บ้านเมืองที่ไร้ระเบียบ
เห็นการเมืองไทยในขณะนี้แล้วอดเศร้าใจไม่ได้ ความจริงไม่อยากจะเขียนเรื่องราวทางการเมืองอย่างนี้มากนัก เพราะแต่ละคนก็คิดว่าตัวเองคิดถูก ทั้งที่ในความจริงยังไม่รู้ว่าใครคิดถูกคิดผิด แม้แต่ผู้เขียนข้อเขียนนี้ก็ตาม (บางครั้ง เขียนไป อาจจะถูกด่าถูกเกลียด เพราะเราอาจจะมีความคิดบางอย่างที่ต่างกันบ้าง แต่ทุกครั้งที่เขียน จะมองถึงประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ได้มองที่กลุ่มการเมืองใดกลุ่มการเมืองหนึ่ง เพราะไม่ใช่สาวกของกลุ่มการเมืองใด กลุ่มการเมืองใดทำถูกก็จะเห็นด้วยเป็นกรณีไป) แต่เห็นการเมืองไทยทุกวันนี้แล้วรู้สึกอดสูใจอย่างยิ่ง อยากจะเรียกว่าประเทศไทยในขณะนี้เรียกได้ว่าเป็น "บ้านเมืองที่ไร้ระเบียบ" เพราะดูเหมือนต่างฝ่ายต่างขั้วการเมือง หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป ล้วนแต่ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งและตัดสินทุกสิ่งด้วยความรัก ความรู้สึกของตัวเอง (เพราะความรักความรู้สึกไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูก แต่ความรักความรู้สึกก็ไม่ใช่ว่าถูกเสมอไป) แต่ถ้าเป็นฝ่ายการเมืองที่มีผลประโยชน์รองรับอยู่แล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่า จะทำไปเพื่ออะไร ถามว่า การใช้ความรู้สึกของตัวเองผิดไหม ก็ไม่ผิดหรอก ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย และที่สำคัญต้องไม่ผิดต่อความถูกต้องและชอบธรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยทุกวันนี้เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกต่อต้าน และผู้ต่อต้าน ก็ตาม ต่างเอาความคิดความรักความชอบของตัวเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์แท้จริงนั้น ก็คือกลุ่มแกนนำและผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกฝ่ายเพียงไม่กี่คน เพียงไม่กี่กลุ่มคน ทั้งที่เผยตัวและไม่เผยตัวต่างได้ประโยชน์ โดยที่เอาความรักความชอบของคนหรือกลุ่มคนที่รักและชอบเป็นเหยื่อ การเป็น เหยื่อ นั้น ใครที่ตกเป็นเหยื่อ....ย่อมเศร้าใจอย่างยิ่ง ทั้งที่รู้ตัวเองว่าเป็นเหยื่อ หรือไม่รู้ตัวเองว่าเป็นเหยื่อ ในสถานการณ์เมืองไทยขณะนี้..... ฝ่ายหนึ่งที่ได้ที ก็จะเอาให้ได้ และเอาใด้ได้สุดๆ เพราะคิดว่าได้เปรียบเรื่องคะแนนเสียงหรืออำนาจบริหารตามกฎกติการัฐธรรมนูญ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเมื่อได้ที ก็จะโค่นล้มกันให้ได้ (เข้าทำนอง ขิงก็รา ข่าก็แรง) กระทั่ง ต่างฝ่าย ต่างสร้างวาทะกรรมที่ทำลายล้างกันได้อย่างสุดยอด หากบันทึกไว้เป็นข้อเขียนหรือวรรณกรรม ซึ่งหากอยู่ในยุคของวรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่๖ (ร.๖) และนับย้อนลงไปจนถึงสมัยสุโขทัยเป็ยราชธานี ทั้งหลายทั้งมวลของนักการเมืองและแกนนำที่พูดหรือใช้วาทะกรรมทั้งหลายที่ผ่านเวทีปราศัยและหรือผ่านสื่อต่างๆ เหล่านี้คงยกชั้นให้เป็นวรรณคดีได้อย่างไม่ต้องสงสัย (งานเขียนที่เรียกว่าวรรณคดีในทุกวันนี้ เป็นงานเขียนที่เกิดจากกลุ่มวรรณคดีสโมสรที่คัดเลือกงานเขียนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน(ร.๖) ยกย่องให้เป็นวรรณคดี แต่งานเขียนหลังจากนั้นจะเรียกว่าวรรณกรรม เหมือนที่เรียกกันในปัจจุบัน) เพียงแต่ที่ต่างกันคือ ทำให้ประเทศไทยแตกแยกเช่นทุกวันนี้ (วรรณคดีย่อมเป็นคุณ ย่อมเกื้อกูล และจรรโลงใจ ให้แง่คิดที่ดีกับทุกคน แต่การต่อสู้ทางการเมืองแม้ขณะนี้เป็นเพียงวาทะกรรมที่เกื้อกูลแต่เพียงกลุ่มของตนเอง) แต่หากยกชั้นในแง่ของโวหารเพียงอย่างเดียวก็คงพอจะยกย่องให้เป็น วรรณคดี ได้ เพราะสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนทั้งหลายคล้อยตามโดย วาทะกรรมเหล่านั้นครบถ้วนทั้งรสวรรณคดีที่เรียกว่า มีทั้ง เสาวรสจนีย์(บทชมโฉม) นารีปราโมทย์(บทเกี้ยวโอ้โลม) พิโรธวาทัง(บทตัดพ้อ) สัลลาปังคพิไสย(บทโศก) แต่การต่อสู้ทางการเมื่องในขณะนี้ ถามว่า ความเสียหายจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ประเทศไทยโดยส่วนรวมทั้งนั้น ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่คงไม่ได้เห็นด้วย (เป็นความคิดโดยส่วตัวผู้เขียนเช่นกัน...แต่อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้) ฝ่ายหนึ่ง แก้รัฐธรรมนูญบอกว่าผิด อีกฝ่ายหนึ่งแก้รัฐธรรมนูญได้ ไม่ผิด แต่ฝ่ายที่แก้รัฐธรรมนูญก็เกินเลยจนถูกต่อต้าน (จะช่วยใครก็รู้ๆ กันอยู่) แต่อีกฝ่ายเมื่อต่อต้าน เมื่อได้ในบางอย่างในรัฐธรรมนูญจนอีกฝ่ายยอมถอยแล้วก็ยังไม่หยุด กลับจะโค่นล้มเสียอย่างนั้น (หรือว่าที่ต่อต้านก็แค่ข้ออ้าง แต่จุดหมายที่แท้จริงคืออะไร ก็อยู่ที่ใครจะพูดความจริง...เพราะความจริงไม่ได้อยู่ที่การพูด...ก็รู้ๆ กันอยู่) จนเลยเถิดไปที่จะมีสภาประชาชน ก็ในเมื่อรัฐธรรมนูญที่บอกแก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว รัฐสภาที่ชอบด้วยกฎหมายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญยังแก้ไขไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีแนบท้ายไว้ในคำวินิจฉัยที่เป็นเหมือนคำแนะนำไว้ว่าแก้ได้ถ้าทำเป็นรายมาตรา แต่ถ้าแก้ไขทั้งหมดต้องทำประชาพิจารณ์ แล้วการที่จะมีสภาประชาชนมันจะยิ่งไม่ผิดรัฐธรรมนูญอย่างนั้นหรือ แล้วมันจะต่างกันตรงไหน สภาประชาชนมีกฎหมายตรงไหนรองรับ (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้ การแสดงความคิดเห็นในกรอบกฎหมายย่อมทำได้....และการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายก็แก้ได้อยู่แล้ว ตามเหตุตามปัจจัยที่เหมาะสม เพราะมันไม่ใช่บัญบัญัติของพระเจ้าที่จะแก้ไขไม่ได้....การรัฐประหารยังมีบทเฉพาะกาลให้ผู้ยึดอำนาจไม่ผิดได้เลย) สภาประชาชนที่ว่านั้น คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยจริงหรือเปล่า การเรียกคนมาล้านคน ในมุมมองของผู้เขียนมันไม่แปลกหรอก เพราะว่าต่อให้ ๑๔ ล้านคนยังไม่แปลกเลย เพราะนั่นก็คือฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ยังไม่ใช่คนทั้งประเทศ ถึงแม้ว่าการเลือกตั้ง จะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ในระบอบประชาธิปไตยก็คือกติกาเบื้องต้น คือกรอบที่จะทำให้มวลชนไม่ต้องยกกำลังมาฆ่ากันว่าใครสมควรปกครองประเทศ แต่ถ้าทำผิดก็ต้องค่อยว่าไปตามกฎหมาย (แม้กฎหมายจะไม่สามารถเอาผิดคนทำผิดได้ ๑๐๐ % ก็ตาม เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะกำหนดผู้มาบริหารประเทศ) ไม่ใช่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะถ้ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง ก็ยังมีกฎหมายที่จะเอาผิดและตรวจสอบ และเบื้อต้น ก็จากการเลือกตั้ง นั่นก็คือเสียงที่สะท้อนออกมา รวมทั้งข้อกฎหมายและองค์กรต่างๆ ตามกฎหมาย ถ้าจะอ้างว่า กฎหมายเอาผิดบางคนไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นกรรมของประเทศไทย แต่ใครทำผิด ก็ไม่มีใครหลุดพ้นอยู่แล้ว เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่กลุ่มคนที่ออกมาตั้งกฎเกณฑ์บนท้องถนน คิดว่าตนเองชอบธรรมจริงๆหรือ (ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ ทำได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญ) แต่เป้าหมายที่แท้จริง(ของผู้นำการชุมนุม)คืออะไร บอกกิเลสที่แท้จริงของตัวเองออกมาจะดีกว่า ไม่อยากให้ใคร ให้คนไทยเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วทำให้สังคมหรือประเทศไทยพลอยได้รับผลกระทบจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของขั้วอำนาจทั้งสองฝ่าย (ประเทศไทยในปัจจุบันมีขั้วอำนาจใหญ่ ๒ ขั้นอำนาจ คล้ายๆ กับอเมริกา แต่ต่างกันที่จิตสำนึกทางการเมืองและจิตสำนึกต่อประเทศชาติที่มีไม่เท่ากัน) โดยมีงบประมาณประมาณ ๘แสนล้านบาท ของประเทศไทยและความสงบสุขของประเทศไทยเป็นเครื่องเซ่นพลีใการแย่งชิงอำนาจนั้น...ซึ่งมันไม่คุ้มกัน หากเปรียบเทียบเทียบกับผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติโดยส่วนรวม (ซึ่งไม่ได้รังเกียจ ๒ ขั้วอำนาจนี้ที่จะมาบริหารประเทศ แต่ ๒ ขั้วอำนาจนี้ควรจะบริหารด้วยด้วยคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ที่ผ่านมา ๒ ขั้วอำนาจนี้ก็บริหารประเทศโดยนึกถึงผลประโยชน์ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น) คนไทยอย่าได้หลงงมงายในความคิดที่ว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนถูกต้องชอบธรรม สิ่งที่ตนเองทำคือถูกต้อง และสิ่งที่ตัวเองชอบคือชอบธรรม สิ่งที่ตัวเองคิดจะถูกต้องชอบธรรม ก็ในเมื่อตัวเราเองยังไม่แน่ใจตัวเรา แล้วเราจะไปแน่ใจในคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อคนนั้น กลุ่มคนนั้นก็ยังมีกิเลสไม่ต่างกัน เผลอๆ ยิ่งมีกิเลสที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเราเสียอีก ในมุมมองของพระพุทธเจ้า แม้แต่การพูด การคิดและทำในสิ่งที่เพ้อเจ้อในเรื่องส่วนตัวของเราเองยังเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลย นับประสาอะไรกับการคิด การพูด และการกระทำที่กระทบกับคนอื่น จะยิ่งไม่เป็นประโยชน์ ไม่เกื้อกูล มิหน่ำซ้ำ ยังทำลายสันติสุขของผู้คนจำนวนมากอีกด้วย หรือยังเป็นการทำบาปต่อคนอื่น เพราะสิ่งที่เรากระทำมันก็ไปกระทบต่อคนอื่น แม้คนอื่นอาจจะไม่พูดแต่ก็ไปขืนใจเขาเช่นกัน แต่เรามักจะคิดว่าเราทำถูก เราทำดี (ในขณะที่เรากำลังประมาณคนอื่นว่าไม่ดี แต่ตัวเราเองก็ใช่ว่าจะดี) ความจริงแล้ว หากเป็นคนจริง จงพูดความจริงออกมาดีกว่า...ว่า แท้จริงแล้ว แต่ละฝ่ายต้องการอะไร อย่าได้เอามวลชนและประเทศไทยเป็นเครื่องสังเวยต่อกิเลสของตัวเองหรือกิเลสของกลุ่มตัวเองอีกเลย ผู้คนอาจจะหลงไปมากมาย แต่ผู้มีสติและมองเห็นความจริง เขาย่อมแยกแยะออกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อคนทั้งหลายหรือประเทศชาติ หรือเป็นไปเพื่อเกื้อกูลกับใคร กับกลุ่มใด คนทั้งหลายในประเทศนี้ ต้อง แยกให้ออกว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ เป็นสิ่งเกื้อกูลต่อคนทั้งหลายและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง (ขอย้ำว่าอย่างแท้จริง) สิ่งใดเป็นข้าศึกต่อความสงบสุขสันติและไม่เกื้อกูลต่อประเทศชาติประชาชนที่แท้จริง เชื่อว่า... สักวันก็จะปรากฏ แต่ผู้ผู้คนทั้งหลาย ต้องเรียกสติกลับมาให้ได้โดยเร็ว เหตุเพราะว่า พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญต่อความรู้ แต่ความรู้ก็น้อยค่ากว่าปัญญา และปัญญาก็น้อยค่ากว่าสติ ณ สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ บางที เรากำลังต้องการคนมีสติให้มากกว่าคนที่มีความรู้ และปัญญา
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2556 3:22:44 น. |
Counter : 939 Pageviews. |
|
|
|