Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
8 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

dissertation defense!

เสร็จสิ้นกันทีสำหรับ ปริญญาใบนี้ Ph.D.


ช่วงนี้กระทู้ในกลุ่มย่อยนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากกระทู้ดาวน์โหลดเปเป้อร์ สงสัยทุกๆคนคงกำลังสอบกันอยู่แน่เลย ผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งเพิ่งสอบเสร็จ การสอบที่ว่าคือ Final Examination หรือ Dissertation Defense นั่นเอง

หลายๆคนอาจจะไม่เคยสอบแต่ต้องสอบในอนาคต เพราะฉะนั้นก็ต้องกังวลว่ามันเป็นยังไง เค้าจะถามอะไรบ้าง เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ใช่ไหมครับ ซึ่งผมเองก็เพิ่งผ่านจุดนั้นมา เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ แต่ว่าแต่ละสาขา แต่ละมหาลัยก็คงจะต่างๆกันไป แต่ก็เก็บที่ผมเล่าไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกันนะครับ

การเตรียมตัว ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาก เพราะว่าผมได้ revise มาก่อนแล้ว ที่มหาลัยที่ผมเรียนอยู่ (อเมริกา) นั้นระบบคือ เอาที่เราเขียนให้ Chair (or Supervisor) ของคุณดูก่อน ผมก็ให้ดู เค้าก็มาให้แก้หนึ่งรอบ (ดิสเซอร์เตชันผมมีห้าบท) พอแก้เสร็จ สามอาทิตย์ก่อนสอบดีเฟนด์ ต้องเอาให้ คณะกรรมการอ่านที่เหลืออ่านดู ซึ่งเค้าก็ให้แก้มาอีกหนึ่งรอบ ตอนนี้เวลามันจะกระชั้นมากกับการดีเฟนด์ ดังนั้น ผมเลยจำได้ว่าอะไรที่เป็นปัญหาบ้าง และเราเขียนอะไรไปบ้าง จุดที่ผมต้องการจะพูดคือ บางคนอาจจะใช้เวลาการทำดิสเซอร์ฯ นาน ดังนั้นไอ้พวกทฤษฎีพื้นฐานที่อ้างอิง เช่นในบทที่หนึ่งหรือสอง เราอาจจะลืมไปแล้ว แต่ว่าก่อนสอบสักสองสามวัน คุณควรจะมาอ่านทวนดูอีกรอบ เผื่อกรรมการเค้าถามในห้องสอบนะครับ แต่ถ้าได้ทำ revision อยู่ตลอดเวลา เราจะจำได้เองอัตโนมัติ แต่ก็ควรทวนอยู่ดี

ส่วนคำถามที่เค้าจะถามในห้องสอบ ก็พวก comments ที่เค้าให้เรามาแก้น่ะแหละครับ บางข้อเราอาจจะแก้ บางข้อเราอาจจะไม่แก้ แต่เราก็ต้อง defend ตัวเองได้ว่า ไม่แก้น่ะ เพราะเหตุใด เพราะฉะนั้นเตรียมตัวตอบให้ดีในจุดที่เค้าติมา

เวลาเข้าไปในห้องสอบแล้ว ก็จะมี Chair และ reading committee members และ มีผู้แทนจากส่วนกลางหนึ่งคนมาตรวจดูความเรียบร้อย ตอนต้น เค้าจะให้เราสรุปคร่าวๆถึงโปรเจคของเราสักห้านาที อันนี้เราควรเตรียมไปก่อน ทำเป็น bullet-point notes น่ะครับ อย่าอ่านมากไปจะไม่ดี หลังจากเราพูดเสร็จ เค้าก็จะเริ่มคำถามแล้ว ซึ่งคำถามก็คือ comments ที่เค้าให้เรามาแก้น่ะแหละครับ เพราะฉะนั้น หมั่นไปหาอาจารย์บ่อยๆ ก่อนสอบแล้วคุยกับอาจารย์

บางคณะนั้นเวลาดีเฟนด์ต้องใช้พาวเวอร์พ้อยท์ ฯลฯ แต่ของผมดีหน่อย เป็น traditional English department คือ ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ไม่ต้องมี handout ไม่ต้องมีสไลด์ ฯลฯ พูดอย่างเดียว ก็สะดวกดี หลังจากอาจารย์ถามคำถามเสร็จ ก็จะคุยกันว่าถ้าจะเอา dissert นี้ไปตีพิมพ์เราต้องแก้ไขอะไรบ้าง อย่าลืมว่า dissert นั้นะครับ ถือเป็น a rough draft for your future book เท่านั้นนะครับ เพราะฉะนั้น คอมมิตตีเราถือเป็น “ผู้อ่าน” ที่ให้ฟีดเเบคกับเราได้อย่างดี ครับ

หลังจากนั้นพอคุยกันเรื่องการตีพิมพ์เสร็จ เค้าจะให้เราออกไปข้างนอกห้อง รออยู่สักสามนาที ถ้าเราผ่าน เค้าจะออกมา “Congratulations…Dr….” เเละเราก็เข้าไปใหม่ ไปจับมือกับคนที่เหลือครับ และต่อไปคือขั้นตอนการเซ็นหน้าลายเซ็นของ dissertation ครับ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณชั่วโมงกับอีกสี่สิบห้านาทีครับ

สรุปว่า สำหรับกรณีผมนะ ผมว่า การดีเฟนด์มันเหมือน formality มากกว่า เพราะว่า ผมแก้มาตั้งสองรอบใหญ่ (ไม่นับรอบเล็กที่แก้เอง) เพราะฉะนั้นคำถามของอาจารย์ หรือ สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับดิสเซอร์อันนี้มันได้ถูกกำจัดหมดแล้ว (ยกเว้นถ้าจะตีพิมพ์เป็นหนังสือก็อีกเรื่องนึง ต้องแก้อีกที) และดังนั้น มันไม่ค่อยมีอะไรเหลือให้ถามให้พูดในการดีเฟนด์แล้วน่ะครับ เพราะว่าเราได้คุยกับอาจารย์ไปจนหมดแล้ว ซึ่งผมว่าดีนะมันเหมือนกับอาจารย์มีหน้าที่ให้ฟีดเเบคกับเราน่ะพอส่งเราถึงฝั่ง หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องโต ต้องเดินต่อไปเองในสายวิชาการที่เราเลือกนะครับ

สรุปผมว่า การดีเฟนด์ (จากประสบการณ์ส่วนตัว) เป็น celebratory experience มากกว่าที่จะเป็นการ “สอบ” (เพราะอย่าลืมว่า เราได้ผ่านการสอบ qualifying exam มาแล้วครับ ซึ่งการันตีว่าเรามีความรู้พอเพียงที่จะไปทำดิสเซอร์ได้น่ะครับ) เพราะฉะนั้นไม่ต้องเครียดมากครับ ระลึกไว้ว่า เรารู้ดีที่สุดในห้องดีเฟนด์ (เราทำเองกับมือ) เเละอาจารย์(ส่วนใหญ่) เอาใจช่วยเราครับ

สำหรับในกรณีผม ผมใช้เวลาทั้งสิ้น สี่ปี ถ้วนกับการเรียนเอก ปีหนึ่งถึงปีสอง เรียน คอร์สเวิร์ค ปีสามเทอมแรกสอบคอมพรีฯ ผ่าน เทอมสอง เขียน dissertation prospectus และ defend prospectus จนผ่าน ปีสามซัมเมอร์เริ่มทำดิสเซอร์ อย่างน้อย ปลายปี (นั่นคือปีสี่เทอมฟอล) ต้องได้แล้วสามบท (ดราฟ) จนถึงปีสี่เทอมปลาย ก็ดีเฟน แต่มันจะมีช่วงนึงคือ เริ่มต้นปีสี่ที่ไม่ค่อยได้ทำ เพราะว่าเอาเวลาไปสมัครงานเป็นอาจารย์อยู่ (แต่โชคดีว่ามันได้ขึ้นมาน่ะครับ ก็ดีไป) แต่ว่าก็ต้องมากวดเขียนดิสเซอร์ที่เหลือให้ทัน ซึ่งก็ยากโขอยู่ แต่ก็ผ่านมาได้สำเร็จ เฮ้อ โล่งไปที เห็นอาจารย์คนนึงบอกว่า ทำได้ไงเนี่ย เขียนเสร็จภายในปีเดียว แต่ผมว่าถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไร รู้ว่าแต่ละบทต้องเขียนอะไร มันจะทำได้เองครับ เพราะปัญหาส่วนใหญ่คือ ไม่รู้ว่าจะไปต่อ คือ ไม่รู้ว่าบทต่อไปจะเขียนอะไรดีน่ะครับ

ตอนนี้ก็เก็บข้าวของ เตรียมย้ายไป texas เพื่อเริ่มสอนตอนเทอมฟอลต่อไปครับ


ขอให้ทุกคนโชคดีครับ


อันนี้เป็นรูปเดินแถวขึ้นรับปริญญา (สังเกตชุดว่าสีม่วงเชียว)

[IMG]//i55.photobucket.com/albums/g153/krisdauw/me068.jpg[/IMG]




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2550
3 comments
Last Update : 8 มิถุนายน 2550 15:17:23 น.
Counter : 5858 Pageviews.

 

congratulations on your study na ka

 

โดย: once_day 8 มิถุนายน 2550 17:04:02 น.  

 

Wow congratulations na ka.

 

โดย: mrsmurtaugh 30 มิถุนายน 2550 4:19:27 น.  

 

 

โดย: Aisha 13 พฤศจิกายน 2550 19:44:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


krisdauw
Location :
Washington, Seattle United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




Friends' blogs
[Add krisdauw's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.