|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Fate of Astray - Chapter 3: โรมรันสามวีรชน
Note: ตอนก่อนหน้านี้ผมกำลังทยอยแก้ไขปรับ font ให้อ่านง่ายๆขึ้นนะครับ ===========================================
Chapter3 ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งกลางเมือง
ในห้องเช่าแห่งหนึ่งซึ่งว่างเปล่าปราศจากเฟอร์นิเจอร์... ห้องหลายห้องในอาคารแห่งนี้มันถูกเช่าซื้อจากหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยราคาสูงลิบที่ปราศจากเหตผล... แต่แน่นอนว่าเจ้าของอาคารแห่งนี้ย่อมปราศจากปากเสียงใดๆเมื่อได้พบเห็นผู้แจ้งความประสงค์จะซื้อด้วยเงินจำนวนที่มากพอ
“พวกนั้นเริ่มสู้กันอยู่ข้างนอกแล้วนะ ยัยหนู, เจ้าคิดจะให้ข้าไปสู้ด้วยรึเปล่า?” นั่นเป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง ชายร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะโบราณสีเข้ม ซึ่งนามของเขาคือ “ไรเดอร์” ยอดนักรบผู้ควบขี่อาชาทะลวงฝ่าสมรภูมิ บัดนี้เขาเองก็ยินดีฟังคำสั่งของนายรับหน้าที่เป็นมาสเตอร์ และพร้อมจะออกไปต่อสู้ทุกเมื่อ... ทว่าเหมือนนายของเขาจะไม่สนใจออกคำสั่งใดๆ
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก, นายท่าน” หญิงสาวตอบขณะที่กำลังขมักขเม้นเปิดหีบและกล่องใส่ของหลายใบหยิบอุปกรณ์นาๆชนิดออกมาวางเรียงกัน “เจ้าเรียกข้าอย่างงั้นอีกแหละ... เนี่ยพวกเราพูดสลับกันรึเปล่าเนี่ย?” ไรเดอร์ตอบแบบแปลกใจ
แน่นอนว่าเขาครั้งหนึ่งเคยเป็นวีรบุรษมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ไรเดอร์’ ผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชาซึ่งครอบครองดินแดนมหาศาลจรดสองฝั่งมหาสมุทรด้วยกองทัพอาชาปีศาจที่พรั่นพริง... ไม่แปลกใจที่จะมีใครยกย่องหรือหวาดกลัว... แต่สิ่งที่ทำให้วีรชนคนนี้ประหลาดใจยิ่งก็คือเจ้านายของเขากลับยกย่องเขามากกว่าที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นวีรชนที่เก่งกาจขนาดไหน เมื่อตอบรับคำเชิญของจอกฯศักดิ์สิทธิ์เพื่อมาจุติบนโลกแล้ว วีรชนเหล่านั้นย่อมหนีไม่พ้นสถานะของ ‘เซอร์แวนท์’ หรือผู้รับใช้ของจอมเวทย์ที่อัญเชิญตัวเองมาเพื่อร่วมต่อสู้ด้วยกัน ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากจะเห็นผู้อัญเชิญเซอร์แวนท์คนใดจะมีพฤติกรรมกดขี่, ไม่ให้เกียรติ หรือใช้งานวีรชนอย่างหนักหน่วง... เพราะคนเหล่านั้นคือ ‘มาสเตอร์’ หรือนายเหนือหัวที่คอยป้อนพลังเวทย์เพื่อให้เซอร์แวนท์เหล่านั้นสามารถคงอยู่บนโลกได้ หากปราศจากมาสเตอร์เมื่อไหร่วีรชนนั้นย่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว
ไรเดอร์เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นจากกฎเกณฑ์เหล่านี้... ทว่าสิ่งที่เขาสงสัยกับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และยิ่งเห็นพฤติกรรมของเธอตลอดเวลา ไรเดอร์เองก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นมาสเตอร์ที่ไม่เหมาะจะเป็นมาสเตอร์เลย...โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นเธอประกอบปืนไรเฟิลซุ่มยิง PSG1 พร้อมกับสโคปอินฟราเรดด้วยแววตาที่ปราศจากอารมณ์
มาสเตอร์ของข้าเป็นมนุษย์จริงๆ รึเปล่า? ไรเดอร์อดคิดไม่ได้ถึงวันแรกของการอัญเชิญ ที่เขาถูกเรียกมาหาเด็กผู้หญิงคนนี้
โดยปราศจากสื่ออัญเชิญ... แล้วทำไมจอกฯถึงเลือกข้า... ภาพแรกที่ข้าเห็นคือเด็กผู้หญิงวัยกำดัด... สตรีที่ไม่มีอะไรเหมือนข้าเลยสักนิด... หญิงสาวผู้ปราศจากแววตา...
ราวกับรู้สึกถึงความประหลาดใจของวีรชนข้างกาย “อย่ากังวลไปเลยไรเดอร์, ถึงฉันไม่รู้ว่าจะเอาจอกไปทำอะไร ก็จะช่วยท่านเต็มที่” เด็กผู้หญิงเงยหน้าตอบ
เธอเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ อย่างสุภาพ แต่นั่นกลับทำให้ไรเดอร์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นไม่น้อย ไม่ใช่ไม่พอใจกับการถูกเรียกเช่นนี้แต่เป็นเพราะ การเรียกของเธอนั้นไม่มีอารมณ์ใดๆแฝงอยู่เลย ราวกับเขากำลังพูดกับเครื่องจักรรูปร่างมนุษย์ก็ไม่ปาน
“แล้วเจ้าไม่มีแผนอะไรเลยรึ ที่จะเอาชนะสงคราม อย่างการต่อสู้ หรือวางกลยุทธอะไรพรรค์นั้น...” ไรเดอร์ถามแม้บุคลิกส่วนตัวเขาจะไม่ใช่กุนซือแต่การวางแผนร่วมกับเจ้านายก็ถือเป็นอะไรที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง
“ฉันไม่มีแผนอะไรหรอกค่ะ... แค่ท่านมีเป้าหมายให้ข้าได้สังหารก็เพียงพอแล้ว...” เธอตอบสั้นๆ ก่อนเสียบแมกกาซีนเข้าที่ใต้ลำกล้องปืน...กล่าวซ้ำอีกครั้งต่อหน้าไรเดอร์ “จะเป็นมนุษย์หรืออะไรก็ได้...” “ตอนนี้พร้อมแล้วค่ะ โปรดบอกเถิดว่าฉันควรกำจัดใคร...” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ไรเดอร์จ้องมองไปรอบๆห้อง
นี่รึคืออาวุธ…อาวุธของเด็กผู้หญิงผู้บอบบางคนนี้
===============================
บนดาดฟ้าของโรงแรม
ในตอนแรกเซเบอร์เองนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ก่อนหน้านี้เธอตัดสินใจเรียกดาบแห่งพระจันทร์ซึ่งเป็นอาวุธขั้นต้นของตัวเองออกมาใช้ปกป้องตัวเองจากศรวิเศษของอาเชอร์แม้ว่าจะยังไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้านายก็ตามที แต่กระนั้นกระบี่ทั้ง 7 ของเธอก็เห็นได้ชัดว่าแทบจะไม่อาจหยุดยั้งอาวุธที่ร้ายกาจของมือธนูได้เลย เพียงแต่โชคค่อนข้างดีที่ดาบแห่งพระจันทร์ของเธอนั้นสามารถเรียกมาใหม่ได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมองเห็นพระจันทร์และไม่ถูกทำลายพร้อมกันหมดสิ้นในทีเดียว
นั่นก็เพียงพอสำหรับการถ่วงเวลา...ข้าคิดว่านะ...
แน่นอน, เซเบอร์ไม่หวังจะเอาชนะให้ได้เด็ดขาด ด้วยอาวุธธรรมดาเช่นนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็เอาชีวิตรอดได้อีกสักพักนึงแน่ หากอาเชอร์คิดจะสังหารเธอให้ได้จริงๆ เขาต้องทุ่มเทอาวุธวิเศษอีกหลายชิ้นทีเดียว
แต่ทำไมอาเชอร์ถึงหยุดโจมตีกระทันหัน?
คงไม่ใช่เพราะเขาคิดจะออมมือแน่ๆ แต่อาวุธวิเศษทั้ง 4 ที่ถูกระดมยิงใส่เธอราวกับสายลมกรรโชกนั้น อยู่ๆกับสูญเสียพลังเวทย์ของมันอย่างรวดเร็วและกลับกลายเป็นเพียงแค่ลูกธนูขนาดใหญ่ธรรมดาที่เธอสามารถปัดทำลายทิ้งได้ไม่ยาก แตกต่างจากตอนแรกที่พวกมันไล่ฆ่าฟันเธออย่างดุเดือด...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับอาเชอร์แน่, เซอร์แวนท์สาวคิดในใจ
และก็คาดการณ์ไม่ผิด... เมื่อกระโดดกลับไปยังดาดฟ้าเดียวกับอาเชอร์...เซเบอร์มองเห็นคู่มือเก่าของตนทรุดตัวนั่งกับพื้นด้วยเลือดโซมกาย ขณะที่ผู้มาเยือนนั้นแทบไม่แสดงอาการใดๆหรือไม่แม้แต่ปรากฎตัวเลยด้วยซ้ำ ทว่าเซเบอร์เองก็สัมผัสถึงเงาโปร่งแสงที่ปรากฎตัวกลางแสงจัทร์สลัวๆนั้นได้เช่นกัน
แอสแซสซิน...เจ้ามาชุบมือเปิดจริงๆสินะ... เธอคิด
อันที่จริงเซเบอร์ไม่อาจมองเห็นตัวของแอสแซสซินหรอก แต่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจางๆที่เซอร์แวนท์มักจะรู้สึกถึงพลังเวทย์ของเซอร์แวนท์ด้วยกันได้หากอยู่ใกล้พอ และเงาของแสงที่ตกกระทบเบื้องหน้าดูเหมือนจะถูกบิดเบือนไปจนผิดสังเกตเล็กน้อย ทำให้เธอพอจะประมาณตำแหน่งของคู่ต่อสู้เบื้องหน้าได้บ้าง
แต่นี้แหละคือโอกาศดีที่สุดในการจัดการอาเชอร์… หาฆ่าหมอนี่ได้แอสแซสซินย่อมไม่มีทางเทียบคลาสเซเบอร์อย่างเราได้แน่นอน เซอร์แวนท์สาวยิ้มมุมปากทันทีเมื่อเห็นสบโอกาศที่จะล้างบัญชีกับนักรบมือธนูที่ซัดเอาๆ ไม่ยั้งเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
ในความคิดของวีรชนมือสังหารนั้น... เสียดายจริงๆที่ฆ่ามันไม่ตาย...อันที่จริงแล้วแอสแซสซินเองก็หวังว่าจะสามารถสังหารอาเชอร์ได้ในการโจมตีครั้งเดียวถ้าเขาโชคดีพอหลังจากนั้นก็เพียงซ่อนพรางตัวหลบหนี, เซเบอร์ที่กำลังวุ่นวายกับอาวุธของอาเชอร์นั้นย่อมไม่มีทางไล่ติดตามเขาได้ทันแน่นอน – เพียงแต่ว่าเหมือนดวงของเขาจะยังมีไม่พอ นากินาตะอันแหลมคมนั่นพลาดเป้าจากกลางศรีษะไปโดนแถวทรวงอกของอาเชอร์แทน ซึ่งแม้จะสร้างบาดแผลสาหัสแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชีวิตของวีรชนแห่งสงครามจอกฯ
ช่วยไม่ได้...ข้าจำต้องปิดระบบควบคุมการยิงเกือบทั้งหมดเพื่อซ่อนพราง
อาเชอร์โยนหอกโปร่งแสงทิ้งไปข้างๆตัวโดยพยายามไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆออกมาให้คู่ต่อสู้ได้เห็น พร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับมือ...ดาบสั้นคู่สีขาวดำปรากฎตัวในมืออีกครั้ง เมื่อเขาสัมผัสถึงคู่ต่อสู้ที่น่าจะตึงมือถึงสองคนพร้อมๆกัน ทำไมซวยแบบนี้นะ... วีรชนชุดแดงคิด
ในใจของอาเชอร์นั้นครุ่นคิดอยู่...ว่าสถานการณ์นั้นกลับไม่เป็นใจกับวีรชนทั้งสามที่จะทุ่มเทกำลังเข้าต่อสู้เลย... ในแง่กลยุทธ์แล้วเมื่อกำลังรบในพื้นที่มีสามส่วน แต่ละส่วนนั้นย่อมมีการคะคานอำนาจกันเองซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคุมเชิงกันอย่างระมัดระวังยิ่ง หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงความอ่อนแอหรือจุดอ่อนใดๆ นั้นอาจเป็นฝ่ายที่ถูกรุมโจมตีอย่างหนักหน่วงทันที และผู้ที่เริ่มโจมตีก็ต้องหวาดระแวงว่านักรบคนที่สามจะเข้าแทรกแซงด้วยหรือไม่
ศึก 3 เส้า สำหรับอาเชอร์เอง เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบไม่น้อย, ด้วยที่ว่าต่อสู้กับเซเบอร์มาแต่แรก ใช้ทั้งพลังเวทย์และอาวุธวิเศษไปไม่น้อยแถมยังได้บาดแผลฉกรรณ์จากอาวุธล่องหนของผู้มาเยือนอีก หากเขาต้องสู้กับเซเบอร์ต่อแล้วแอสแซสซินให้ความช่วยเหลือเซเบอร์เพียงเล็กน้อยเขาก็อาจถูกพิชิตได้อย่างไม่ยากเย็นเลย แล้วหลังจากนั้นเซเบอร์ผู้บาดเจ็บก็คงไม่พ้นเป็นเหยื่อของแอสแซสซินในท้ายสุด
“วันนี้เจ้าไม่มีดวงเลยนะอาเชอร์!” เซเบอร์คำราม “อืมมม ข้าเห็นด้วยกับเจ้าเรื่องนั้น” อาเชอร์ตอบทันควันโดยไม่มองเธอ “งั้นก็ดีที่เข้าใจ...อย่ามาตำหนิข้าเรื่องนี้ละกัน...” เซเบอร์พุ่งเข้าใส่ทันที “ฮู่มมมมม ฮู่มมมมม ฮู่มมมมม....” พร้อมกับเซเบอร์ที่เริ่มโจมตี วีรชนล่องหนก็คำรามตอบแล้วพุ่งเข้าใส่ราวกับนัดกันไว้ก่อน เสียง ‘ชิ้งง’ เบาๆปรากฎขึ้นจากบริเวณสองมือที่มองไม่เห็นของมัน
เสียงปะทะเริ่มขึ้นอย่างดุดัน ดาบคู่สีขาวดำถูกยกมาปัดป้องกันฟาดฟันใส่สองวีรชนครั้งแล้วครั้งเล่า ประกายแสงวาววับของดาบและเงาสลัวที่ว่องไวพุ่งทะยานไปรอบบริเวณทิ้งร่องรอยปะทะไปทั่ว แต่เพียงไม่กี่นาทีหากมีบุคคลอื่นมองก็จะเห็นได้ไม่ยากเลยว่าอาเชอร์นั่นเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกายที่ปกติเซเบอร์คลาสจะเหนือกว่าเขา... อันที่จริงต้องบอกว่าวีรชนประเภทมือธนูเช่นเขานั่นไม่ควรจะออกรบในแนวหน้าลักษณะนี้ด้วยซ้ำ, แต่สิ่งที่ทำให้เขาลำบากมากที่สุดขณะนี้กลับไม่ใช่เซเบอร์ที่ร่ายรำดาบอย่างงดงามตรงหน้า แต่เป็น...แอสแซสซิน
ไม่ว่าเซเบอร์จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม หรือดาบจะมีดาบมาใช้โจมตีแค่ไหน อาเชอร์ก็มั่นใจตัวเองได้พอตัวว่าจะสามารถรับมือได้ ทว่าสำหรับการโจมตีที่ล่องหนนั้นยากยิ่ง...และอาเชอร์ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีวีรชนคนใดต่อสู้ได้ทั้งที่ยังคงสภาพล่องหน
“ลำบากจริงๆแฮะงานนี้” อาเชอร์บ่นออกมาดังๆ เมื่อดาบคู่คันโชและบาคุยะโดนเซเบอร์ฟาดหักกระจายตรงหน้าพร้อมกับคมอาวุธลึกลับของแอสแซสซินฟาดเฉี่ยวหลังเขาไปนิดเดียวแต่ก็ยังเรียกเลือดซิบๆมาได้พอตัว “เฮ้ๆ เดี๋ยวเซ่ แอบอัดกันข้างหลังได้ไง...ลูกผู้ชายรึเปล่า...อุ๊บบบบ” อาเชอร์เหลือบไปตะโกนด่าแอสแซสซินพร้อมกับเรียกดาบคู่ออกมาอีกรอบ…ทว่า...อยู่ๆก็มีฝ่าเท้าเล็กๆฟาดเข้ากลางขมับเขาเต็มที่
แน่นอนเจ้าของฝ่าเท้านั้นไม่ใช่ใครอื่น...เซเบอร์นั่นเอง...ทันทีที่ทำลายดาบคู่ของอาเชอร์ได้เธอก็หมุนตัวสะบัดแข้งด้วยลักษณะคล้ายจระเข้ฟาดหางใส่อาเชอร์เต็มรัก...โดยไม่มีจังหวะเสียเปล่าหรือช่องว่างให้ตอบโต้แม้แต่น้อย การโจมตีผสานของเธอกับแอสแซสซินนั่นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ... การโจมตีนั้นส่งอาเชอร์ลอยกระเด็นไปติดรั้วลูกกรงเหล็กของดาดฟ้าทีเดียว
ดูไม่ดีแน่ ดูแย่แน่ๆ อาเชอร์เริ่มคิดลังเลว่าจะถอนตัวกลับไปหาเจ้านายตนดีหรือไม่... แต่การกลับไปหามาสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆโดยมีเซอร์แวนท์ศัตรูถึงสองคนไล่จี้ติดอยู่ ก็ออกจะเป็นการเสี่ยงอันตรายไม่น้อยทีเดียว ข้าต้องหยุดมันให้ได้สักคน หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้มันตามเจอมาสเตอร์ของข้า
แต่ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ, แสงสีแดงก็ทาบทับที่ตัวเขา... สัญชาติญาณเตือนภัยของอาเชอร์ร้องดังลั่นในหัว ส่งให้เขารีบกระโจนออกจากตรงนั้นโดยทันทีทั้งๆที่ยังไม่หายมึนงงจากลูกเตะของเซเบอร์ด้วยซ้ำ
จากร่างกายของนักรบล่องหน... บางสิ่งยืดขึ้นจากส่วนเกราะบริเวณไหล่ทั้งสองของมัน...อาวุธที่จะเล็งเข้าใส่พิกัดของเลเซอร์สีแดงเสมอ, เทคโนโลยีลึกลับที่กลายเป็นเขี้ยวเล็บของวีรชน อาวุธวิเศษ – Paulse cannon
“แฟ๊ดด ครึ้มมม แฟ๊ดดด ครึ้มมม...” ประกายแสงสีฟ้าอมขาวสว่างจ้าพุ่งออกจากสองบ่าของวีรชนที่มองไม่เห็น ตรงดิ่งเข้าใส่อาเชอร์ซึ่งหลบเกือบไม่พ้น จุดที่เขาพึ่งวิ่งผ่านไปนั่นระเบิดเป็นเสี่ยงๆราวกับถูกยิงด้วยปืนจรวด RPG ทีเดียว
“แฟ๊ดด ครึ้มมม แฟ๊ดดด ครึ้มมม... แฟ๊ดด ครึ้มมม แฟ๊ดดด ครึ้มมม...” อย่างไม่ยอมเลิกลา แอสแซสซินวิ่งตามอาเชอร์ไปติดๆพร้อมสาดแสงสีแดงเพื่อล็อคเป้าหมายของมันสู่ปืนโฟตอนอันทรงพลัง... ซึ่งมันทำเอาอาเชอร์ต้องหนีแบบหัวซุกหัวซุนเช่นเดียวกับตอนที่เขาไล่ยิงเซเบอร์เมื่อครู่ทีเดียว
ข้าต้องหาโอกาศตอบโต้ให้ได้ วีรชนชุดแดงคิดพร้อมกับยกมือขวาขึ้น “จงมา...วงแหวนทั้ง 7 ชั้นที่เป็นโล่ห์พิทักษ์สรวงสวรรค์…” “Rho Aias!”
อีกครั้งหนึ่งโล่ห์วิเศษ 7 ชั้นที่เคยปกป้องอาเชอร์จากศรวิเศษของเซเบอร์ก็ปรากฎกายขึ้น สนามพลังทรงกลมสีแดงอ่อนแผ่ประกายปกป้องอาเชอร์จากห่ากระสุนของปืนใหญ่โฟตอนอย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้แอสแซสซินยั้งมือ...ปืนโฟตอนทั้งสองสลับกันระดมยิงใส่โล่ห์อันแข็งแกร่งอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน พร้อมทั้งวีรชนล่องหนก็ขยับสองมือ
อาวุธวิเศษ...Smart Disc, วัตถุทรงกลมคล้ายจานร่อนปรากฎขึ้นในมือซ้ายของนักรบมือสังหาร วงแหวนสังหารที่ตามล่าเป้าหมายด้วยความคมยิ่งกว่าดาบนับพัน อาวุธวิเศษ...Naginata, อาวุธที่ได้ชื่อว่าเป็นเกียรติยศแห่งผู้นำ Clan มือสังหารแห่งกาแลคซี่แอนโดรมิด้าปรากฎขึ้นในมือขวา ในรูปลักษณ์ของหอกแหลมที่สามารถล่องหนได้จากทุกสายตา
ในชั่วพริบตาอาวุธทั้งสองชิ้นก็ถูกซัดเข้าใส่อาเชอร์จากสองทิศทางเพื่อทำให้มือธนูไขว้เขว...วงจักรอัจฉริยะพุ่งอ้อมไปทางด้านหลังขณะที่นากินาตะพรางตัวจากสายตาแล้วกระแทกเข้าใส่โล่ห์สวรรค์ 7 ชั้นตรงๆ... บังคับให้อาเชอร์ต้องใช้มือซ้ายของตนเรียกโล่ห์พร้อมกันสองด้านและสิ้นเปลืองพลังเวทย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในการคงสภาพอาวุธวิเศษเพื่อป้องกันตนเอง
“เพล้ง..... เพล้ง...” สองจากเจ็ดชั้นของโล่ห์สวรรค์ที่ล้อมเขาอยู่ถูกทำลายจากพลังทะลุทะลวงของอาวุธวิเศษจากนักรบมือสังหาร
อาวุธวิเศษ...ดับเบิ้ลโฟตอนแคนน่อน, โดยไม่ให้พลาดโอกาศนักรบล่องหนถอดปืนโฟตอนทั้งคู่ออกจากไหล่และประกบปืนประจำกายทั้งสองกระบอกเข้าด้วยกัน และมันผสานเป็นหนึ่งเดียวในพริบตาเป็นอาวุธชิ้นใหม่ในมือขวาให้กับแอสแซสซิน
“แฟ๊ดด ครึ้มมมม...เพล้งง...” ด้วยพลังทำลายที่มากเป็นทวีคูณของปืนใหญ่พลังงานส่งผลให้ Rho Aias ชั้นที่ 3 แหลกกระจายในพริบตา ซึ่งตามมาด้วยสีหน้าหนักใจยิ่งกว่าเดิมของอาเชอร์ บัดนี้เขาเหลือโล่ห์วิเศษเพียง 4 ชั้น แต่กระนั้นความโชคร้ายของเขาในวันนี้ก็ดูเหมือนไม่ยอมจบสิ้นสักที
ในที่สุด เซเบอร์ก็เข้าถึงตัว “เอ๊ะ เอ...ข้าว่าโล่ห์นี่กันอะไรระยะใกล้ๆไม่ได้กระมั้งเนี่ย...” เธอพูดเจือรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยหากไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้
ดาบคมกริบในมือเซเบอร์ตวัดอย่างรวดเร็วจากบนขวาสู่ล่างซ้าย...แม้จะพยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลังและเรียกดาบคู่มาป้องกันแต่ก็ไม่ทันการ...ดาบนี้ของเซเบอร์เรียกเลือดจากร่างของอาเชอร์ได้เป็นสายน้ำพุพร้อมกับส่งอาเชอร์ไปติดกำแพงอีกด้าน... ไม่มีช่องโหว่ให้ตอบโต้หรือแม้แต่จะตั้งหลักเลยแม้แต่น้อย
I am the bone of my sword.... (ตัวข้าคือแกนแห่งปวงดาบ...)
================================
ในอาคารห้างสรรพสินค้า
จะเป็นใครก็ได้โผล่มาให้แก้เซ็งหน่อยเถอะ...แลนเซอร์คิดในใจ ตอนนี้วีรชนแห่งหอกได้คืนสภาพร่างของตนสู่สถานะกายหยาบเพื่อเตรียมตัวรับมือคู่ต่อสู้แล้ว และพร้อมต่อสู้กับศัตรูไม่ว่าจะเป็นมาสเตอร์หรือเซอร์แวนท์ก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่บ้างที่ออกห่างจากนายของตัวเองแต่ก็เป็นจุดดีที่เขาจะสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าเจ้านายมือใหม่จะโดนลูกหลงไปด้วย...แต่ก็อย่างว่าข้าเองไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก
นามของข้าคือ เฟิ่งเซียน, แม้นามเรียกขานของข้าจะถูกกล่าวขานในแง่มุมเยี่ยงไรแต่ตำนานที่ข้าสร้างไว้ก็ไม่อาจมีผู้ใดปฎิเสธ...เทพสงคราม, ในยุคสมัยครั้งที่ยังเป็นคนเป็นไม่มีผู้ใดเลยที่จะหาญกล้าเผชิญหน้ากับจอมคนผู้เช่นข้าในสมรภูมิ ข้าเองก็หวังอยู่เหมือนกันว่าในบรรดาวีรชนจากอนาจักรทั่วโลกในสงครามจอกฯครั้งนี้ คงจะมีนักรบอย่างน้อยสัก 2-3 ตนละมั้งที่คู่ควรให้ข้าประฝีมือด้วย
ประตูห้องด้านหน้าเปิดออก, คมง้าวอันเลื่องลือในยุคสมัยที่แผ่นดินฮั่นถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนั้นถูกกระชับแน่นในมือของยอดขุนศึกผู้เกรียงไกร พร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบ แต่ทว่า
“เฮ้ย! แกเป็นใครเนี่ย! ไอ้หนุ่ม! แกคิดจะมาขโมยอะไรงั้นเรอะ!” ลุงสมเกียรติตะโกนพร้อมชูกระบองเหล็กข้างเอวขึ้นมาตั้งท่า
แน่นอนจากสายตาของชายกลางคนผู้ทำหน้าที่ยามกับอาคารแห่งนี้มาหลายต่อหลายปี นี่ย่อมไม่ใช่เหตการณ์ปกติแน่ๆที่อยู่จะมีบุรุษท่าทางน่าเกรงขามถืออาวุธโบราณมาเดินเพ่นพ่านยามค่ำคืนเช่นนี้ บางทีมันอาจเป็นพวกลักลอบหรือขโมยแหงๆ ยามผู้มากประสบการณ์คิดในใจ
อีกด้าน เฟิ่งเซียนถึงกับอึ้งไปแว้บนึงทีเดียว, มาสเตอร์เขาพึ่งบอกอยู่หลัดๆว่า พบปฎิกิริยาของมาสเตอร์หรือเซอร์แวนท์ข้างหน้าแล้วให้เขามาตรวจสอบ ซึ่งเขาก็ทำตามแต่โดยดี เพียงแต่...
ลุงแก่ๆคนนี้เนี่ยนะ เป็นมาสเตอร์ของศัตรู? แลนเซอร์คิดแบบไม่อยากเชื่อ แน่นอนว่ามนุษย์เบื้องหน้าเขายังไงๆ ก็ไม่มีทางเลยที่จะเปรียบฝีมือได้กับเหล่าวีรชนแห่งสงครามจอกฯ... และยิ่งเทียบกับแลนเซอร์ผู้ปราดเปรื่องในการรบแบบบุคคลด้วยแล้ว ต่อให้ลุงเบื้องหน้าเขามีมือถือกระบองเพิ่มอีกร้อยข้างก็ไม่มีวันสู้ได้
“วางอาวุธเร็ว ยอมให้จับซะดีๆไอ้หนุ่ม!” ยามประจำตึกตะโกนสั่งยกอาวุธชิ้นน้อยในมือขึ้นขู่เซอร์แวนท์
ให้ตายสิ สงครามจอกฯครั้งนี้ข้าต้องสู้มากับลุงแก่ๆรึเนี่ย? แลนเซอร์ถอนหายใจขณะที่ลุงสมเกียรติควงกระบองเหล็กกับกระบอกไฟฉายวิ่งเข้าใส่นักรบผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นมือทวนแห่งแผ่นดิน
ตูมมมมม ตูมมมมมม ครืนนนนนนน..... เสียงระเบิดกัมปนาทดังลั่นขึ้นทั่วทั้งตึกและตามด้วยแรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัวจนโยกอาคารทั้งหลังราวกับแผ่นดินไหวน้อยๆ ซึ้งทำเอาแลนเซอร์ที่กำลังคิดจะน็อคลุงเบื้องหน้าให้น่วมถึงกับสะดุ้งสุดตัว ส่วนคุณยามใจกล้านั่นถึงกับหกล้มหน้าทิ่มหัวคะมำกลิ้งหลุนๆไปติดกำแพงทีเดียว, พร้อมกับมีเสียงเรียกของวิทยะผู้เป็นมาสเตอร์ดังขึ้นในหัวของวีรชนมือทวน
แลนเซอร์ แลนเซอร์...กลับมาเดี๋ยวนี้! เจ้านั่น! เบอร์เซอร์เกอร์มันอยู่ที่นี้!
=======================================
ณ สนามรบของ 3 วีรชน
การโรมรันของเซอร์แวนท์ทั้งสามเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งแอสแซสซิน เซเบอร์ต่างประเคนอาวุธของตนเข้าใส่อาเชอร์อย่างไม่ยั้งมือ แต่มือธนูผู้ร้ายกาจก็ไม่ยอมสิ้นใจโดยง่ายแม้จะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม ซึ่งความมุ่งมั่นนั้นเริ่มทำให้เซเบอร์รู้สึกเฉลียวใจแปลกๆขึ้นมา หมอนี่มันพึมพำอะไรอยู่?
Steel is my body, and fire is my blood. (เหล็กกล้าคือกาย, แลเปลวไฟคือสายโลหิต)
แอสแซสซินซึ่งดูเหมือนไม่สนใจต่อคำพูดของอาเชอร์สะบัดแขนของมันทั้งสองข้างแสดงกรงเล็บสีเงินคมกริบวาววับ ด้วยร่างล่องหนของมันแต่มีอาวุธแวววับงอกออกจากสองมือนั้นดูราวกับมีดาบแสงติดอยู่ที่สองมือของมันก็ไม่ปาน
I have created over a thousand blades (ข้าจักรังสรรค์คมดาบนับหมื่นพัน)
โดยที่ไม่หยุดพูดแต่อย่างใด, ด้วยร่างที่อาบเลือดดาบสั้นคู่สีขาวดำก็ถูกยกขึ้นมารับมือกับการฟาดฟันด้วยกรงเล็บของแอสแซสซินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงปะทะของอาวุธวิเศษจากสองวีรชนดังสนั่นไปทั่ว แรงเหวี่ยงศาสตราของทั้งคู่ส่งผลเป็นคลื่นลมพายุพัดโหมไปทั่วบริเวณ
Unknown to death, Nor known to life (ไม่ตระหนักนึกถึงความตาย ฤา พานพบชีวี)
ฉ๊วะ.... ทว่า, ไม่ว่าอาเชอร์จะพยายามต้านทานแค่ไหน ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนั้น เพียงแค่แอสแซสซินคนเดียวก็เรียกได้ว่าเต็มกลืนแล้ว ดังนั้นเลิกคิดไปได้เลยถึงการหลบหนีจากคมดาบพระจันทร์ของเซอร์แวนท์สาว... ดาบที่สองของเธอฟาดฟันจากด้านหลังของวีรชนชุดแดงลึกไปถึงกระดูกเรียกสายเลือดให้สาดกระเซ็นไปทั่ว จนชุดมิโกะสีฟ้าขาวของเธอบัดนี้กลายเป็นสีฟ้าแดงไปเสียแล้ว
เสียงกระดิ่งดัง...แสงจันทร์คร่ำครวญ... “อย่าคิดหนีไปเลยอาเชอร์ ยอมตายซะดีๆดีกว่าตอนนี้!” เซเบอร์ร้องพร้อมชี้ดาบในมือขวาไปหาเซอร์แวนท์มือธนู “ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ....ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ....” ดาบอีกหกเล่มพุ่งทะยานเข้าใส่อาเชอร์ตามทิศทางที่เซอร์แวนท์สาวชี้ราวกับถูกยิงจากคันศรที่มองไม่เห็น
Have withstood pain to create many weapons กล้ำกืนฝืนทนเจ็บปวดเพื่อสร้างสรรค์พันศาสตรา
อาเชอร์นั่นจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญยิ่งในอาวุธระยะไกล ดังนั้นดาบทั้ง6 ของเซเบอร์จึงยากนักที่จะเรียกเลือดจากเขาได้ แต่การถูกรุกไล่ต่อเนื่องจากสองวีรชนนั้นก็ทำให้เขาแทบไม่มีโอกาศตอบโต้เลยแม้แต่น้อย... พูดให้ถูกคือแค่เอาชีวิตรอดก็ยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง, อีกสักนิด...ร่างกายข้า ทนให้ได้อีกสักนิด...
“ถ้าจะไม่ดีแล้ว ข้าไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นคิดจะทำอะไร... แต่จัดการมันให้ได้ก่อนเป็นดี” เซเบอร์หันไปพูดกับแอสแซสซินที่บัดนี้ยืนอยู่ข้างกายเธอ “ฮู่มมมม ฮู่มมมมม” วีรชนมือสังหารขานรับ “เฮ้ นี่เจ้าพูดภาษามนุษย์ไม่ได้รึไง... ข้าว่าจอกฯ ให้พรพวกเราที่จะเข้าใจภาษามนุษย์ได้หมดแล้วนะเนี่ย” หญิงสาวหันไปบ่นว่าวีรชนผู้ดูเหมือนจะเป็นใบ้ในภาษาของคนบนโลกนี้... แต่เวลามีไม่มากนักที่จะบ่นเธอจึงพูดต่อ “ไปพร้อมกันนะคราวนี้...” หญิงสาวจับจ้องไปยังวีรชนชุดแดงที่กำลังยืนโงนเงนจากสภาพที่สาหัสเอาเรื่อง “ฮู่มมมม” แอสแซสซินตอบรับอีกครั้ง คราวนี้มันพยักหน้าที่ล่องหนมันเป็นเงาลางๆให้เห็น ซึ่งก็ช่วยให้เซเบอร์รู้สึกอุ่นใจขึ้นนิดหน่อยว่าอย่างน้อยหมอนี่ก็ฟังภาษาเธอรู้เรื่อง
Yet, those hands will never hold anything (กระนั้น สองมือนั่นกลับไม่หยุดยั้งรั้งรอใดๆ)
ด้วยการนับในใจพร้อมกัน 3...2...1 ทั้งเซเบอร์และแอสแซสซินก็จะพุ่งเข้าใส่วีรชนมือธนูพร้อมกันจากสองด้านเพื่อประสานการโจมตีขั้นเด็ดขาดก่อนที่อาเชอร์จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการสำเร็จ...ทว่า
“สต้อปปปปปป! อย่ามารังแกอาเชอร์ของเค้านะ!” เสียงกังวานหวานใสดังลั่นมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ในจังหวะที่นักรบทั้ง 3 กำลังจะทะยานเข้าตัดสินชะตาชีวิตกันนั่นเอง เสียงหวานใสนั้นทำเอาวีรชนทั้งสามชะงักเพราะผิดจังหวะชนิดเบรคหน้าทิ่มทีเดียว
“ในนามพันธมิตรแห่งความยุติธรรม...ผู้ขจัดความชั่วร้าย.... ...Twinkle Sabre! ปรากฎกาย!....” โดยมิได้นัดหมายทั้งเซเบอร์และแอสแซสซินต่างเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาผู้มาใหม่และกล้าปรากฎกายขึ้นกลางสนามรบของวีรชนโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อทั้งสองได้เห็นร่างของผู้มาเยือนชัดๆ จากแสงจันทร์ที่สาดส่องชัดเจนก็ถึงกับอึ้งและพูดไม่ออกไปหน่อยนึงทีเดียว พร้อมๆกับอาเชอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเอามือกุมหน้าด้วยความอายปนเหนื่อยใจกับเจ้านายของตน
ภาพที่ทาบทับอยู่กับแสงจันทร์ให้เหล่าเซอร์แวนท์ทั้งสามเห็นนั้นคือ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่บนปลายแหลมของสายล่อฟ้าที่สูงลิบบนดาดฟ้าโรงแรม ซึ่งการยืนในที่แบบนั้นนั้นยิ่งทำให้การปรากฎตัวของเธอยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีกหลายต่อหลายเท่า
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดนั่นไม่เพียงแค่รูปลักษณ์และกิริยาท่าทาง... สิ่งที่เธอสามารถบังคับให้ยอดนักรบทั้งหลายต้องจับจ้องไม่วางตากับเรือนร่างของเธอนั้นคืออาวุธที่กำลังแผ่รัศมีอย่างแปลกประหลาด... อาวุธที่ยอดอัลเคมิสต์ภาคภูมิใจอย่างที่สุดในการทุ่มเทอำนาจวิเศษและการศึกษาอันแสนทารุณจนอุบัติเป็นศาสตราที่แม้แต่วีรชนแห่งสงครามจอกฯก็มิอาจดูแคลนได้แม้แต่น้อย ชุดเกราะสีขาวที่เปล่งประกายราวกับดวงดารายามราตรี
Mystic Suit: Star’ Corona
สำหรับวีรชนทั้งหลายเมื่อได้เห็นตัวจริงของมาสเตอร์ของอาเชอร์, ไม่มีใครคิดมาก่อนเลยว่าเด็กสาวที่วัยไม่น่าเกิน 14-15 ปีเช่นนี้จะเข้าร่วมสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ด้วย, เรือนผมยาวสีน้ำตาลเข้ม – แววตาใสซื่อ – รอยยิ้มแสนบริสุทธิ์นั้นไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ย่อมไม่เหมาะที่จะมาจับอาวุธวิเศษแล้วยืนหยัดในสนามรบอันโหดร้ายเช่นนี้เลยสักนิด...ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่อาเชอร์เองก็ไม่ปฎิเสธและอดคิดไม่ได้ว่าองค์กรไหนกันแน่นะที่ส่งเด็กเช่นนี้เข้าสู่สงคราม
นามของเราคือตัวแทนแห่งพราฮา ผู้เป็นราชาแห่งอัลเคมิสต์ทั้งปวง...
To be Continue....
Create Date : 24 มกราคม 2553 |
Last Update : 30 มกราคม 2553 0:43:03 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1376 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อุบลวรรณ วารีกุล IP: 114.128.35.142 วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:15:02:58 น. |
|
|
|
โดย: อุบลวรรณ วารีกุล IP: 114.128.35.142 วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:15:03:31 น. |
|
|
|
โดย: จีรวัฒน์ อำพานทอง IP: 49.237.18.201 วันที่: 24 มีนาคม 2567 เวลา:18:39:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 79 คน [?]
|
Blog จับฉ่ายของ Kross ครับ เทคโนโลยี, การทหาร,Military Expert, การ์ตูน, Anime, Manga, Review, Preview, Game, Bishojo Game, Infinite Stratos (IS), Hidan no Aria, Light Novel (LN)
ติดตามเพิ่มเติมได้ทาง Twitter ที่ @PrameKross
|
|
|
|
|
|
|
|
10 มกราคม 2553
จังหวัดราชบุรี
Tel.032-232-272,089-741-4778
30 มกราคม 2553
จังหวัดพังงา
Tel.081-891-6361,081-397-8878
13 กุมภาพันธ์ 2553
จังหวัดจันทบุรี
Tel.081-723-5175,039-313-528
27 กุมภาพันธ์ 2553
จังหวัดประจวบคิรีขันธ์
Tel.032-688-625
20 มีนาคม 2553
จังหวัดกาฬสินธ์
Tel.081-975-4027, 085-012-5963
3 เมษายน 2553
จังหวัดกรุงเทพฯ
Tel.02-455-9700-3
11 เมษายน 2553
จังหวัดเพชรบุรี
Tel.085-112-7885, 032-472-444
24 เมษายน 2553
จังหวัดระนอง
Tel.081-788-7272,081-090-3000
15 พฤษภาคม 2553
จังหวัดลพบุรี
Tel.089-452-7878,084-137-9594
5 มิถุนายน 2553
จังหวัดยะลา
Tel.089-463-2444,089-876-5209
26 มิถุนายน 2553
จังหวัดนครสวรรค์
Tel.056-220-099
17 กรกฎาคม 2553
จังหวัดชลบุรี
Tel.038-249-162-3,081-781-4360
7 สิงหาคม 2553
จังหวัดนราธิวาส
Tel.085-797-4001,081-678-2427
28 สิงหาคม 2553
จังหวัดฉะเชิงเทรา
Tel.081-935-7469
18 กันยายน 2553
จังหวัดยโสธร
Tel.045-709-103
9 ตุลาคม 2553
จังหวัดลำปาง
Tel.054-219-367,081-603-4739
30 ตุลาคม 2553
จังหวัดสมุทรปราการ
Tel.081-830-1556,089-822-2384
13 พฤศจิกายน 2553
จังหวัดเพชรบูรณ์
Tel.081-727-3138,086-680-1968
27 พฤศจิกายน 2553
จังหวัดเชียงราย
Tel.081-468-3928,084-610-2732
18 ธันวาคม 2553
จังหวัดสระบุรี
Tel.036-312-785