บันทึกจากคราบน้ำตา
ในหลวง..ในความทรงจำ
ตอนเป็นเด็กโง่ ๆ คนหนึ่ง เคยคิดว่า ในหลวง รัชกาลที่๙ กับ พระเจ้าของฉันนั้นเป็นเพื่อนกัน
ตอนนั้น ยังไม่ได้ไปโรงเรียน มีคนพูดถึงในหลวงให้ฟัง ว่าทรงเสด็จไปยังที่ต่าง ๆ ไปเยี่ยมผู้คน ได้ดูจากภาพในทีวี เรารู้นะว่า คนนี้คือในหลวง แต่ก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าในหลวงคืออะไร
เข้าใจแต่ว่า เป็นในหลวงต้องช่วยผู้คน เหมือนที่ได้ดูตามละครจักรวงศ์ตอนเช้า แถมยังคิดแบบเด็กน้อยด้วยว่า ในหลวงต้องรู้จักกับพระเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกันทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี
จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก คนที่ออกช่วยเหลือผู้คนตลอดเวลา ต้องเป็นเทวดาแน่ ๆ จำแลงลงมาโลกมนุษย์ใช่ไหมล่ะ บอกมานะ บอกมาซะดีดี
คือจำความได้ก็บ้าคุยคนเดียวแล้ว ตลกดี จำได้ด้วยนะ ว่าเคยคุยอะไรกับตัวเองไว้บ้าง
ต่อมาพอเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์เป็น อ้อ ลืมบอกไปว่า ฉันเกิดในยุครอยต่อระหว่างรุ่นใหม่และรุ่นเก่าพอดี เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะได้รู้เรื่องราวเก่าก่อน และยังตามทันเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ได้แบบไม่ตกหล่น พอเริ่มจับต้นชนปลายได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านเรา ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม น่าจะอายุราวสิบขวบ ช่วงที่บ้านเราเกิดจลาจล ภาพของในหลวงเริ่มเด่นชัดขึ้นในความคิดเรา เพิ่งจะเข้าใจว่า ท่านมีตัวตนจริง ๆ นะ ไม่ใช่เทวดาจากที่ไหน แต่ท่านก็ไปได้ในทุกที่ดุจเทวดาผู้ปลดปล่อยทุกข์ยากให้มนุษย์ ฉันเริ่มมีความหวัง มีความคิดว่าอยากเห็นเทวดาเดินดินคนนี้ขึ้นมา จึงถามพ่อแม่ตอนที่นั่งดูทีวีด้วยกันว่า "เมื่อไรในหลวงจะเสด็จมาหาพวกเราบ้าง?"
พ่อบอกเสียงดังเลยนะว่า "โอ้ยยย ท่านไม่มาหรอก อย่ามาฝันเลย ท่านจะไปแต่ท้องถิ่นทุรกันดาร"
????????
แล้วบ้านเราไม่กันดารเหรอ?
"เรายังดีกว่าชาวบ้านอื่น ๆ อีกเยอะ" แม่สมทบช่วยพ่อดับฝันฉัน
"ถ้าในหลวงไม่มาบ้านเรา แล้วเราจะไปหาในหลวงได้ไหม?" แม่มองหน้าฉันจ้องไม่กระพริบ
แล้วบอกว่า "อยากเจอก็ไปสิ ในหลวงอยู่ในวัง ในกรุงเทพฯชั้นในโน่นนนนน"
เท่านั้นแหละจ้ะ คิดเหรอ ว่าเด็กโง่ ๆ คนหนึ่งจะยอมหยุดฝัน
จำได้อีกทีคือ ไม่ว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับพระราชวัง ฉันต้องตั้งตารอดูอย่างจดจ่อ พยายามหาข้อมูลว่า วังที่ว่า ตั้งอยู่ตรงไหน จะไปยังไง จนกระทั่ง วันหนึ่งตอนอายุประมาณสิบสี่ขวบ ผ่านมาสี่ปีนะ เพิ่งจะได้เข้ากรุงเทพฯชั้นในครั้งแรก!!!
วันนั้นไปพระที่นั่งวิมานเมฆ และเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ไปเฝ้าถวายบังคมเก้าอี้ตัวที่ในหลวงเสด็จประทับ แค่ได้เห็นเก้าอี้ก็ยังดี อย่างน้อยก็เข้าใกล้ไปอีกนิดแล้ว
ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะเนี่ย
จะบอกว่าผูกพันในตอนนั้นเลย ยังไม่ใช่ มันเป็นความรู้สึกของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ฝันอยากเห็นคนในทีวี แต่ทีวีก็มีดารา พระเอกมากมาย ไม่เคยมีคนไหนเลยที่จะปรารถนาอยากเห็นมากมายถึงเพียงนี้
จะเริ่มผูกพันขึ้นมาจริง ๆ ก็ตอนที่ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา จำไม่ได้ว่าปีไหน ครูภาษาไทยให้เขียนพรรณนาความส่งในหัวข้อในหลวงของเรา
นั่นแหละ เป็นการคิดถึงในหลวงจริงจังครั้งแรก ถึงแม้จะโตขึ้นมาบ้าง แต่แรงปรารถนาก็ไม่เคยลดลงเลย ยังคงมีความคิดว่า ชีวิตนี้ เราจะไปให้ถึงในหลวงให้ได้ ท่านเป็นตัวแทนของทุกคุณธรรมความดีที่พึงปฎิบัติตาม เป็นคนที่อยู่ในนิยาย หล่อเลี้ยงศรัทธาและหัวใจ ภาพจำที่สุดจะประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็นคือ ภาพที่ท่านปาดเหงื่อออกจากใบหน้า (ขออนุญาตใช้คำเข้าใจง่ายเพื่อให้ทุกคนเข้าถึง)
แล้วสุดท้าย ฉันก็ได้รางวัลจากการเขียนพรรณนาความอันนั้น เราจำไม่ได้หรอก ว่าเขียนอะไรไปบ้าง จำได้แต่เพียงว่า ภาพนั้นมันตราตรึงอยู่ในสำนึกตลอดมา ยามใดที่เราเหนื่อยจนท้อแท้หมดกำลัง เรามักจะบอกตัวเองเสมอว่า "เรายังเหนื่อยไม่ได้ครึ่งของที่พ่อเหนื่อย" คิดแบบนี้ทุกครั้ง ก็ได้กำลังใจกลับคืนมาทุกครั้งเช่นกัน
หยิบภาพในทรงจำ รวมกับแรงปรารถนาที่มีตั้งแต่จำความได้ พอโตจนกระทั่งจะไปไหนก็ได้แล้ว ไม่ว่าในหลวงจะเสด็จออก ณ ที่ใดก็ตาม ขอให้ได้รู้ จะตามไปรอรับเสด็จ ถึงไม่ได้ไป ก็จะดูจากถ่ายทอดสดทางทีวี
ไปจุดเทียนชัยถวายพระพรทุกปี อย่าได้นับครั้ง ถึงไปไม่ได้ ก็ทำเองกับที่อยู่อาศัย
ผูกพันไหม? ไม่น่าจะใช่ บางทีก็สงสัยนะ ถามตัวเองเสมอว่า มาทำไมเนี่ย ลำบากขนาดนี้
ได้เจอไหม? ก็ยังนะไม่ได้เจอสักทีนะ
วันที่๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ ตอนนั้นทำงานอยู่ในไซท์งานก่อสร้างแห่งหนึ่งและเพิ่งจะรู้ข่าวว่า ในหลวงจะเสด็จออกสีหบัญชรตอนเช้า รู้ช้าไป ไปไม่ทัน พอรู้ปุ๊บ ก็รีบจะไปให้ทันตอนรอบค่ำ ที่มีจุดเทียนชัยถวายพระพร ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลัวจะไปไม่ทัน จนคนที่นั่นต้องไล่ให้ไปซะ อยากไปไหนก็ไป ใจอยู่ที่ไหน ก็ไปที่นั่นแหละ วันนั้นมีประชุม แต่ตาเรามองแต่นาฬิกา กลัวไปพลาดรอบค่ำอีก
คือแอบเสียใจลึก ๆ รอมาตั้งแต่สิบขวบเพื่อจะได้รู้ว่าในหลวงเสด็จออกเมื่อไรที่ให้ประชนชนที่ไม่ได้เดือดร้อนเฝ้ารอรับเสด็จได้ รอนานมา พลาดข่าวแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ผูกพันนะ ยังเฉย ๆ ยังคิดแบบเด็ก ๆ ก็แค่อยากเจอเท่านั้นเอง
เวลาผ่านไปได้ไม่กี่เดือน ชีวิตเจอวิบากกรรมหนักมาก หนักกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า หนักแบบ ไม่รู้จะเอาตัวรอดออกไปได้ยังไง ศรัทธาในตัวเองที่มีอยู่ไม่เหลือเลย คนที่เราเคยมองว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนสมบูรณ์แบบ พอถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็เพิ่งรู้ว่า เขาไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็น มันยิ่งเลวร้ายหนักนักเมื่อหันไปมองรอบตัว ก็ยิ่งพบว่า ทุก ๆ คนนั้นล้วนมีความชั่ว ความเลวร้ายมิได้แตกต่างกัน
คิดมาก คิดหนักมาก "กุ เกิด มา ทำ ไม?" คิดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันมีความคิดไม่อยากหายใจแล้ว ยิ่งรู้จักผู้คนมาก ก็ยิ่งสะอิดสะเอียน เกลียดมนุษย์ เบื่อตัวเอง พยายามจะไขว่คว้าหาคนในนิยายอย่างที่ตัวเองเคยคิดว่ามันมีอยู่จริงนะ
ถ้าจะบอกว่าผูกพัน มันเริ่มต้นจากตรงนี้ ตอนที่พยายามมองไปยังทุกคนรอบตัว คนเป็น ๆ จับต้องได้ ที่ได้รู้จัก มองไปจนลึกถึงทุกซอกมุมของชีวิตเขา ก็แค่อยากรู้นักว่า โลกนี้มันจะมีคนสมบูรณ์อยู่สักกี่คน ยิ่งมองยิ่งห่างไกล ไม่เห็นใคร น้ำตาหล่นไหลอาบแก้ม มีคนเดินมา รีบแหงนหน้าขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วเห็นรูปบนผนัง ในหลวงโบกพระหัตถ์ เคียงคู่พระราชินี
"ลืมไปรึเปล่า?" ท่านยังอยู่ทั้งคน ทำไมจะไม่มี คนสมบูรณ์และงดงามที่สุดยืนอยู่ตรงนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเจอตัวจริงท่านเพิ่มมากขึ้นไปอีก
อารมณ์ที่กำลังดำดิ่งลงลึก ถูกกระชากขึ้นมาทันทีนะ พอรำลึกได้ว่ายังมี ฉันก็เริ่มแสวงหาเรื่องราวเพื่อทำความเข้าใ่จ
ก่อนหน้านั้นก็มีพอรู้เรื่องราวมาบ้าง แต่มันไม่อิน ไม่ซาบซึ้ง ไม่มีความผูกพันใด ๆ เกิดขึ้น ต้องขอบคุณทุกเรื่องราวอันเลวร้าย ที่ทำให้เราเพิ่งจะเริ่มต้นค้นหาสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของในหลวงรัชกาลที่๙ เพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งว่า จริง ๆ แล้วท่านมีชีวิตเป็นอยู่เช่นไร
ทศพิธราชธรรม คุณธรรมสิบประการของพระราชาก็ท่องไปงั้นแหละ ไม่เคยลึกซึ้งถึงความหมายใด ๆ เลย ถ้าไม่มีความเลวร้ายอันแสนสาหัส ฉันจะไม่ซาบซึ้งถึงความดีที่ท่านได้บำเพ็ญเพียรนี้มาเลย เราเริ่มต้นศึกษาความหมายของคุณธรรมสิบประการก็ตอนนี้เอง นอกจากรู้ความหมายแล้ว ก็ยังตั้งใจปฏิบัติตามด้วยการนำมาปรับใช้กับตัวเอง เริ่มต้นไปทีละอย่าง ทานะทำได้ไม่ยาก มีขัดใจนิดหน่อยแต่ก็พอเอาใจรอดได้ มันยากตรงขันติธรรม กับขันติธรรมนี่ทำให้เราเริ่มผูกพันกับในหลวงจนรู้สึกอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ยามใดที่ได้เห็นว่าท่านถูกหยามพระเกียรติ แล้วเราทำได้แต่นั่งมอง ด้วยความคิด พ่อยังทนได้ คิดจะเป็นลูกพ่อก็ต้องทนให้ได้ พระอาจารย์สอนว่า คนที่หยามหมิ่นท่านก็เหมือนสุนัขที่ถ่มน้ำลายใส่พระจันทร์ มันไม่มีทางทำให้พระจันทร์นั้นมัวหมองได้เลย ยิ่งทำเท่าไร ตัวมันเองก็จะยิ่งเน่าเหม็นเท่านั้น ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า ขันติที่ยังพยายามฝึกบำเพ็ญอยู่นี้ ได้ผลถึงเพียงไรแล้ว รู้แต่ว่า รักท่าน ต้องทำตามในสิ่งที่ท่านทำ
แล้วในที่สุดวันหนึ่งของปี ๒๕๕๕ สำนักพระราชวังมีประกาศว่า ในหลวงรัชกาลที่๙ จะทรงเสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม วินาทีที่ได้ยินข่าวเท่านั้นแหละ เตรียมเสื้อก่อนเลย เสื้อตัวที่ซื้อไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ผ่านไปหกปีนะ เพิ่งจะได้ใส่ ยังคิดอยู่นะว่า ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อนก็จะไปคนเดียว แต่ปีนั้นเพื่อนอีกสามคนก็ไปด้วยกัน ไปนั่งรอตั้งแต่ตีสอง ความรู้สึกมันยาวนาน อยากจะบอกพ่อกับแม่ว่า "ลูกไปถึงในหลวงแล้วนะ"
ขอไม่เล่าตอนระหว่างรอท่าน จนกระทั่งส่งเสด็จท่านกลับวัง จะยาวเกินไป
พอจบวัน บอกตัวเองเลย ต้องกลับบ้าน ไปบอกพ่อกับแม่ให้ได้
พอถึงบ้าน เอาธงที่โบกสะบัดพร้อมกับเปล่งเสียงทรงพระเจริญไปทำให้พ่อกับแม่ดู
"ไปถึงในหลวงจนได้เนอะ" แม่บอกฉันแบบนี้ แม่ยังจำได้!!!!
ก็ไม่ได้คิดนะ ว่านี่จะเป็นวันแรก และวันสุดท้ายที่ได้รอรับเสด็จในหลวง และได้เห็นท่านตัวเป็น ๆ
ตอนนั้นท่านเพิ่งหายจากอาการประชวรไม่นาน อยากจะเปล่งเสียงทรงพระเจริญให้ได้ยินถึงสามโลก อยากให้ท่านมีกำลังใจ มีพลังใจ ยิ้มได้ และมีความสุข
ทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปหลายคืนแล้ว แต่ฉันก็ยังคงฟังได้แต่เพลงที่มีภาพในวันนั้น อยากจะหยุดเวลาไว้แค่นั้น ไม่อยากรับรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น
ใจ มัน จะขาด เสียให้ได้
บางอย่างในสิ่งที่หล่อเลี้ยงศรัทธาและจิตวิญญาณมันหายไป เสียใจที่เพิ่งจะเริ่มต้นบำเพ็ญคุณธรรมได้แค่สองข้อเท่านั้น แค่สองข้อเท่านั้นก็ยังทำได้ไม่ถึงไหนเลย
ไม่ได้อยากตีโพยตีพายอาลัยอาวรณ์ แต่จะให้ใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ยังทำไม่ได้ ไม่มีวินาทีใดของลมหายใจที่ไม่คิดถึงท่าน ไม่มี ไม่มีจริง ๆ ก่อนนอนก็มองรูปท่าน
แม้แต่วันเคลื่อนขบวนพระบรมศพ ก็ยังตามไปรอรับเสด็จ ขอให้บอกเถอะ ว่าจะให้เราทำอะไรเพื่อในหลวง อยากให้มีความพร้อมเพรียง อยากให้มีความเป็นระเบียบ ต่อให้ต้องแลกด้วยทั้งหมดของแรงกาย เราก็ยอม เราให้ได้เสมอ ท่านทำทุกอย่างได้เพื่อให้ประชาชนของท่านมีความสุข ความเจริญ และเป็นปึกแผ่นมั่นคง เราก็ทำทุกอย่างได้เหมือนกัน เพื่อให้ท่านสบายใจ ทุกอย่างต้องผ่านไปอย่างงดงามสมพระเกียรติ
พ่อบอกให้อดทน ให้มีขันติธรรม ให้มีความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน ถึงแม้จะอยากเอาขวานฟันหน้าคนบางคนให้แยกเป็นสองส่วน เราก็จะทน เราต้องทนให้ได้ ทนให้ไหว ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าต้องทน และต้องให้ ไปอีกสักแค่ไหน ถึงจะผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2559 |
Last Update : 23 มีนาคม 2560 1:50:36 น. |
|
131 comments
|
Counter : 2197 Pageviews. |
|
|
หลังจากที่สิ้นสติมาหลายวัน ดูภายนอกเหมือนมันโอเค
แต่ในใจหาดีแทบไม่ได้เลย ต้องอิงแอบการทำความดีต่อผู้อื่นตลอดเวลา
มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนี้มากมาย
มากจนไม่รู้จะจับเรื่องไหนมาคิด บางทีก็คิดพร้อมกัน
คุยกับคนอื่นต้องคอยบอกว่า เปลี่ยนเรื่องแล้วนะ
มีข้อผิดพลาดเยอะเลย ขาดทุนตัวเองยับ
เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะถดถอยเอาได้
เคยเป็นแล้ว ตอนนี้นะ แค่หายใจยังลำบากเลย
เขียนอย่างเดียวก็ดึงสติไว้ไม่อยู่ ยิ่งเขียนยิ่งเตลิด
ฟุ้งไปหมด จับอะไรไว้ไม่ได้ เอาแต่จะขาดใจตายอย่างเดียว
thing to do??
๑.อ่านหนังสือ วันก่อนเอาสายไฟไปหาซื้ออันใหม่
คือใช้คอมพ์หนักมากทุก ๆ วัน จนสายไฟขาด
เดชะบุญที่ไฟไม่ช็อตเป็นยายปิ้งบนเก้าอี้ ..รีบไปรีบกลับ
ของยังไม่ได้ ช่างบอกให้ไปเดินเล่น กุเคยเดินเล่นด้วยเหรอ?
ชีวิตนี้พี่เดินจริงจังตลอด เดินเล่นคือไร เดินเล่นๆ สิบกิโลแบบนี้โอเค พอแวะเข้าร้านหนังสือที่ที่ไม่ชอบเข้าเอาเสียเลย อิห่านจิกร้านบรรลัยได้ตังค์กุทุกที เกลียดมัน ..ขนาดไม่คิดจะซื้อนะ
เรื่องที่แบบไปเดินหานี่ไม่พูดถึง ไม่ได้เข้ามานานแล้ว
ตอนน้ำท่วมหัวใจจะวายกลัวหนังสือเปียก พอไม่คิดจะซื้อหนังสือเหมือนชีวิตมันเบาขึ้นเยอะ ภาระที่อยากได้บ้านไว้เก็บหนังสือเลยดูเป็นอะไรที่แค่ตู้ก็พอมั้ง เคยเห็นบ้านหลังหนึ่งมีหนังสือเต็มทั้งชั้น
โชคดีที่ได้เห็นของเขาเสียก่อน ความอยากได้อยากมีเลยดับหายไป ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เว้ยยย ที่จะเก็บรักษาหนังสือกองไว้ทั้งหลัง ตอนนี้แค่อ่านและทำตามให้สำเร็จในเล่มนั้น ๆ เป็นความสำเร็จที่ก่อให้เกิดความสุขที่สุดแล้ว
อ่านซะ ..ซื้อมาแล้วต้องอ่านให้หมด รวมทั้งที่มีคนเอามาให้ด้วย
ค้างไว้หลายเล่มอยู่นะ..
๒.มีสติ อยู่กับลมหายใจ พยายามเข้าไปต่อให้มันยากก็ต้องทำ
ช่วงนี้หลอดลมอักเสบอีกแล้ว เป็นจนเพลีย กุยอมเมิงแล้ว
นอนไม่พอแค่ไม่กี่วัน อาการกำเริบ ถึงเมิงจะสำออยไปหน่อย
แต่พี่ก็เข้าใจนะ ก็ช่วยไม่ได้ อยู่คนเดียว ทำทุกอย่างเองคนเดียว
จะให้นอนยังไงไหว นอนไม่หลับหรอก จะหนีไปก็ไม่ใช่เรื่อง
โยคะ คัดลายมือ วาดรูป คงพอช่วยได้บ้าง ของเล่นเก่ามีเท่าไร
เอามาเล่นให้หมดนะยาย
๓.ส่งไดอารี่ มีเรื่องให้คิดนะ แต่คิดว่า ..ไม่คิดดีกว่า..
๔.ทำความสะอาด วันนี้นังเด็กอ้วนไม่สบายอาหารเป็นพิษ อ้วกแตกทั่วห้อง ท้องเสีย โชคดีที่นางรู้ตัวเองเร็ว ลงมาซะก่อนจะนอนช็อกคนเดียวอยู่บนห้อง กลิ่นตลบอบอวนทีเดียว แม่นกกับลูกนอกก็ไปแล้ว เหมือนไข่จะฟ่อหนึ่งลูก ไม่รู้ทำไงฟร่ะ กับไข่ที่ฟักไม่เป็นตัว ผ้าห่มที่เพิ่งส่งซัก ดูเหมือนต้องส่งซักอีกรอบ มีเสื้อผ้าที่เก็บลงถุงดำใบใหญ่ถึงสามใบ ยังไม่รู้จะเอาไปให้ใคร ในนั้นมีตุ๊กตาอีกหลายตัว บางทีอาจจะส่งไปให้เด็กที่ศรีสะเกษ รร.ที่เคยขอไว้นานแล้ว อืมมมม ตัวมันใหญ่ไปนะ อาจจะเป็นความลำบากของผู้รับ คิดได้ไงซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ แต่คุณบุญทิ้งตัวเล็กก็แย่ต่อการพกพาแล้ว ไม่ค่อยได้ทำเองนะ โดยมากจะใช้คนอื่นทำซะมากกว่า นิสัยไม่ดี ก็จริงนะ อยู่ที่นี่มีคนทำให้ตั้งหลายคน
นอกจากวันที่ฉุกเฉินจริง ๆ ถ้าไม่ทำเองแล้วคนอื่นจะเดือดร้อน
แบบนั้นถึงจะลงมือทำเอง แล้วถ้าเราทำทุกคนก็ต้องช่วยกันทำ
เพราะมันเดือดร้อนกันหมด ..เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร นิสัยไม่ดี
๕.รอรับลูกค้า เขามาแล้ว ไม่ต้องรอ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
คนอะไรรักเมืองไทยจริงจัง พักร้อนติดต่อกันสามปี ไม่ไปประเทศไหนเลย แล้วมาเมืองไทยก็ไม่ได้ไปที่สวยงามตระการตาอะไรเลยนะ อยู่บ้านนอกกรุงเทพฯนี่เอง บอกว่าสวย บ้านเขาไม่มี
๖.นอนก่อนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุด.
๗.ตื่นก่อนตีห้า เมิงไปนอนก่อนนะ ไม่ใช่ตีห้าแล้วยังไม่หลับ
ไอขนาดนี้ จะหลับลงไหมล่ะเมิง
เอาแค่นี้ก่อนนะ ...วันนี้มีคนมาโยนงานประณีตให้ทำชิ้นหนึ่ง
ยังไม่รู้ทำยังไง ต้องหาไอเดียก่อน แล้วค่อยดูขั้นตอนวิธีทำ
เพื่อการถวายความอาลัย บอกมาเหอะ ต่อให้ทำให้ฟรี ๆ
พี่ก็จะทำ แต่อย่าเร่งนะ มีแค่สองมือ สติก็ไม่ค่อยจะโอเค
สังขารก็เกเรอยู่บ่อย ๆ ดีกว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วนั่งเอ๋อ ๆ โง่ ๆ
พอ..จบ.