์ของตัวเองซึ่งบัดนี้ยืนตั้งรับอย่างเดียว และการที่มือธนูมีโอกาศได้เล็งยิงแบบประณีตนั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องปาดเหงื่อสำหรับวีรชนทุกคลาสทีเดียว


เซเบอร์กวัดแกว่งดาบในมือขวาเป็นสัญญาณ ขณะที่ปืนโฟตอนบนบ่าของแอสแซสซิน ก็ล็อคเป้าเข้าใส่เด็กสาวอีกครั้ง

“ช่วยอีกรอบนะ ริบบ้อนพลัสม่า....” มาสเตอร์ตัวน้อยจุมพิตเบาๆไปยังผลึกสีแดงบนด้ามดาบ ก่อนที่จะโบกสะบัดมันราวกับแส้ที่ยาวเหยียดเพื่อปัดป้องภัยคุกคามรอบตัวเองและอาเชอร์


เพล้ง...ตูมมมม เพล้ง...ตุมมมม แฟ๊ด....ตูมมมมม
ด้วยท่วงท่าที่งดงามจนแม้แต่เซเบอร์ยังไม่อยากยอมรับ กระบี่พระจันทร์ 2 จาก 6 เล่มที่ถูกยิงใส่ถูกเด็กสาวใช้มือเปล่าปัดทิ้งแบบง่ายๆ ขณะที่ดาบที่เหลือและกระสุนปืนโฟตอนก็ถูกริบบิ้นพลาสม่าปัดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
ขณะที่แอสแซสซินพยายามเข้าประชิดอาเชอร์ ไม่ว่ามันจะพยายามเข้าโจมตีสักกี่ครั้ง แต่ริบบิ้นอันว่องไวนั่นก็ไม่เปิดโอกาศให้แม้แต่นิด ทิศทางของมันสะบัดเป็นรัศมีวงกลมราวกับกำแพงสูงปกป้องมาสเตอร์และเซอร์แวนท์ทั้งสอง พร้อมกับธนูเวทย์นานาชนิดถูกอาเชอร์ระดมยิงสวนออกมาจากด้านในใส่มือสังหารที่ไม่อาจล่องหน


อาวุธวิเศษของทั้งแอสแซสซินและอาเชอร์ถูกขว้างปาใส่กันอย่างไม่หยุดยั้ง แต่จากสายตาเซเบอร์เหมือนกับว่าอาเชอร์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันของเจ้านายนั้นจะเป็นฝ่ายไล่ยิงถล่มอยู่ข้างเดียวเสียมากกว่า

“ได้ตัวแล้วเซเบอร์” ในจังหวะสั้นๆริบบิ้นสีฟ้าอ่อนก็พุ่งเข้าพัวพันกับคมดาบของเซเบอร์และพยายามฉุดกระชากแย่งกระบี่ไปจากมือของมิโกะสาว
“หนอย...นี่เจ้าคิดจะประลองกำลังกับเซอร์แวนท์ตรงๆงั้นรึ!” เซเบอร์ร้องพร้อมกับออกแรงกระชากดาบสวน แต่นั่นเองทำให้เธอรู้ได้เลยว่าเธอคิดผิดถนัด


“จงมา!!!!”
เสียงของอาเชอร์ดังกึกก้องไปทั่วพร้อมกับพลังเวทย์ในบรรยากาศก็เข้มข้นจนถึงขีดสุด, บัดนี้...วีรชนผู้วิเศษจะขอประกาศนาม... และนั่นทำให้เซเบอร์ต้องเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแห่งฟันเฟืองด้วยความตกตะลึง

“Dainsleif !!” “Brionac !!” “Caliburn !!” “Gram !!” “Caladbolg !!” “Vajra !!” “Muramasa !!” “Gungnir !!” “Ti zona”…

คำแล้วคำเล่าที่คุ้นเคยแว่วเข้าสู่หูของเซเบอร์อย่างรวดเร็วจนเธอแทบฟังไม่ทัน ทั้งหมดมันคือชื่อของอาวุธในตำนานอันเลื่องลือ ทั้งของอัศวินและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งของเทพเจ้าและมนุษย์ผู้เกรียงไกร ทั้งพลังของธาตุมารและความศักดิ์สิทธิ์... เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีวีรชนคนไหนที่ครอบครองอาวุธได้มากมายเช่นนี้ แถมทุกชิ้นยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดอีกด้วย

และเมื่อเซเบอร์มองท้องฟ้าสีแดง สิ่งที่แผ่อำนาจของอาวุธวิเศษออกมาก็เด่นชัดอยู่ตรงหน้า, ทั้งดาบ กระบี่ หอก ทวน และศาสตรานาๆชนิด ปรากฎอยู่เต็มท้องฟ้า จากสายตาของเธอนับได้อย่างน้อยที่สุดก็ 30 เล่มที่กำลังหันคมดาบเข้าหาเธอ


เซเบอร์พยายามจะออกแรงดึงกระบี่ในมือเธอกลับ แต่สาวน้อยแห่งพราฮาผู้มีธาตุเงินก็ยึดยื้อไว้มั่น และเซอร์แวนท์สาวไม่มีเวลาเหลือที่จะลังเลอีกต่อไปสะแล้ว


“ยิงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” อาเชอร์ยกมือขวาขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนก้อง
สิ้นคำวีรชนชุดแดง กระแสอากาศรอบๆยอดศาสตราบนท้องฟ้าก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่อาวุธทุกชิ้นจะเรืองแสงแล้วพุ่งเข้าใส่เซเบอร์อย่างไม่ปราณีพร้อมๆกับราวกับฝูงบินรบกำลังทิ้งระเบิดปูพรม


ตูมมมมม ตูมมมมมม เคร้ง.....ตูมมมม เพล้ง....
ทันทีที่อาวุธบนฟ้านั่นพุ่งทะยานเข้าใส่ เซเบอร์ก็ตัดใจจากดาบแห่งพระจันทร์ในมือทันทีพร้อมกับพุ่งตัวถอยหลังไปอย่างรวดเร็วหลบอาวุธบนฟ้าไปได้แบบเฉียดฉิวหลายชิ้นพร้อมทั้งเรียกดาบอีก 6 เล่มที่ถูกริบบิ้นพลัสม่าปัดทิ้งไปในตอนแรกกับมาอยู่ในมือเพื่อรับมือห่าฝนอาวุธวิเศษของอาเชอร์


ทว่าแม้เธอจะคว้าดาบแห่งพระจันทร์ที่เหลืออีก 6 เล่มกลับมาได้ และใช้มันร่ายรำปัดป้องพายุดาบอย่างเชี่ยวชาญ ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอปัดเดนสเลฟลงพื้น สกัดกั้นกุงกุนิล หยุดยั้งคาลิบอร์ก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดยั้งทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์

นั่นเพราะอาวุธวิเศษของอาเชอร์ก็ทรงพลังอย่างยิ่งสมกับที่พวกมันแบกรับเกียรติยศของตำนานมหาศาลมาก่อน... แม้จะไม่ใช่การปลดปล่อยพลังแบบเต็มรูปแบบของอาวุธเหล่านั้น แต่อาวุธวิเศษก็ยังคงเป็นอาวุธวิเศษที่มีพลังทำลายมหาศาล


คมกริชของวัชระระเบิดตัวเองออกในระยะประชิดราวกับขีปนาวุธ ส่งผลให้เซเบอร์ถึงกับถอยกรูด ดาบพระจันทร์อีกสองเล่มของเธอในมือถูกคาลิเบอร์นและแกรมทิ่มทะลวงจนแหลกเป็นผุยผง ก่อนที่อาวุธที่เหลือนับสิบจะพุ่งเข้าใส่เธออย่างไม่ปราณี


กระบี่พระจันทร์ที่เหลืออีก 4 เล่มถูกเซเบอร์ยกขึ้นมาปัดป้องแบบเต็มกลืน และเพียงไม่ช้านาน มันก็ค่อยๆพังไปทีละชิ้นจากดาบวิเศษอันร้ายกาจนับสิบ ไม่มีทางแน่ที่อาวุธไม่กี่ชิ้นจะหยุดดาบเรือนหมื่นแสนรอบตัวข้าไหว


แต่กระนั้นเซเบอร์ก็ยังทนทานอยู่ได้, อาจเป็นเพราะด้วยคลาสนักดาบที่มีความแข็งแกร่งสูงเป็นพิเศษและฝีมือดาบที่ว่องไวช่วยให้เธอเอาตัวรอดได้จนหมดสิ้นห่าฝนดาบชุดนั้น แต่ก็ต้องแลกด้วยการที่ตอนนี้เธอเหลือดาบเพียง 2 เล่มในมือเท่านั้น


แต่ไม่มีการเปิดโอกาศให้ตั้งตัว...อาเชอร์พุ่งเข้าใส่ในระยะประชิดแทน พร้อมกับมาสเตอร์แห่งพราฮาก็ปราดเข้าขวางแอสแซสซินไม่ให้มีโอกาศกลับไปช่วยเหลือเซเบอร์


“Trace on....ดูรันแดล!”
อาเชอร์พุ่งทะยานเข้าใส่เซอร์แวนท์สาวราวกับสายลมกรรโชก ดาบอัศวินสีขาวขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นให้อาเชอร์ใช้สองมือจับ...มันคือสุดยอดดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับประทานจากเทพสู่จอมอัศวินโรแลนด์พร้อมกับปาฎิหารย์ถึงสามประการ


เปรี้ยงงงงง......
ดาบแห่งปฎิหารย์ที่ไม่มีวันสิ้นคม แสดงอนุภาพของมันออกมาในมือของอาเชอร์, ต่อหน้าดาบศักดิ์สิทธิ์ของจอมอัศวิน-อาวุธวิเศษที่อยู่ในระดับ A, ดาบแห่งพระจันทร์ของเซเบอร์บัดนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกิ่งไม้บอบบางที่ถูกกระหน่ำฟาดฟันด้วยสายฟ้าจนแหลกละเอียดคามือ

เสียงกระดิ่งดัง...
แต่คราวนี้...พระจันทร์หาตอบรับไม่...


และนั่นเองทำให้เซเบอร์ต้องอยู่ในภาวะวิกฤติขึ้นอีกคำรบ, ดาบของมิโกะแห่งพระจันทร์นั้นไม่ใช่อาวุธที่ดีเลิศที่สุด แต่มันมีประโยชน์มากมายในการใช้ป้องกันตัวและต่อกรกับศัตรูเล็กน้อยก่อนที่จะใช้อาวุธวิเศษแท้จริงปิดฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มันสามารถเรียกดาบอื่นๆจากพระจันทร์มาปรากฎตัวให้ครบ 7 เล่มได้เสมอนั่นช่วยให้ประยุกต์ใช้กับการต่อสู้แบบต่างๆของมิโกะสาวได้เป็นอย่างดี


“เอ๊ะ...เอ, ข้าหาพระจันทร์ไม่เจอแฮะที่นี้...”
อาเชอร์แสยะยิ้มล้อเลียนเหมือนกับครั้งที่เซเบอร์เคยทำมาก่อน ก่อนจะฟาดดาบดูรันดัลขึ้นทำเอาเซเบอร์ต้องถอยกรูดไปหลายเมตรเพื่อหลบหลีกรัศมีดาบของมัน


บัดนี้ท้องฟ้ายามราตรีที่พระจันทร์สาดแสงไม่มีอีกต่อไปแล้ว... ภายใต้ Reality Marble- โลกเสมือนจริงของปัจเจกบุคคล ท้องฟ้าของโลกนี้เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองที่กำลังหมุนส่งเสียงดังสนั่นปราศจากดวงดารา... พระจันทร์ไม่อาจตอบสนองเสียงเรียกของเซเบอร์ได้อีกต่อไป

ข้าขอรังสรรค์เทพศาสตรา...
ดาบศิลาทั้ง 9 คม...


ดูรันดัลในมือซ้ายของอาเชอร์สลายไป แต่บัดนี้มือขวาของเขาปรากฎอาวุธมหึมาขึ้นอีกหนึ่งชิ้นมาแทนที่... อาวุธที่ครั้งหนึ่งเคยพิชิตมาร 9 เศียรจากตำนานวีรชนแห่งกรีกโบราณ

“Trigger Off” อาเชอร์พูดกับตัวเอง
ข้าแบ่งจิตใจเป็น 9 ส่วน...
เดินวงจรเวทย์มนต์ให้ทั่วร่าง…
บรรจงรังสรรค์ดาบยักษ์สองคม...
บน-ล่าง แล ซ้าย- ขวา
แทยง 4 ทิศ และกึ่งกลาง


อาเชอร์บิดร่างกายเงื้อดาบยักษ์ในแขนขวาขึ้นสูงพร้อมทั้งประกาศกึกก้อง


The shooting hundred Heads:
“Nine Lives”


คมดาบศิลาฟาดฟันแหวกอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียง ก่อให้เกิดคมดาบสุญญากาศนับสิบพุ่งออกทุกทิศทาง ดาบหลายเล่มที่ปักอยู่บนพื้นรอบๆถูกแรงกดดันของพลานาบดขยี้จนแหลกสลาย ก่อนจะตามด้วยคลื่นเสียงอันทรงพลังจากปรากฎการณ์โซนิคบูมกึกก้องไปทั่ว


ตูมมม.......
ดาบเล่มโตในมือขวานั้นเหวี่ยงกระหน่ำแทบจะเป็นการโจมตีในเวลาเดียวกันจาก 9 ทิศทางซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้... ทว่ามันก็เกิดขึ้นแล้วด้วยพลังฝีมือของวีรชนแห่งกรีกโบราณ ‘เฮอร์คิวลิส’ ผู้เคยใช้กระบวนท่านี้ในการเด็ดหัวทั้ง 9 ของอสูรไฮดร้าพร้อมๆกันจนสัตว์มารที่เกือบเป็นอมตะนั้นต้องจบชีวิตลง และบัดนี้กระบวนท่านั้นถูกอาเชอร์เรียกใช้อีกคำรบเพื่อสังหารเซเบอร์


เจ้าเสร็จข้าแน่สาวน้อย... อาเชอร์คิดแบบยิ้มย่องในใจ เซเบอร์ที่อยู่ในสภาพมือเปล่าปราศจากเกราะป้องกันใดๆ และต่อให้มีอาวุธหรือเกราะชั้นเลิศใดๆก็ตามเมื่อยืนต่อหน้าดาบอันทรงพลังเช่นนี้ย่อมไม่มีทางยืนหยัดได้อีกแน่นอน


ทว่าเมื่อหมอกควันตรงหน้าวีรชนชุดแดงค่อยๆจางลง อาเชอร์ก็กลับกลายเป็นฝ่ายตะลึงงันแทน

แต่นั่นมันอะไร? อาวุธ? ชุดเกราะ?
สิ่งที่ปรากฎขึ้นขวางคมดาบศิลา..
.
.
แขน?


===========================


บนชั้นที่ 7 ของห้างสรรพสินค้า

อัลเคมิสต์แห่งแอตลาส, อิโต้ มาโคโตะ กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดไปกับพื้นห้องที่มืดมิด โดยลืมเรื่องการจับตาดูแลนเซอร์และเบอร์เซอร์เกอร์ที่ชั้น 4 ไปเสียสนิท แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้เพราะวงจรเวทย์ดัดแปลงในร่างกายของเขากำลังกรีดร้องเรียกหาพลังเวทย์ที่ร่างกายของเขาไม่มีปัญญาจะหามาให้


“อ๊ากกกกกก....” มาสเตอร์ของเซเบอร์ร้อง
ชายหนุ่มพยายามเก็บอาการ แต่ความเจ็บปวดที่วิ่งพล่านผ่านเส้นประสาททั่วร่างราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทงจากภายในนั้นก็สุดที่จะอดทนไหว ความเจ็บนั้นเริ่มจากแขนซ้ายที่มีสัญลักษณ์อาคมบัญชาสลักอยู่ แล้วมันก็กัดกินไปจนถึงสมองเพื่อรีดเร้นพลังเวทย์ส่งไปให้เซเบอร์ นี่เองก็เป็นผลจากการดัดแปลงร่างกายคนธรรมดาเพื่อยัดเยียดวงจรเวทย์ด้วยวิชาขั้นสูงของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ


ต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับเซเบอร์แน่ๆ...
ทำไมอยู่ๆ เธอถึงเรียกใช้พลังเวทย์ขนาดนี้..


นั่นคือสิ่งที่มาสเตอร์หนุ่มคิด แต่คำตอบนั้นเหมือนจะรู้อยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว เซอร์แวนท์นั้นต้องการพลังเวทย์/พลาน่า เพื่อใช้ในการคงสภาพร่างกายในโลกมนุษย์ โดยปริมาณที่ใช้นั้นจะแตกต่างกันไปตามคลาสและกิจกรรมที่ทำ ซึ่งการต่อสู้นั้นจะต้องการพลังเวทย์มากกว่าปกติเป็นหลายเท่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการต่อสู้ด้วยพลังยุทธ์ธรรมดาถูกยกระดับให้กลายเป็น ‘ระดับอาวุธวิเศษ’ (Noble Phantasm)


อาวุธวิเศษหรือโนเปิลฯ ที่ถูกกล่าวถึงนั้นคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจหรือไพ่ตายของการต่อสู้ของวีรชน อาวุธเหล่านั้นมักมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหรือพลังทำลายอันยิ่งใหญ่ตามวีรกรรมที่มันเคยสร้างไว้ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเซอร์แวนท์ตัดสินใจใช้อาวุธเช่นนั้น... อัตราการเผาผลาญพลังเวทย์จึงไม่ต่างอะไรจากการโยนคบเพลิงลงในกองฟางแห้งๆ

“ยัยบ้าเอ้ยยย... ข้าบอกแล้วไม่ใช่เรอะว่าห้ามใช้อาวุธนั่น”

ในขณะที่การปะทะของแลนเซอร์และเบอร์เซอร์เกอร์อย่างดุเดือดอยู่ในอาคารเดียวกัน, มาโคโตะก็ตะโกนก้องในห้องลับที่ไม่มีใครได้ยิน แม้แต่เซอร์แวนท์ของตัวเองก็ตามที

=====================

ภายในโลกแห่งดาบอนันต์

เมื่อเสียงการปะทะดังสนั่นของดาบศิลา Nine Lives ได้จางหายไปพร้อมกับหมอกควันของแรงระเบิด สิ่งที่อาเชอร์คาดว่าจะเห็นควรเป็นร่างกายอันยับเยินของเซอร์แวนท์สาวจากพลังทำลายอันสุดประมาณ ทว่า, สิ่งที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้เซอร์แวนท์ชุดแดงถึงกับอึ้งจนตาค้าง


ร่างใหญ่มหึมาที่โปร่งแสง ยืนตระหง่านขวางเซเบอร์ที่คุกเข่าทรุดตัวอยู่, แม้เธอจะดูเหนื่อยอ่อนแต่เซอร์แวนท์สาวก็ไม่แสดงอาการบาดเจ็บจากดาบยักษ์ของอาเชอร์แม้แต่น้อย

อะไรกัน?
อาเชอร์คิดพลางจ้องมองตรงหน้า เพื่อวิเคราะห์กับร่างโปร่งใส แต่รูปลักษณ์ที่สะท้อนเงาและตัวตนออกมานั้นราวกับหุ่นในชุดเกราะโลหะที่สูงกว่า 3 เมตร แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม การที่มันสามารถทนต่อดาบวิเศษของอาเชอร์ได้นั้นต้องเรียกว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน พร้อมกันนั้นเซเบอร์ก็เอ่ยปาก


“ข้า, ฮิเมมิยะ จิคาเนะ ขอบัญชา…”
“จงมา… ดาบแห่งแขนซ้าย…


สิ้นเสียงของเซเบอร์ ร่างโปร่งแสงสุงใหญ่นั่นกลายสภาพเป็นประกายแสงสีทองระยิบระยับค่อยๆล้อมรอบแขนซ้ายของเธอ และรวมตัวกับเป็นวัตถุชิ้นใหม่รูปร่างราวกับแขนจักรสีขาวขนาดมหึมาที่มีกรงเล็บแหลม ซึ่งจากสายตาของอาเชอร์นั้นบอกได้ทันทีว่ามันคือการ Materialize วัตถุจากโลกอื่นเข้าสู่มิติปัจจุบันของผู้ใช้

อาวุธเทพงั้นรึ? อาเชอร์คิดในใจ แต่เขาก็ไม่มีโอกาศคิดนานนัก



นั่นเพราะเซเบอร์กำลังพุ่งเข้าใส่พร้อมแขนซ้ายที่บัดนี้กลายเป็นอาวุธใหม่ของเธอ ซึ่งเซอร์แวนท์สาวเรียกมันว่า “ดาบ” ซึ่งส่วนตัวของอาเชอร์นั้นไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะในความคิดของเขานั่นอยากจะเรียกอาวุธนั้นว่าเป็นซีกซ้ายของหุ่นรบสักตัวมากกว่า

“อาเชอร์! ได้เวลากลับไปนอนบ้านเก่าเจ้าแล้ว!” เซเบอร์ตะโกน
“อา...เรื่องนั้นข้าให้สิทธิเลดี้เฟิร์สท์ก่อนเสมอเลยนะ ยัยหนู..” อาเชอร์สวนพร้อมกับควงดาบศิลาของตนเข้าฟาดฟัน

รูปแบบการต่อสู้ของทั้งอาเชอร์กับเซเบอร์เปลี่ยนไปครั้ง จากการแรกอาวุธระยะไกลอย่างธนู สู่การร่ายรำดาบอย่างงดงามในระยะประชิด จนกระทั่งขณะนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความสวยงามของกระบวนท่าอีกต่อไป แต่มันคือการต่อสู้ด้วยความเกรี้ยวกราดของพลังวิเศษจากอาวุธในมืออย่างแท้จริง


ตูมมมม ตูมมมม....
ดาบศิลาสองคมที่อาเชอร์กวัดแกว่งนั้นยาวมากกว่าเมตรครึ่ง ขณะแขนซ้ายจักรกลของเซเบอร์นั้นยาวเกือบสองเมตร จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การต่อสู้จะเป็นไปอย่างงดงามอย่างที่เคย ทั้งคู่ฟาดฟันอาวุธของตนเข้าใส่กันครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งแต่ละครั้งก็ระเบิดพลานาออกมาราวกับไฟป่าฉีกผืนแผ่นดินออกเป็นชิ้นๆด้วยคลื่นพลังอันน่ากลัว


ทว่าไม่นานนักความแตกต่างของพลังทั้งสองคลาสก็เริ่มปรากฎให้เห็น แม้อาเชอร์จะใช้อาวุธที่ตนสร้างได้อย่างเชี่ยวชาญแต่ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง หรือความเร็วนั้นเห็นได้ชัดว่าแขนซ้ายของเซเบอร์เหนือกว่าอย่างชัดเจน แขนโลหะที่ทรงพลังนั่นเหวี่ยงฟาดราวกับไม่ได้อาศัยเรี่ยวแรงของเซเบอร์ แต่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้นเพราะมันสามารถแหวกอากาศ และฉีกพื้นดินลึกไปเป็นเมตรราวกับทุบโฟมบางๆ


อาเชอร์นั้นพยายามจะหาโอกาศ เซ็ตกระบวนท่า Nine Lives ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่เซเบอร์ก็ไม่เปิดโอกาศให้, การปลดปล่อยอำนาจของอาวุธวิเศษให้เต็มพลังนั้นส่วนมากจะต้องหยุดเพื่อตั้งท่าประกาศนามของอาวุธและส่งพลังเวทย์ให้ได้มากเพียงพอ... ซึ่งแน่หละเซเบอร์ก็รู้เรื่องนี้ดีจึงไม่เปิดโอกาศและพยายามบีบบังคับให้อาเชอร์ต่อสู้ด้วยพละกำลังของตนซึ่งเป็นรองอย่างเดียว


หมับ.....
เสียงคว้าจับบางอย่างเกิดขึ้นที่ดาบยักษ์ของอาเชอร์, แขนซ้ายของเซเบอร์ที่ฟาดฟันอยู่ตอนแรกได้แบมือออกและคว้าหมับเข้าที่คมดาบศิลาในจังหวะที่อาเชอร์พยายามฟาดสวนคืน และเมื่อจับได้มันก็ออกแรงฉุดร้างไว้อย่างเหนียวแน่น


เพล้ง.......
ดาบของอาเชอร์ก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อแขนซ้ายของเซเบอร์บีบมันจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พวกของเลียนแบบมันก็เปราะบางแบบนี้แหละนะ อาเชอร์...” เซเบอร์พูดพลางหัวเราะในลำคอของเธอ พร้อมกับยกแขนซ้ายไล่ทุบอาเชอร์ที่กำลังพยายามถอยหนีราวกับการไล่ตีตัวตุ่น



Trace on…Durandall...
ดาบแห่งยอดอัศวินปรากฎขึ้นในมือซ้ายอีกครั้ง
“จะเรียกอะไรมาไร้ค่า ข้าจะทำลายมันให้ดู!!” เซเบอร์ตะโกน



“จงมา!!” คราวนี้อาเชอร์กับตะโกนสวนด้วยเสียงที่ดังกว่าเซเบอร์หลายเท่าพร้อมกับยกมือขวาขึ้น

เซเบอร์เกือบจะลืมไปถนัด ว่าสถานที่ที่เธออยู่นี่คือดินแดน Unlimited Blade ซึ่งมีดาบอยู่เป็นจำนวนอนันต์ คราวนี้บนท้องฟ้าปรากฎดาบและอาวุธนานาชนิดเกือบร้อยเล่มพร้อมๆกัน

“งั้นก็พิสูจน์ให้ดูสิ ว่าเจ้าจะมีปัญญาทำลายมันได้สักกี่เล่ม” แล้วอาเชอร์ก็พูดส่งท้าย “ไปเลย อันลิมิตเบรด...”

แม้จะไม่ประกาศนาม... แม้จะไม่ได้ประจุพลังเวทย์เข้าสู่อาวุธเหล่านั้น แต่อาวุธก็ยังคงเป็นอาวุธ โดยเฉพาะเหล่าอาวุธชั้นเลิศที่ถูกรวบรวมมาอยู่ในโลกจินตนาการแห่งนี้ล้วนแต่เป็นวัตถุชั้นเยี่ยม ซึ่งเพียงแค่คุณสมบัติทางกายภาพของมันเหล่านั้นก็เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายมหาศาลแล้ว


ห่าฝนของศาสตราวุธถูกระดมยิงเข้าใส่เซเบอร์อย่างไม่ยั้งมือ แต่เซอร์แวนท์สาวก็ไม่ท้อถอยแม้แต่น้อยแขนซ้ายโลหะที่ใหญ่มหึมานั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธวิเศษที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งทั้งขนาดและความว่องไวของมันทำให้เธอสามารถใช้มันทำหน้าที่เป็นโล่ห์กำบังชั้นได้อย่างดี อาวุธหลายชิ้นที่ต่ำกว่าระดับ C แหลกเป็นผุยผงแทบจะในทันทีที่สัมผัส และที่เหลือต่างก็ถูกปัดหรือสะท้อนออกไปอย่างไม่ยากเย็น

“ดี ดี กันได้กันไป กันให้ได้ให้หมดนะยัยหนู” วีรชนชุดแดงกล่าว
“จงมา !!” อาเชอร์สะบัดดาบในมือ

แม้เซเบอร์จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แต่เธอก็ไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้นเช่นกัน ห่าฝนดาบระลอกแรกนับร้อยอาจถูกป้องกันได้ แต่อาเชอร์ก็ไม่ได้หยุดยั้งแค่นั้นมือซ้ายที่ถือดาบอัศวินอยู่ถูกสะบัดชี้มาหาเธอ ราวกับเป็นอาณัติสัญญาณให้ฝนดาบระลอกที่สอง หรือที่สามพุ่งเข้าหาจากหลายทิศทางราวกับล้อมกรอบเธอด้วยพายุศาสตรา

“จงมา!” อาเชอร์สะบัดแขนขวา พร้อมกับดาบ 43 เล่มก็ปรากฎเบื้องหลัง

นั่นเองก็สร้างปัญหาให้เซเบอร์อย่างยิ่ง แขนซ้ายที่แข็งแกร่งนั้นไม่มีร่องรอยแม้แต่ขีดข่วนแม้จะโดนทิ่มแทงจากดาบนับร้อยๆ แต่เธอก็ยังสามารถหลบหลีกดาบเหล่านั้นและบดขยี้ทำลายมันได้อย่างง่ายดายราวกับหักเศษกิ่งไม้ ทว่าการมัวแต่ทำเช่นนั้นก็ทำให้ให้เธอเสียโอกาศในการเผด็จศึกเช่นกัน

เซอร์แวนท์สาวก็ตระหนักดีแล้วว่าในการต่อสู้ภายใต้อนาเขตเสมือนจริง หรือ Reality Marble นั้นผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ย่อมได้เปรียบจากกฎเกณฑ์บางอย่างที่ตนเป็นผู้กำหนดแน่นอน จากสถานการณ์ที่เธอเห็นอาเชอร์สามารถสร้างดาบได้ชนิดไม่มีสิ้นสุดโดยไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนใดๆแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นหมายความว่ายิ่งเสียเวลามากเท่าไหร่...เซเบอร์นั่นแหละจะเป็นผู้เสียเปรียบ

“เฮ้ยยยยยย... อาเชอร์ช่วยด้วย” เสียงของเด็กสาวดังมาเข้าหูเจ้าของพื้นที่ดาบอนันต์

อาเชอร์เองก็เกือบลืมไปเช่นกันว่า ปัจจุบันเขาไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงแค่เซเบอร์, ระหว่างนี้มาสเตอร์ของเขาก็กำลังต่อสู้กับแอสแซสซินเช่นกัน ซึ่งทำให้เขาอดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าประมาทเกินไปเพราะไม่ว่าแอสแซสซินจะอ่อนแอแค่ไหนมันก็ยังจัดว่าเป็นนักรบระดับวีรชนที่ไม่ควรมองข้าม...โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับมาสเตอร์, ถึงแม้จะมีเกราะวิเศษแห่งพราฮาปกป้องอยู่ก็ตามที

แต่เมื่ออาเชอร์หันกลับไปมองเพราะคิดว่าเจ้านายของตนมีอันตรายกับถึงต้องขมวดคิ้วด้วยความงงงวย เพราะมาสเตอร์สาวแห่งพราฮาบัดนี้กำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่กับพื้นในตาข่ายชิ้นโต ท่าทางที่เด็กสาวกำลังดิ้นนั้นดูเหมือนปลาตัวใหญ่ที่ไปติดอวนถี่ยิบของชาวประมงเข้าโดยไม่เจตนา แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งดูเหมือนมันจะรัดแน่นเข้าไปทุกที

แอสแซสซินกำลังวิ่งหนี...

“เฮ้ นายท่าน! เป็นอะไรเนี่ย” อาเชอร์ตะโกนถามแบบงงๆ ขณะที่สะบัดมือเรียกดาบอีกหลายสิบเล่มปาใส่เซเบอร์แบบไม่ให้มีโอกาศเงยหัว แต่เมื่อทอดสายตามองไปที่ร่างกายเล็กๆของมาสเตอร์ตัวเองก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

เขาเห็นรอยหยดเลือดสีเขียวสว่างของแอสแซสซินเป็นทางยาวอยู่รอบบริเวณอีกต่างหาก แถมรอบกายของมาสเตอร์สาวนั่นเต็มไปด้วยอาวุธนานาชนิดของแอสแซสซินตกอยู่เกลื่อนพื้น ทั้งหอกซัดสองเล่ม แส้คมกริบเส้นยาว กงจักรอัจฉริยะ มีดสั้นไททาเนี่ยมเกือบครึ่งโหล แถมหลุมบ่อจากปืนพลังงานโฟตอนนับไม่ถ้วน... เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอาวุธพวกนั้นไม่อาจระคายชุดเกราะของเด็กสาวคนนี้แม้แต่นิดเดียว

จะยกเว้นก็แต่... ตาข่ายไอออนิคไฟเบอร์ที่เหนียวหนึบและซับซ้อนเนี่ยแหละที่ทำให้สาวน้อยคนนั้นลำบากเอาเรื่อง... เพราะมันพัวพันกันแน่นไปหมด ซึ่งดูน่าขบขันไม่น้อยที่เด็กผู้หญิงที่ไล่อัดเซอร์แวนท์อยู่ดีๆ กับสะดุดกับดักตาข่ายพลาดท่าเอาง่ายๆ

“อาเชอร์ดูนั่น ดูบนฟ้า!” เด็กสาวตัวน้อยร้องเตือนเซอร์แวนท์ของตนอีกครั้ง

เรียกดาบ...ปาดาบอีก 25 เล่มใส่เซเบอร์ก่อนด้านหน้า และเรียกดาบอีก 20 เล่มให้พุ่งถล่มเซเบอร์จากเหนือศรีษะเพื่อบังคับให้มิโกะสาวต้องอยู่นิ่งๆเสียก่อน แล้วอาเชอร์ค่อยเงยหน้าขึ้นดู ซึ่งภาพที่เขาเห็นก็เล่นเอาวีรชนมือธนูอย่างเขาสะดุ้งได้ทีเดียว

แน่ที่สุดว่าไม่ใช่เพียงแค่ขนลุก หรืออาการขี้ขลาดแต่อย่างใด แต่ภาพที่เห็นสิ่งที่แอสแซสซินเบื้องหน้ากำลังทำอยู่นั้นเรียกได้ว่าเกินความรู้สึกสามัญของมนุษย์ หรือจอมเวทย์ไปอักโขทีเดียว เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ แอสแซสซินกำลังยืนอยู่ห่างๆแล้วชูแขนขวาพร้อมหอกของมันขึ้นฟ้า คล้ายกับตอนที่อาเชอร์เรียกดาบมาถล่มใส่เซเบอร์ก็ไม่ปาน


แต่สิ่งที่ลอยอยู่เหนือศรีษะของแอสแซสซินนั้นต่างหาก ที่ทำให้ทุกคนถึงกับหยุดหายใจไปพักนึงทีเดียว กับวัตถุขนาดใหญ่มหึมาสีดำมันวาวที่ประกอบจากโครงอากาศยานขนาดยักษ์และเครื่องยนต์แรมเจ็ตทั้งสองข้าง



ยานบัญชาการนักล่า
Starcruiser: Maccarra

===============================

Link สำหรับตามอ่านที่ Dek-d ครับ
[Fanfic] Fate of Astray




Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2553 11:33:04 น. 2 comments
Counter : 6226 Pageviews.

 
มียานด้วย มีหุ่น


โดย: hahahaman IP: 203.144.144.165 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:16:33 น.  

 
ดาบการ์ตูนสวยดีนิ


โดย: นักดาบ IP: 101.108.60.43 วันที่: 26 กันยายน 2554 เวลา:12:44:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kross_ISC
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 79 คน [?]




Blog จับฉ่ายของ Kross ครับ เทคโนโลยี, การทหาร,Military Expert, การ์ตูน, Anime, Manga, Review, Preview, Game, Bishojo Game, Infinite Stratos (IS), Hidan no Aria, Light Novel (LN)

ติดตามเพิ่มเติมได้ทาง Twitter ที่ @PrameKross
New Comments
Friends' blogs
[Add Kross_ISC's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.