|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
12 พระตำหนัก ที่ประทับทรงงานแสนเรียบง่าย ของในหลวง ร.9 และพระราชินี
ชมความเรียบง่ายของ 12 พระตำหนัก สถานที่ประทับและทรงงานตลอด 70 ปีในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ตลอดการทรงงาน 70 ปี ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ไปยังพื้นที่ต่างเพื่อเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือราษฎร ซึ่งสถานที่ประทับของทั้ง 2 พระองค์เมื่อต้องทรงงานเป็นเวลานานคือ พระตำหนักต่าง ๆ ที่ทรงโปรดเกล้าฯ สร้างขึ้นรวมถึงพระตำหนักที่ถูกสร้างไว้ก่อนแล้ว วันนี้กระปุกดอทคอมก็จะพาไปชมความเรียบง่ายของ 12 พระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จฯ ไปประทับและทรงงานทั่วทุกภาคของประเทศไทยดังนี้
1. พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
รัชกาลที่ 6 มีพระราชดำริได้สร้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐานขึ้นในปี พ.ศ. 2456 สำหรับเสด็จฯ มาประทับเมื่อมีพระราชพิธีต่าง ๆ เป็นอาคาร 2 ชั้นตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ล้อมรอบด้วยคู รั้วเหล็ก และประตู 4 ทิศ ปัจจุบันเป็นพระตำหนักที่ประทับถาวรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างสถานศึกษาชื่อว่า "โรงเรียนจิตรลดา" ศาลาดุสิดาลัย และสถานที่ทดลองโครงการส่วนพระองค์เกี่ยวกับการเกษตร อาทิ การปลูกข้าว การเลี้ยงปลานิล ฟาร์มเลี้ยงโคนม ฯลฯ ภายในพระตำหนักแห่งนี้ด้วย
2. วังไกลกังวล
ในปี พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังไกลกังวลด้วยสินทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในช่วงฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สำหรับทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ภายในประกอบด้วย 4 พระตำหนัก ได้แก่ เปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม เอมปรีย์
3. พระตำหนักสิริยาลัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริให้สร้างเนื่องในอากาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนพรรษาครบ 5 รอบในปี พ.ศ. 2534 เพื่อใช้เป็นที่ประทับเวลาเสด็จมายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระตำหนักแบบไม้ยูคาลิปตัส ศิลปกรรมแบบหมู่เรือนไทยโบราณ ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ โดยมีศาลาริมน้ำและมีบันไดบริเวณท่าน้ำด้วย
4. พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีลักษณะเป็นแผนผังแบบเรือนไทยภาคกลางที่เรียกว่า เรือนหมู่ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นไทยประเพณีประยุกต์ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2504 โดยใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อทรงใช้เป็นที่ประทับเมื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ ทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ รวมทั้งรับรองพระราชอาคันตุกะที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในโอกาสต่าง ๆ
5. พระตำหนักกว๊านพะเยา
พระตำหนักที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จฯ มาประทับ ณ พระตำหนักหลังนี้ปีละครั้งเพื่อทรงงานเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งตั้งอยู่ภายในศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา จังหวัดพะเยา ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2514 โดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับใช้เป็นสถานีเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดเพื่อแจกจ่ายแก่เกษตรกร ได้แก่ ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ปลายี่สกเทศ นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงามที่หาดูยากไว้หลายชนิดพร้อมทั้งเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าชมทุกวัน
6. พระตำหนักดอยตุง
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พร้อมทั้งทรงจัดตั้งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ซึ่งภายหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงรับมูลนิธิไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และทรงโปรดให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานดูแลการดำเนินงาน
7. พระราชตำหนักเขาค้อ
พระราชตำหนักเขาค้อ ตั้งอยู่บนเขาย่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประชาชน ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ และทหาร ได้จัดสร้างพระตำหนักเขาค้อขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นที่ทรงงานและแปรพระราชฐานมาประทับแรม ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาตรวจเยี่ยมโครงการตามพระราชดำริในพื้นที่เขาค้อ ภายในพระตำหนักประกอบด้วยอาคารเชื่อมต่อกันลักษณะรูปวงแหวน มีเรือนข้าราชบริพารเป็นส่วนเชื่อมต่อกับพระตำหนัก อาคารมีลักษณะโค้ง 2 ชั้น ชั้นบนมี 2 ห้องใหญ่ ซึ่งเป็นห้องพระบรรทม ชั้นล่างประกอบด้วยห้องพระราชทานเลี้ยง ซึ่งมีห้องครัวอยู่ทางด้านหน้า ห้องเสวย ห้องเข้าเฝ้าฯ และห้องโถงใหญ่
8. พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ในจังหวัดสกลนคร เป็นพระตำหนักที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2518 บริเวณเทือกเขาภูพาน โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้แผนที่ทางอากาศและเสด็จฯ สำรวจเส้นทางป่าเขา น้ำตก เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ก่อสร้างพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ภายหลังทรงใช้เป็นที่ประทับในช่วงแปรพระราชฐานมาประทับเพื่อทรงติดตามโครงการพระราชดำริในภาคอีสาน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชน ข้าราชการเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จฯ ตามภารกิจและเข้าชมบริเวณพระตำหนักชั้นนอก
9. พระตำหนักหนองประจักษ์
พระตำหนักหนองประจักษ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหนองประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่เสด็จประทับแรมของกรมหลวงประจักษ์ในครั้งที่เสร็จมาทรงงานที่มลฑลอุดร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาประทับในปี พ.ศ. 2498 เมื่อครั้งเสด็จฯ มาที่อุดรธานีและเสด็จฯ ไปจังหวัดหนองคาย
10. เรือนรับรองที่ประทับแหลมหางนาค
กองทัพเรือได้สร้างเรือนรับรองที่ประทับแหลมหางนาคในปี พ.ศ. 2541 เพื่อเป็นเรือนรับรองที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะ เรือนรับรองเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 4,500 ตารางเมตร
11. พระตำหนักเขาน้อย
พระตำหนักตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 เพื่อเป็นที่ประทับของพลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสงขลา ในปี พ.ศ. 2458 นอกจากนี้ยังเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรชาวใต้เมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2502 12. พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2516 บนเนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 300 ไร่ บริเวณเขาตันหยง จังหวัดนราธิวาส ทั้งยังทรงมีพระราชดำริให้สถาปนิกผู้ออกแบบให้ตัวอาคารมีรูปทรงกลมกลืนกับบ้านเรือนท้องถิ่นผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ภายในมีศูนย์ศิลปาชีพพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระตำหนักแต่ละที่ไม่เพียงมีที่มาอย่างยาวนานและใช้เป็นที่ประทับเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเปลี่ยนตำหนักบางแห่งเป็นสถานที่เรียนรู้เพื่อสร้างรายได้ให้กับปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก rspg, thailand-huahin, เฟซบุ๊ก Royal Archives of OHM, esan108, udonthaniintheworldtoday, bhubingpalace, doitung, hatyaiairportthai และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย //home.kapook.com/view159351.html
Create Date : 29 ตุลาคม 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 29 ตุลาคม 2559 1:19:55 น. |
Counter : 3610 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ลูกสาวเมืองสิงห์ Germany
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
Color Codes ป้ามด
เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย ดูอย่างต้นไม้ซิ มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี อดทนและอดทน เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา เพราะเมื่อเวลามาถึงทุกสิ่งจะดำเนินไป ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่มีสุข
|
|
|
|
|
|
|
|