|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทรรศนคติของผู้เรียนไวยากรณ์
การศึกษาไวยากรณ์กับภาษาอังกฤษ
"ไวยากรณ์คืออะไร" น่าจะเป็นคำถามที่ผู้ศึกษาภาษาน่าจะเข้าใจเสียก่อนที่จะลงมือศึกษาภาษา เพราะความเข้าใจเกี่ยวกับ "ไวยากรณ์" เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผู้ศึกษาภาษามองภาษาได้อย่างมีระบบ เเละช่วยให้ผู้ศึกษามีทรรศนะคติที่ถูกต้องต่อการเรียนไวยากรณ์
ส่วนใหญ่เมื่อเอ่ยถึงไวยากรณ์ เราจะคิดถึง กฎเกณฑ์ ข้อห้าม หรือสิ่งที่ต้องท่องจำ เช่น ประธานเอกพจน์ต้องใช้กริยาเป็นเอกพจน์ หรือ Present Perfect ใช้ในกรณีที่เหตุการณ์เกิดในอดีตและมีผลต่อปัจจุบัน หรือ อย่าใช้ปฎิเสธซ้อน (double negative) เป็นต้น
จริงๆแล้วกฎเกณฑ์ หรือ ข้อห้ามข้างต้น มิใช่ ความหมายของ "ไวยากรณ์" ที่นักภาษาศาสตร์ยอมรับ
ไวยากรณ์ตามความหมายของนักภาษาศาสตร์ คือ กฎเกณฑ์ที่เจ้าของภาษาใช่ร่วมกันและแพร่หลายในภาษาใดภาษาหนึ่ง เป็นกฎเกณฑ์ที่เจ้าของภาษาได้มาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวตั้งแต่เกิด เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการสอน เหมือนการเรียนรู้ภาษาไทยของเรานั่นเอง เราสามารถพูดไทยได้ก่อนเข้าโรงเรียนเสียอีก
ดังนั้นหน้าที่ของผู้เรียนไวยากรณ์คือ ศึกษาว่าเจ้าของภาษาใช้กฎเกณฑ์อะไรในเวลาพูดภาษานั้นๆ นั่นคือ กฎเกณฑ์เหล่านี้ควรได้มาจากการสังเกต และวิเคราะห์จากวิธีการใช้ภาษาของเจ้าของภาษา เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปถามเจ้าของภาษาว่า "ช่วยอธิบายการใช้ subjunctive ในภาษาอังกฤษให้หน่อย" เพราะเจ้าของภาษาคงตอบไม่ได้
ถ้าจะให้คำนิยามเกี่ยวกับการเรียนไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษก็คงต้องพูดว่า การเรียนไวยากรณ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อการ "บรรยาย" หลักภาษาที่เจ้าของภาษาใช้ (descriptive goal) และทรรศนคติที่ถูกต้องของการเรียนไวยากรณ์ควรเป็นไปเพื่อการ "บรรยาย"
ในทางกลับกัน เราไม่ควรมองการเรียนไวยากรณ์เป็นเรื่องของ กฎเกณฑ์ ข้อห้าม ซึ่งถ้าเรียนไวยากรณ์แบบนี้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อ กำหนด รูปแบบของภาษาที่ควรจะเป็น (prescriptive goal)
ภาษามิใช่เรื่องที่เราจะสามารถตีว่า ผิด หรือ ถูก ได้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่มีน้ำหนักพอที่จะบอกว่า การใช้ภาษาอย่างนี้ ผิด หรือ ถูก ยกตัวอย่างเช่น
-It is me ผิด ต้องเป็น It is I เหตุผลที่คนมักจะกล่าวอ้างคือ คำสรรพนามที่อยู่หลัง verb to be ต้องเป็นรูปประธาน นี่มิใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักพอที่จะพูดว่า It is me ผิด ต้องถามต่อไปว่า ทำไมคำสรรพนามที่อยู่หลัง verb to be ต้องเป็นรูปประธาน ก็จะได้คำตอบว่า ก็กฎมันเป็นอย่างนี้ นั่นสิครับ คำถามที่ต้องหาคำตอบคือ ทำไมกฎมันถึงเป็นอย่างนี้ ใครบัญญัติขึ้นหรือ แล้วทำไมถ้าจะเป็น It is me จะผิดอย่างไร
-I ain't got no money ประโยคนี้คนส่วนใหญ่ว่า ผิดหลักไวยากรณ์ เพราะภาษาอังกฤษ ไม่อนุญาตการปฎิเสธซ้อน ก็ต้องถามต่อละครับว่า การปฎิเสธซ้อนถึงได้คอขาดบาดตายเหลือเกิน มันจะเป็นอะไรไปถ้าปฎิเสธซ้อนจะช่วยย้ำความให้เป็นปฎิเสธยิ่งๆขึ้นไป บางท่านอาจบอกว่า ปฎิเสธซ้อนผิด เพราะว่า ลบเจอลบต้องเป็นบวก แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผล เพราะว่า นี่คือคณิตศาสตร์ ภาษามิได้ดำเนินไปอย่างคณิตศาสตร์นะครับ ถ้าคิดว่าภาษาเป็นหลักอย่างเดียวกับคณิตศาสตร์ ก็ไม่ควรจะเรียนภาษาครับ
จะมีใครรู้บ้างไหมว่า ปฏิเสธซ้อนที่กล่าวถึงข้างบน เป็นสิ่งที่ บังคับ ในภาษาอังกฤษยุคโบราณ และยุคกลาง ปฎิเสธซ้อน เป็นรากเหง้าของภาษาอังกฤษยุคต้นๆเลยทีเดียวครับ หรือ แม้แต่ในภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส หรือ ภาษาอิตาเลียน การปฎิเสธซ้อนก็เป็นสิ่งที่ บังคับ เช่นเดียวกัน
แต่ไม่ทราบว่า ทำไมคนจึงค้านมากนัก ในภาษาอังกฤษแบบปัจจุบัน
สิ่งที่ผมยกมาข้างต้นนั้น ก็เพื่อที่จะบอกว่า เวลาเราศึกษาไวยากรณ์สิ่งที่เราควรจะทำคือ ศึกษาว่าเจ้าของภาษาใช้ภาษาอย่างไร ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเจ้าของภาษาใช้ และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายแล้วล่ะก็ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ "ถูกไวยากรณ์" มิใช่หรือ
สิ่งที่ "ถูก" ไวยากรณ์ ไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติโดยคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดให้เป็นสิ่งที่ "ถูก" แต่ควรจะเป็นสิ่งที่เจ้าของภาษาให้การยอมรับเป็นที่แพร่หลายต่างหาก
เพราะฉนั้น ความผิดทางไวยากรณ์ จากที่กล่าวมาข้างต้น น่าจะแบ่งได้สองประเภท 1. ผิดเพราะใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกล่มหนึ่งบัญญัติไว้ เช่น It's me ผิด เป็นต้น 2. ผิด เพราะเจ้าของภาษาไม่ใช้กัน และไม่มีเจ้าของภาษาใดทำผิดแบบนี้ เช่น My name are Krisda. (แทนที่จะเป็น My name is Krisda) หรือ He has died for ten years แทนที่จะเป็น He died 10 years ago. เป็นต้น
ถ้าจะศึกษาไวยากรณ์ให้ได้ดี ควรจะเพ่งเล็งกรณีที่ 2 เป็นพิเศษ เพราะเป็นความผิดเเบบที่ เจ้าของภาษาไม่ทำกัน มีแต่ผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศเท่านั้นที่ทำผิดแบบนี้ ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมด มิใช่มีเจตนาให้ผู้อ่านทุกๆท่านคิดว่า "ถ้าเจ้าของภาษาใช้กันแล้ว อะไรก็ได้ อะไรก็ถูก" เช่น I ain't got nothing ใช้ได้ในทุกกรณี มิใช่อย่างนั้นครับ จริงอยู่ I ain't got nothing ไม่มีอะไร "ผิด" ในประโยคนี้ แต่ผมอยากจะขอให้มีทรรศนคติที่ว่า ถ้าอยู่ในบริบทหนึ่ง ก็ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบริบท เช่น ถ้าเราเผยแพร่ผลงานทางวิชาการตีพิมพ์ เราคงไม่ใช้ I ain't got nothing แต่จะหลีกเลี่ยงเป็น I do not have anything มากกว่า จึงจะเหมาะสมกับบริบท แต่ถ้าเราไปทานเบียร์กับเพื่อน และคุยกันสนุกสนาน ออกรส I ain't got nothing ก็น่าที่จะอนุโลมได้ ครับ
ประการสุดท้าย สิ่งที่ผมอยากจะพูดคือ ภาษา(เหมือนกับทุกสิ่งในโลก) เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง
การเปลี่ยนเเปลงของภาษามีหลายปัจจัยเหลือเกินครับ ไม่ว่าจะเป็นเกิดจากการ ติดต่อ หรือ ยืมคำจากภาษาอื่นๆ (เช่น คำว่า ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ ซึ่งเป็นคำยืมในภาษาไทย) เป็นต้น ใครทราบบ้างว่าคำว่า prison เป็นคำยืมจากภาษาฝรั่งเศส หรือ They are ทั้งสองคำ เป็นคำยืมจากภาษา Scandinavian
ไม่มีใครสักคนเดียว แม้แต่นักภาษาศาสตร์ ที่จะห้ามการเปลี่ยนเเปลงของภาษาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของภาษามิได้เหมือน การขายยาบ้า ที่กฎหมายสามารถควบคุมได้ การเปลี่ยนแปลงของภาษาจะเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าของภาษายอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายและถ่ายทอดไปสู่รุ่นต่อๆไป ครับ
คนส่วนใหญ่มักมีทรรศนคติด้านลบต่อการเปลี่ยนแปลงทางภาษา คิดว่าเป็นความ "เสื่อม" ชนิดหนึ่ง เช่นความเสื่อมที่ครูไม่สอนเด็กให้ดี ความเสื่อมที่ผู้คนไม่เอาใจใส่ต่อภาษา และไม่รักชาติ ไม่รักวัฒนธรรมของชาติ บทความประเภท พูดให้ชัด เขียนให้ถูก จึงมีออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ถ้าพิจารณากันจริงๆแล้ว บทความพวกนี้ มิได้บอกเหตุผลเลยว่า ทำไม ภาษา "ต้อง" เป็นอย่างนี้ หรืออย่างนั้น แต่มุ่งที่จะใช้ปัจจัยอื่นๆมา ชวนเชื่อ เสียมากกว่าว่าภาษาต้องเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้ เช่น เราจะควรจะรักษาวัฒนธรรมของเราไว้ (ปัจจัยชวนเชื่อคือ ถ้าภาษาเปลี่ยนไป วัฒนธรรมจะเสื่อม) ทั้งๆที่วัฒนธรรมจริงๆ คือ วิถีทาง(การดำเนินชีวิต การแต่งกาย และอื่น) ของคนในสังคมหนึ่งๆเท่านั้น มิได้ตีค่าได้ว่าถูก ผิด ดีหรือเลว เป็นต้น
เมื่ออ่านบทความนี้จบ ผมอยากให้ทุกๆคนคิดพิจารณาให้ดีๆเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา และ การเรียนไวยากรณ์ สิ่งที่ผมยกมาทั้งหมด เป็นแค่ข้อสังเกต และ ข้อเสนอเเนะของผู้ที่รักเรียนภาษาคนหนึ่ง(และคนอื่นๆที่เห็นเช่นเดียวกัน) เท่านั้นครับ
Create Date : 15 สิงหาคม 2548 |
|
24 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2548 2:25:31 น. |
Counter : 1559 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: krisdauw IP: 202.5.82.184 15 สิงหาคม 2548 21:02:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนอนหนังสือตัวเป้ง IP: 203.107.184.195 16 สิงหาคม 2548 10:46:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: krisdauw IP: 202.57.171.152 16 สิงหาคม 2548 14:47:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: krisdauw IP: 202.57.171.152 16 สิงหาคม 2548 15:05:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: BB IP: 61.90.97.226 23 สิงหาคม 2548 9:06:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซาลาเปาจุดแดง IP: 58.147.2.33 17 ตุลาคม 2548 16:14:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่ต้น IP: 58.147.70.31 15 กุมภาพันธ์ 2549 8:48:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: เก่งสุดหล่อ IP: 58.147.70.31 15 กุมภาพันธ์ 2549 8:55:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: Chini (Chini ) 11 ตุลาคม 2549 1:40:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: rung IP: 203.113.57.40 20 เมษายน 2550 15:09:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: หวเต๋า IP: 203.113.57.40 20 เมษายน 2550 15:15:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: มาส IP: 58.8.161.97 9 มิถุนายน 2550 23:28:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ IP: 203.172.219.57 4 กรกฎาคม 2550 10:10:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: a IP: 125.25.82.47 24 กรกฎาคม 2550 16:11:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: 125 IP: 125.24.138.140 17 ธันวาคม 2550 12:48:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปอ IP: 118.175.131.76 19 กรกฎาคม 2551 15:14:45 น. |
|
|
|
|
|
|
|
รู้สึกแบบเดียวกันเพะ