Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 มกราคม 2550
 
All Blogs
 

รวมเล่ม "วลีใจ"

"วลีใจ"

หนังสือทำมือเล่มแรก


คิดมาระยะหนึ่งว่าอยากจะลองทำหนังสือทำมือบ้าง
แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำสักที
ตอนแรกอยากจะจัดพิมพ์เป็นเป็นกิจลักษณะ แต่กลัวขาดทุน ถ้าจะเสนอสำนักพิมพ์ก็คงไม่ผ่าน........(รู้ตัวดี)
จึงทำเล่นๆเล็กไปตามเรื่อง
ฮา 5555
พอดีให้น้องที่รู้จักกันออกแบบปกให้
รูปแบบปกก็เป็นอย่างนี้






ส่วนรูปปกเป็นรูปถ่ายไว้นานแล้ว
เมื่อครั้งไปเที่ยวทะเลทางใต้
ความจริงนึกไม่ออกว่าจะเอารูปไหนดี
ไม่มีตัวเลือกก็ตัดสินใจใช้รูปนี้


งานเขียนชุดนี้ใช้ชื่อว่า "วลีใจ"
เพื่อเป็นการเก็บรวมรวมงานเขียนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจัดกระจายอยูไว้เป็นเล่ม เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรักษา และถ้ามีร้านหนังสือทำมือที่ไหนก็อาจจะลองนำไปฝากขาย ฮาๆ คิดการใหญ่

ลองเอาปกมาให้ดูก่อนนะครับ
ตอนนี้กำลังจัดทำอยู่
กะจะให้เสร็จภายในปลายเดือนนี้
อย่างไร ถ้าหากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆแวะเข้ามา ก็ช่วยวิจารณ์ด้วยนะครับ


เกรียงไกร หัวบุญศาล
๘ ธันวาคม ๒๕๕๐





 

Create Date : 08 มกราคม 2550
8 comments
Last Update : 20 มีนาคม 2550 10:10:03 น.
Counter : 940 Pageviews.

 

บางส่วนใน
รวมเล่ม
"วลีใจ"


*****************

เวลาโลก

เช้าวันนี้หลายคนคงดีกว่าเมื่อวาน ลองสงบนิ่งสักชั่วนาทีดูสิ นั่นสายลมพัดโปรยมาแผ่วเบาจากริมหน้าต่าง นกกระจอกโบยบินไปมาตามซอกตึก ผู้คนออกไปทำงาน
มันเป็นอีกเช้าของวันที่แสนธรรมดา

ชีวิตเราก็ผ่านไปอีกวัน เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง แต่เราตายลงไปทุกวัน เสื่อมสภาพลงไปทุกเวลานาที
เวลาแห่งการเป็นมนุษย์มิได้ยืนยาวอะไรนัก คุณค่าแห่งเวลานาทีจึงมีค่ายิ่ง
แต่ก็แปลกเสียยิ่งกระไร
มีคนไม่มากนักที่เห็นคุณค่าของเวลา พยายามสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นทั้งต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ทั้งที่ร่วมสังคมเดียวกันและต่างสังคมกัน มิได้เลือกชนชั้นวรรณะ ต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษา ต่างผิวพรรณ
และมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน

แต่ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันเวลา
มนุษย์สว่นใหญ่ล้วนเอาเปรียบกัน อาจจะด้วยเหตุผลของความอยู่รอด การมีหน้ามีตาในสังคม การต้องการอำนาจ และอีกหลากหลายเหตุผลที่จะยกมาอ้าง
ทั้งที่เวลาของมนุษย์มีไม่มากนัก ควรที่จะทำให้ประจักษ์ถึงคุณงามความดีของกันและกัน ให้และถ่ายทอดมิตรภาพต่อกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่จะยืนยาวต่อไปในอนาคตกาล
มิสูญสลายไมตามกาลดุจเช่นเรือนกายของเราที่ถูกกำหนดด้วยเวลาและอายุขัย
ให้คุณค่าแห่งความดีดำรงอยู่ชั่วหล้าอวสาน

แต่ช่างน่าเศร้าใจเสียยิ่งกระไร
ผู้คนต่างแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกกัน ทำร้ายและฆ่าฟันกันมิหยุดมิหย่อน เพื่อให้ตัวเองได้เสพสุขในช่วงเวลาอันสั้นแห่งชีวิตของตัวเองที่ดำรงอยู่ในโลกนี้

เวลาแห่งชีวิตยิ่งสั้นเท่าไร มนุษย์ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะคิดในมุมมองที่ว่า ชีวิตอันสั้นยิ่งต้องแสวงหาและเสพสุข โดยอาจไม่เลือกวิถี ศรัทธาในวิถีอันชั่วร้ายต่างๆ
มิได้คิดว่าชีวิตยิ่งสั้นยิ่งต้องสร้างคุณงามความดีให้เหลือล้น

วันนี้ ข่าวการฆ่ากันที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำรงอยู่เหมือนเช่นทุกวัน
ในอิรัก การฆ่ากันก็ยังไม่หยุด
หรือว่าความสุขของมนุษย์คือการทำร้ายซึ้งกันและกัน

๘ ธ.ค. ๒๕๔๘

********************************



 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 16:50:44 น.  

 

สูง-ลึก






ภูเขาสูง
แม้สูงเพียงใด
ก็มิอาจเสียดยอดไป
ถึงสรวงสวรรค์


หุบเหวลึก
แม้ลึกเพียงใด
ก็มิลึกลงไปถึง
ก้นบึงนรก


ที่สูงสุด
และลึกสุด
อยู่ที่
จิตใจ.



๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙



 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 16:55:51 น.  

 

ลองคิด




อีกวันผ่านไป
อีกเดือนผ่านไป
อีกปีผ่านไป
ผ่านไปอีกหลายๆปี
และผ่านไป
อีกหลายๆสิบปี

เวลาของเรา
เริ่มเหลือน้อยมากแล้ว

ลองคิดสักครั้ง
ได้ทำประโยชน์อะไรบ้าง
เพื่อประดับไว้
ในโลกนี้.




๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙

 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:04:31 น.  

 

ไปสูจุดหมายใด



.....................หลายครั้งผมเคยเกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วชีวิตคนเรามุ่งไปสู่จุดหมายใด ความสุขและมั่นคงแท้จริงของมนุษย์นั่นคือสิ่งใด ความสำเร็จที่ได้มานั้นคือสิ่งที่จะตอบสนองความสุขได้จริงหรือ

....................เป้าหมายสูงสูงของมนุษย์คือความสุขละความสำเร็จ

.......................ถ้าหากใครตั้งสมมุติฐานอย่างนี้ คนนั้นคงต้องหมั่นร่ำเรียนศึกษาเพื่อให้จบการศึกษาที่ถือว่าเป็นขั้นพื้นฐานที่จะเชิดหน้าชูตาคนในสังคมได้ ซึ่งก็คือ ต้องจบปริญญาตรี (คนที่มีความพร้อมมากกว่านั้นก็ต้องจบปริญญาโท หรือปริญญาเอก) เมื่อจบปริญญาตรีก็ต้องหางานทำ ทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะทำงานที่สบายตามวุฒิการศึกษาที่ตัวเองเรียนจบมา คนที่สอบเข้าทำงานราชการได้ก็อาจจะดีตรงที่งานมั่นคง แม้ว่าจะเงินเดือนหรือผลตอบแทนน้อยกว่าผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน

..........................คนที่ทำงานในภาคเอกชนย่อมต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่สูง หลายคนประสบความสำเร็จเหมือนที่ตั้งความหวังไว้

........................แต่ชีวิตของผู้คนอีกมากมายยังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขสมหวัง แต่ยังไม่อาจจะไขว้คว้ามาได้ อาจจะเป็นด้วยหลายปัจจัย ทั้งความเก่ง ความฉลาด ในการไขว่คว้า

...........................เมื่อเวลาผ่านไป ความรวย ความจนเริ่มเป็นสิ่งที่ฉายชัดขึ้นในชีวิตของผู้คน บางคนทำงานไม่ใหญ่โตนัก แต่ทรัพย์สินของพ่อแม่หรือสินทรัพย์ที่เป็นมรดกคอยเกื้อหนุน ก็ทำให้สถานภาพของคนนั่นดูดีกว่าคนที่ไม่มีสินทรัพย์อะไรติดตัวมา

..................ความต่างชั้นเริ่มเกิดจากสองปัจจัย
..................หนึ่งคือการไขว่คว้าเฉพาะตัวแล้วประสบความสำเร็จ
.................สองคือมีสินทรัพย์มรดกคอยเกื้อหนุน
..................นอกจากนั้นยังต้องดิ้นรนต่อสู้ต่อไป
..................ความต่างชั้นยิ่งห่างไกลออกไป
..................ค่านิยมทางสังคมจึงถูกกำหนดด้วยทรัพย์สิน ฐานทางสังคมที่สูงกว่า

...................ความจริงใจในกันและกันจึงนับวันจะลดน้อยลงทุกที เงื่อนไขในการดำรงชีวิตจึงเปลี่ยนไปตามทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ฐานะ

...................ความจริงแล้วนัยยะนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่บรรพกาลกาล

....................แต่ผมคิดว่า เมื่อโลกเปลี่ยนไป สิ่งที่ยึดติดเหล่านี้น่าจะหมดไป ทุกคนน่าจะมีสิทธิ์เสรีในการดำเนินชีวิตที่ปราศจากกฎเกณฑ์เหล่านั้น

...................โลกที่พัฒนาขึ้น
....................ความจนหรือความรวย

....................ไม่น่าจะกลายเป็นกำแพงที่จะทำให้คนในสังคมปัจจุบันปราศจากเสรีภาพในการใช้ชีวิต ความร่ำรวย ยากจน ความมั่นคง ไม่น่าที่จะเป็นกำแพงกั้นทางชนชั้นในสังคมอีกต่อไป

.......................มนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวสักกี่สิบปี ความรวยหรือยากจนก็ใช่จะช่วยพัฒนามาตรฐานความเป็นมนุษย์ให้สูงส่งสักเท่าไร

.........................ความเข้าใจในกันและกันน่าจะเป็นสิ่งที่พิสุทธิ์ค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์

.........................การได้เลือกในสิ่งที่ตนปรารถนา น่าจะเป็นความสุขและสมหวังหรือประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์มากกว่าสินทรัพย์หรือคุณค่าใดๆที่มนุษย์บางจำพวกสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา

........................แต่คนส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะยอมกระทำตามกฎเกณฑ์นั้นมากกว่าที่จะยอมกระทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนาอย่างแท้จริง เพราะหวาดกลัวที่จะผิดไปจากกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนด แม้ว่าเมื่อเอาชีวิตตัวเองไปอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้นแล้วจะทุกข์ทรมานใจอย่างไร ก็เหมาเอาว่า นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด สุขที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด และยิ้มหลอกใครต่อใครว่ามีความสุขถึงที่สุดแล้ว

......................ค่านิยมได้ฝังหัวของมนุษย์มาเนินนาน และพร้อมที่จะยอมตามค่านิยมนั้น เพราะหลายชั่วชีวิตคนได้พิสูจน์มาแล้วว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด

........................อย่างน้อยค่านิยมความนวยและมีฐานันดรที่สูงส่งก็ทำให้ไม่ทุกข์กาย แม้ว่าจะทุกข์ใจอยู่บ้าง

................ผมอาจคิดในสิ่งที่แตกต่าง
.................ผมคิดว่า
.................แท้จริงในชีวิตมนุษย์นั้น
ล้วนเป็นเป็นไปเพื่อ กิน อยู่ และสืบพันธุ์

................นอกจากนั้นก็เป็นการพัฒนาในด้านจิตใจที่เกื้อกูลกันเพื่อให้โลกมีสันติสุข

..................แต่ไม่อาจจะปราศจากการ กิน อยู่ สืบพันธุ์
แล้วทำไมเล่ามนุษย์จะคิดอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายถึงเพียงนั้น
วิทยาการเทคโนโลยีต่างๆที่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วก็เพื่อตอบสนองการ กิน อยู่ และสืบพันธุ์หรือดำรงเผ่าพันธุ์ในมนุษย์ไม่ใช่หรือ
................ทำไม
................มนุษย์เราคิดมากมายไปกว่านั้น.


(บังเอิญตรงกับประประกาศสถานการ์ฉุกเฉิน คืนที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ )
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙



 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:06:37 น.  

 



ประกายหยดน้ำ


..................ฝนตกเมื่อคืน ทำให้อากาศในยามเช้าสดชื่น ความจริงแล้วอากาศเย็นสบายมาตั้งแต่เมื่อคืน ห้องเช่าพัดลมที่ผมเช่าอยู่จึงไม่ต้องอาศัยการส่ายของพัดลมเพื่อคลายร้อน โดยเฉพาะฝนตกช่วงปลายฤดูฝน ผมรู้สึกว่าเป็นช่วงที่สดชื่นเป็นพิเศษ จินตนาการของผมล่องลอยไปไกลถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน แม้ว่าความเป็นจริงแทบจะหาความหนาวหรือฤดูหนาวในกรุงเทพฯไม่ได้แล้ว

.....................หลังอาบน้ำเสร็จผมเปิดประตูหลังห้องออกไป เพื่อจะตากผ้าเช็ดตัว เมื่อมองไปที่เหล็กดัด ผมเห็นหยดน้ำเกาะพราวอยู่หลายหยด จะเป็นหยดน้ำฝนหรือว่าหยดน้ำค้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ำฝนหรือหยดน้ำค้าง มันก็ดูงดงามอย่างยิ่ง เมื่อมันเปล่งประกายสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องมา แม้ว่ามันจะไม่ใช่หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้าที่ต่างจังหวัดในวัยเด็กที่ผม

..........................หลงใหล แต่มติของความงดงามที่เกิดขึ้นประกายของหยดน้ำเบื้องหน้า ก็ทำให้ได้สัมผัสกับมุมมองที่แปลกออกไปในชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่

.........................ความจริงแล้ว ความงามมันซ่อนอยู่ในมุมที่ผมมองไม่เห็น ราวกับว่ามันรอเวลาที่จะเผยตัวออกมาเมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึง

........................ความงามของหยดน้ำค้างที่ผมหลงใหลในวัยเด็กไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่ใกล้ๆ เพียงแต่ต่างสถานที่ และเวลา เมืองใหญ่ทำให้บรรยากาศอันสดชื่นและสวยงามของน้ำค้างที่เคยได้สัมผัสในวัยเด็กหรือได้สัมผัสเมื่อเดินทางออกไปท่องเที่ยวลดลงไป แต่มันก็ยังเหลือความงดงามที่ทรงคุณค่าอยู่ ถ้าหากมองให้เห็นความจริงในการดำรงอยู่ของมัน

.........................เช้านี้อาจเป็นเพราะว่าผมตื่นเช้ากว่าปกติในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา จึงทำได้สัมผัสกับความงดงามบางอย่างที่ขาดหายไป

............................แท้จริงแล้ว คุณค่าและความงามในโลกนี้ ล้วนอยู่ในวิถีชีวิตของคนเราทุกคน เพียงแต่คนเรามองไม่เห็น หรือไม่คิดที่จะมอง จนกระทั่งในบางครั้ง เมื่อสูญเสียไปแล้วจึงเห็นคุณค่าหรือเข้าใจ แล้วอาลัยโหยหาอยากให้สิ่งนั้นกลับมาอีกครั้ง ซึ่งในบางสิ่งอาจไม่กลับมาให้สัมผัสได้อีกเลยตลอดกาล

.............................ประกายหยดน้ำที่อยู่เบื้องหน้าของผมขณะนี้ ทำให้ผมได้มุมมองใหม่ที่แตกต่างออกไป ได้เห็นความงามที่อยู่ใกล้ๆแค่เอื้อมมือสัมผัสถึงถึง แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความงดงามที่สมบูรณ์เหมือนที่เคยได้สัมผัส แต่มันก็แทนที่ความโหยหาบางอย่างในหัวใจของผมได้



๑๙ กันยายน ๑๕๔๙




 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:07:48 น.  

 



ทุ่งหญ้าแห่งความฝันและฟ้าคราม






.............ก่อนนี้

............เราเหมือนกับม้าป่า วิ่งไปในทุ่งหญ้าแห่งความฝัน เสรีที่งดงาม เหนือพรมหญ้าสีเขียวขจีเนียนนุ่มเท้า ปูลาดไปทั้งผืนแผ่นดินและเนินเขาอันอุดมสมบูรณ์
.............ภายใต้ท้องฟ้าสีครามเวิ้งว้างไร้ขีดกั้นเหมือนเส้นทางที่นำเราไปสู่จุดหมายอันไม่สิ้นสุด แต่มันคือความท้าทายและความฝันที่เรากำลังวิ่งไปสู่
............เรามีความฝันคือผืนหญ้าอันกว้างใหญ่และผืนฟ้าไม่สิ้นสุด
............ไม่มีใครมาบ่งชี้เราว่าเราจะวิ่งไปทางไหน ไปสู่จุดหมายใดเหมือนที่ใครต้องการ
............แต่เรากำลังวิ่งไปสู่จุดหมายของเราซึ่งเราเลือกที่จะมุ่งไป
............แม้เหนื่อยล้าในเส้นทาง แต่เราก็ไม่เหนื่อยล้าแรงใจ
............ได้สัมผัสมืออันอบอุ่น ถ่ายทอดความรู้สึกถึงกัน พร้อมฝันฝ่าอุปสรรค์นานัปการหากมันจะเกิดขึ้นในเส้นทางที่เรามุ่งไป
............ดวงตาของเธอเปี่ยมพลัง อบอุ่นและชวนฝัน เปล่งประกายและหนุนใจให้ฉันไม่ท้อแท้ และพร้อมจะนำเธอสู่จุดหมายด้วยกัน แม้นทางเส้นนั้นจะไกลแสนไกล





.............บัดนี้

............เธอเหมือนม้าที่ถูกคนที่ดักจับมากักขังเอาไว้ในคอกขัง
...........อิสระเสรีเหนือพรมหญ้าอันเขียวขจี และท้องฟ้าสีครามสิ้นสุดลง
............ฉันไม่อาจกระโดดข้ามรั้วและกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างเราเพื่อไปสัมผัสกันและกันได้เหมือนเคย เมื่อคนเฝ้ายามยังคงดูแลคอกม้าอย่างแข็งขัน
............และแท้จริงแล้ว เธอก็พอใจในรั้วและกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างเราเหล่านั้น
...........เธอไม่กล้าที่จะป่ายปีน แม้มีโอกาสในบางครั้งที่ฉันมาเพื่อจะช่วยเธอออกไป ในขณะที่คนดูแลคอกม้าเผลอไผล
............เธอไม่คิดที่จะทะยานออกไปสัมผัสทุ่งหญ้าเขียวขจี และท้องฟ้าสีครามอันอิสระเสรีเหมือนเคยวิ่งไปในทุ่งหญ้าและท้องฟ้าสีครามด้วยกันเหมือนก่อน
...........ลืมแม้กระทั่งรสชาติผืนพรมหญ้าเขียวขจีที่เคยสัมผัส และท้องฟ้าสีครามที่เคยฝัน
............เมื่อคนดูแลม้าคอยเอาหญ้ามาป้อนเธอถึงในคอกขังอยู่ทุกวัน




................วันข้างหน้า

...............เราต่างห่างไกล...ไกล...และไกล....
ไกลกันคนละฟากฟ้า
.............ฉันคงได้แต่มองผืนหญ้าเขียวขจีอย่างเดียวดาย
.............มองท้องฟ้าสีครามอย่างเปลี่ยวเหงา
............เส้นทางที่ยาวไกลยิ่งจะอ้างว้าง...เหน็บหนาว...และลึกร้าวอยู่ภายใน



๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
เวลา ๐๑: ๕๓ นาฬิกา

 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:10:29 น.  

 

การเดินทางที่ไร้จุดหมาย

..........................................................................



...........ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าเปล่าเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ เป็นวันเสาร์ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) แม้เป็นวันหยุดอันเป็นวันช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนสุดสัปดาห์

..........ทว่า...ในห้วงคำนึงถึงบางเรื่องราว กลับมิอาจที่จะหยุดครุ่นคิดคำนึงได้ การอยู่คนเดียวเหมือนกับถูกหลอกหลอนจากความเงียบ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว

...........เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต
บางครั้งเรื่องราวบางเรื่องในใจคนเรา นับวันจะกลายเป็นบาดแผลที่กัดเซาะจิตใจให้ลึกลงยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป

...........ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก...สิ่งที่ทำได้ก็คือ....การเดินทางไปในที่ใดที่หนึ่ง

............แต่ฉันนึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหน แม้มีเส้นทางมากมาย แต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหนดี

.................ริมทะเล........ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงสมอง ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไป

................บางแสน....ฉันกำหนดจุดหมายปลายทาง พร้อมกับบังคับพวงมาลัยมุ่งไปสู่ถนนพระรามเก้า เพื่อจะตรงไปสู่ถนนไฮเวย์

................และคลับคล้ายกับได้ยินเสียงคลื่นทะเลก้องกังวานอยู่ในโสตประสาท และอุปทานสัมผัสถึงไอเย็นของทะเลที่สดชื่น



.............แต่แล้วเมื่อผ่านช่องทางเก็บเงินค่าทางด่วนไปได้สักระยะ ฉันก็หักพวงมาลัยออกซ้ายเข้าสู่ทางที่จะตรงจังหวัดฉะเชิงเทรา

................ฉันรู้สึกว่า....ฉันไม่อยากจะสัมผัสกับไอเย็นอันสดชื่นของท้องทะเลเหล่านั้นแล้ว

..........ฉันอยากจะขับรถไปเรื่อยๆ

............ฉันรู้สึกว่าฉันอยากจะสัมผัสกับบรรยากาศของต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังแห้งกรอบของเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางที่อากาศร้อนในช่วงนี้

............บางที...ซากความตายของกิ่งไม้ใบหญ้าอาจจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นกว่าที่จะไปสัมผัสความสดชื่นของบรรยากาศริมทะเล และฟังบทเพลงของลูกคลื่นที่ขับกล่อมเมื่อยามที่มันโถมเข้ามาจูบลูบไล้ชายหาด

............ก่อนจะเข้าตัวเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉันเลี้ยวขวาตรงไปยังอำเภอพนมสารคาม

................สองข้างทางเป็นท้องทุ่งสลับกับบ้านเรือน ต้นไม้ที่เรียงรายตรงกลางถนนอันเป็นเสมือนเกาะกลางถนนถูกตัดจนเหลือแต่กิ่ง ราวกับจะรอให้มันผลิใบใหม่ในฤดูฝนที่จะมาเยือน

................ผ่านอำเภอพนมสารคาม ฉันยังคงขับรถต่อไปอย่างไร้จุดหมาย บางช่วงฉันขับด้วยความเร็วถึงร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ฉันไม่รู้สึกถึงความเร็วหรือช้า

...............บางช่วงฉันก็ชะลอความเร็วลงและวิ่งในช่องทางซ้ายเพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทาง

................ต้นไม้ใบหญ้าทั้งสองข้างทางที่ผ่านเหมือนพวกมันกำลังอยู่ในช่วงแห่งความซึมเศร้า หม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวา แต่ฉันกับรู้สึกว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเดินทางของฉัน

.............กระทั่งถึงแยกเขาฉกรรจ์ ฉันเลี้ยวขวาเข้าถนนตัดใหม่ที่จะตรงไปจังหวัดสระแก้ว สองข้างทางเป็นพื้นที่รกร้าง และเป็นพื้นที่ปลูกต้นยูคาลิปตัสของสวนป่ากิตติ

...........ถนนเส้นนี้มีแค่สองช่องทาง รถต้องวิ่งสวนทางกัน บางคันวิ่งแซงขึ้นมาต้องคอยหลบลงไหล่ทาง ต้องขับรถอย่างระมัดระวังกว่าเดิมหลายเท่า

...........ฉันเคยผ่านถนนเส้นนี้หลายครั้ง จึงพอรู้จังหวะในการขับ....เพียงแต่การมาของฉันในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง

................ครั้งก่อนๆฉันท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ เสียงหัวเราะและความสนุกสนานจากการพูดคุยกันดังอยู่ตลอดการเดินทาง

...........แต่ครั้งนี้ ฉันมาอย่างไม่มีจุดหมาย และมุ่งไปพร้อมกับความเงียบ

...........จากแยกที่ฉันเลี้ยวขวาเข้ามาไม่นานนัก ก็ถึงแนวป่าของต้นสักที่ขึ้นอยู่ทั้งสองข้างทาง ถนนเส้นนี้แคบ รถวิ่งค่อนข้างเร็ว และไม่ค่อยมีบ้านเรือของผู้คน การจอดรถข้างทางเป็นอันตรายมาก

..........ชั่วขณะนั้น ฉันเลี้ยวรถเข้าไปข้างบริเวณพื้นที่ว่างของแนวป่าต้นสัก ไกลจากถนนจนไม่ได้ยินเสียงรถ

.........ฉันอยากจะอยู่ในมุมสงบสักชั่วขณะ

............ฉับกดปุ่มบังคับกระจกข้างรถลงทั้งสองข้าง ไอร้อนผะผ่าวอู้เข้ามาจนร้อนวูบ พร้อมกับดับเครื่องยนต์



............ต้นสักอายุประมาณสามปีถึงสี่ปีทอดต้นเรียงรายเป็นระเบียบ ใบของมันเป็นสีเหลืออมน้ำตาลประดับอยู่แค่บางกิ่งก้านของแต่ละต้น

...............ใบส่วนใหญ่ของมันร่วงลงเกลื้อนพื้นปะปนอยู่กับหญ้าแห้ง รอให้เวลาค่อยๆย่อยสลายซากไปตามวัฏฏะ

............ฉันมองลำต้นที่ตั้งตรงเป็นแท่งๆราวแท่งเทียนเรียงรายของป่าสักที่กินบริเวณกว้างอย่างเงียบงัน

.........ใบแก่ของต้นสักหลุดร่วงจากกิ่งก้านเป็นระยะ และหมุนคว้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนร่อนลงสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบาและเงียบงัน

.......ฉันเหม่อมองอย่างสงบนิ่ง
..........บรรยากาศยามนี้ คล้ายกับว่า โลกทั้งโลกระบายด้วยสีเหลืองปนสีน้ำตาล และสีเทาแต่งแต้มอยู่ทั่วไป ราวกับใครเอาสีไม่กี่สีนี้มาป้ายเอาไว้ แต่เป็นสีสรรที่ไร้ชีวิตชีวา

...........ทว่ายามนี้ ฉันกลับรู้สึกว่าบรรยกาศอย่างนี้แหละคือความงามอย่างแท้จริง ฉันอยากจะสงบนิ่งอยู่กับมันสักช่วงเวลาหนึ่ง

.........อยากเก็บภาพนี้เอาไว้ในห้วงทรงจำ แม้ฉันจะเอากล้องถ่ายรูปติดมาด้วย

.......แต่ยามนี้ฉันต้องการที่จะให้มันสดสวยอยู่แค่ในความทรงจำเท่านั้น อีกอย่างแม้ฉันจะถ่ายภาพบรรยากาศเหล่านี้เอาไว้ ฉันก็ไม่อาจถ่ายเอาจิตวิญญาณของมันที่ฉันได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งได้

...........บางครั้งฉันรู้สึกว่า...ภาพบางภาพมันควรจะอยู่ในความทรงจำเท่านั้น

.........นั่น...ใบของต้นสักที่อยู่ใกล้ๆฉันร่วงลงมาอีกใบแล้ว มันหมุนคว้างอย่างสวยงามก่อนลงสัมผัสพื้นดิน ....แต่ทุกอย่างยังคงเงียบงัน

........บริเวณโดยรอบร้างไร้ผู้คน จะมีก็รถบนถนนที่ฉันมองเห็นอยู่ลิบแต่ปราศจากเสียง

.............ความหวาดหวั่นบางอย่างผ่านเข้ามาในความรู้สึก

.................ฉันไม่ใช่คนที่นี่ และขับรถลงมาจอดที่นี่ หากมีใครหรืออาจเป็นคนในถิ่นนี้ผ่านมาอาจจะคิดว่าฉันบ้าก็ได้ ที่จู่ๆก็ขับรถเข้ามาจอดอยู่ในที่เปลี่ยวร้างอย่างนี้

.........หรืออาจมีคนจี้ก็ได้ ฉันคงกลับตัวและตั้งรับไม่ทันแน่

..........แต่ฉันก็เข้ามาอยู่ในนี้แล้ว

..........ฉันยังคงนั่งสบนิ่งอยู่ภายในรถ ปล่อยให้เวลาค่อยๆผ่านไป

..........จนกระทั่งแสงแดดเป็นมุมเฉียงกับท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงเห็นแสงของมันเป็นมุมเฉียงพุ่งผ่านเข้าไปสู่แนวของต้นสักที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าพุ่งไกลเข้าไปเรื่อยๆตามดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำ ให้รู้สึกถึงความลึกลับมากยิ่งขึ้น

............ขณะที่ความกลัวในความปลอดภัยก็ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกที่ละน้อย ราวกับมีบางสิ่งบางอย่าที่ไม่ปลอดภัยคืบคลานเข้ามา

.............ไม่นานนักฉันก็สตาร์ทเครื่องยนต์ กดปุ่มบังคับกระจกรถทั้งสองข้างขึ้น แล้วค่อยๆขับออกไปช้าๆ

.........ฉันอดที่จะเหลียวมองอีกครั้งไม่ได้
............ต้นสักเรียงรายอย่างสงบนิ่ง ใบแก่ของมันค่อยๆร่วงลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา

..........ฉันรู้สึกอาลัยอย่างบอกไม่ถูก...แต่ฉันก็หักพวงมาลัยรถขึ้นสู่ถนน แล้ววิ่งไปข้างหน้า ผ่านป่ายูคาลิปตัสที่ที่สภาพไม่ต่างจากสักที่ฉันเพิ่งจากมาเท่าไรนัก

...........หากไม่เย็นเสียก่อน ฉันจะเลี้ยวรถเข้าไป แล้วนั่งมองมันอย่างสงบนิ่งอีกสักพัก

..........อยากจะมองดูลำต้นที่เรียงรายแต่สูชะรูดเพราะเป้นไม้ที่โตเร็วของมัน

...........แล้วมองดูใบเรียวของมันที่คงเหลืออยู่บนกิ่งก้านไม่มากนัก ค่อยๆร่วงลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน.



๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
๐๒ :๕๔ นาฬิกา


 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:13:14 น.  

 



เปิด




ในความเงียบ
มีเสียงดนตรี

ในความมืด
มีแสงสว่าง

ในความเลวร้าย
มีความงดงาม



เพียงแค่.......

ยอมเปิดหัวใจ
ออกดู.



๑๔ กันยายน ๒๕๔๘



 

โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:22:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


huaboonsan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





.....มีความฝันเป็นเรือ
ล่องลอยไปในทะเล
แห่งกาลเวลา............

Friends' blogs
[Add huaboonsan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.