::KOPPOETS SOCIETY::
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
★Detroit Metal City: ฟัง "ป็อบ" ในหนัง "ฮาร์ดคอร์"


“ผมว่า ถ้าจะทำหนังจากมังงะ ก็ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของคนในวงการนั้น เพราะเขารู้จักมันดีกว่าเรา ผมเบื่อเพราะว่ามันกำลังกลายเป็นเทรนด์ สถานีโทรทัศน์ และบริษัทหนังใหญ่ๆ อย่างโตโห ชอบทำหนังแบบนี้ เพราะว่ามันขายได้ มันจะฮิต โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น”


นี่เป็นความเห็นแรงๆ ของ “ซาบุ” ผู้กำกับหน้าตาย (ที่ฉันว่าหน้าแกคล้ายพี่ปลาคาร์ฟ ตลกคาเฟ่ซักคณะ) ที่เคยทำหนังอย่าง Postman Blues, Monday หรือ Dead Run เขาให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อซักสี่หรือห้าปีก่อน ถึง “เทรนด์” การทำหนังที่แปรรูปมาจาก มังงะ หรือการ์ตูนเล่มๆ ในญี่ปุ่น ซาบุต่อต้านระบบนี้ในประเทศบ้านเกิด จนถึงขั้นต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพักใจอยู่ที่เยอรมันตั้งหลายปี (จริงๆ แล้วเขาได้ทุนไปเรียนด้านหนังน่ะ 555)

(เอาไว้ในบล็อกหน้า ฉันจะเอาบทความเกี่ยวกับผู้กำกับคนนี้ ที่เพิ่งตีพิมพ์ส่งอาจารย์ (ฮา) มาลงไว้ที่นี่แล้วกันนะคะ จะได้รู้จักพี่ปลาคาร์ฟมากขึ้น)


แต่ถ้าเอาเรื่องรายได้มาเป็นตัวตั้ง ก็ไม่น่าแปลกหรอกที่พวกสตูดิโอทั้งหลายจะนิยม “หนังมังงะ” เพราะพวกมันมักเข้าไปครองอันดับต้นๆ ใน Box Office ของญี่ปุ่นได้แทบทุกครั้ง ดูได้จากความสำเร็จของ 20th Century Boys ทั้งสองภาคที่กวาดรายได้มหาศาล, หนังใบสั่งฆ่า Ikigami ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ และหนังที่ฉันจะเล่าถึงในคราวนี้ Detroit Metal City ก็ทำซ่าด้วยการทำรายได้เปิดตัวเป็นอันดับสอง (เมื่อราวๆ เดือนกันยายนปีที่แล้ว) เป็นรองแค่เพียง Ponyo ที่ค่ายจิบลิส่งเข้าประกวด



Detroit Metal City เป็นมังงะที่ดังถล่มทลายในญี่ปุ่น และเคยทำเป็นอนิเมชั่นมาแล้ว แต่ฉันไม่เคยทั้งอ่าน และดู มาก่อน มารู้จักเจ้าเรื่องนี้ครั้งแรกก็ในไบโอฯ เล่มล่าสุด (ปกเหลืองแปร๊ด แถมมีบทความที่ฉันเขียนด้วย [เล็กๆ] 555) ไอ้คำโฆษณาที่บิ๊วว่ามันเป็น “หนังที่เราอยากดู” ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ แต่ติดใจภาพประกอบ ที่เป็นตัวอะไรซักอย่างน่ากลัวๆ กำลังเต้นฮัดช่าส์ กับหนุ่มเจี๋ยมเจี้ยม ก็เลยพลางคิดในใจ (ระหว่างอ่าน) ว่าเออ มันคงเพี้ยนดีแท้!!!

ดังนั้น เมื่อสบโอกาส เลยลองโหลดมาดูเล่นๆ พิสูจน์ซิว่าจะเพี้ยนขนาดไหน


(รูปนี้แหละ 555)


หนังว่าด้วยเรื่องของ หนุ่มหัวเห็ด ‘เนงิชิ โซจิโร่’ (เคนอิจิ มัตสึยาม่า หรือพี่ L เชนจ์ เดอะ เวิลด์ นั่นแหละ) ผู้รักเสียงดนตรีและกีตาร์โปร่ง ความใฝ่ฝันของเขาคือการได้เป็น “นักร้องเท่ๆ” ที่มีชื่อเสียงในเมืองโตเกียว ภารกิจล่าฝันของหนุ่มบ้านนอก จึงเร่ิมต้นด้วยการจับรถไฟมุ่งตรงเข้าสู่เมืองหลวง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าให้จงได้

แต่ไม่รู้ทำไม ไปๆ มาๆ ตาหัวเห็ดแกก็จับพัดจับผลูไปเป็นนักร้องนำของวง Detroit Metal City วงดนตรีแนว Death Metal (เท่าที่อ่านจากคำอธิบายในหนัง มันเป็นอีกแขนงของ Heavy Metal แตกต่างตรงที่ตัวเนื้อหาของเพลงจะพูดถึงเรื่องความตาย ปีศาจ มรณะ อะไรเทือกนี้) โดยเมื่ออยู่ในวง โซจิโร่จะแปลงกายเป็นมนุษย์หน้าขาว เขียนตาข้างหนึ่งเป็นสีดำ ผมสีทองยาวเฟื้อย อยู่ในชุดเหมือพวกคาเมนไรเดอร์ (แต่โดดเด่นกว่าด้วยประกายสีแดงจากส่วนเป้ากางเกงสีเงินเมทัลลิค 555) และที่สำคัญคือ ตัวอักษร (Korosu) ที่แปลว่า “ฆ่า” สีดำหราอยู่บนหน้าผากของเขา

ทุกคนจะรู้จักเขาในนามของ โยฮันเนส เคราเซอร์ ที่สอง (Johannes Krauser II) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เคราเซอร์ซัง”




ถึงแม้จะไปเอาดีทางเมทัลโทนเสียงแหบต่ำ แต่ถ้ามีเวลาว่างๆ เคราเซอร์ซังก็จะคืนร่างกลับมาเป็นหนุ่มหัวเห็ด ยืนร้องเพลงรัก “Amai Lover” อยู่ที่ข้างถนน ฝีมือการร้องและเล่นกีตาร์ของเขาไม่ผิดมาตรฐาน แต่ที่แตกต่างคือ ที่ข้างถนนผู้คนจอแจ กลับไม่มีใครสนใจฟังเพลงของเลยซักกะนิด



แถมเมื่อเขาได้ไปเจอกับ “ไอคาว่า” (คาโตะ โรซ่า ที่ฉันติดใจรอยยิ้มของเธอมาตั้งแต่ Change) เพื่อนเก่าสมัยเรียน ที่ไม่ชอบ (ปนเกลียด) ดนตรีเมทัลเกือบจะเข้าไส้ ก็เลยทำให้เกิดภาวะขัดแย้งในใจของโซจิโร่ขึ้นมาขนาดหนัก…

ว่าตกลง เราจะเป็นเคราเซอร์ซังผู้โด่งดัง หรือไปเป็น ไอ้หนุ่มหัวเห็ดจ๋องๆ ริมถนนดีนะ



เท่าที่หาข้อมูลมา เข้าใจว่าเวอร์ชั่นการ์ตูนน่าจะโหดร้ายพอตัว เพราะทุกคนที่ได้อ่านจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่ามันไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ไอ้ฉันที่ได้ดูแค่หนัง ก็ไม่เห็นว่ามันจะเลวร้ายตรงไหน ก็เลยสรุปเอาเอง ว่ามันคงเป็นความตั้งใจของคนเขียนบทดัดแปลง “มิกะ โอโมริ” (เพิ่งรู้ว่าเธอนี่ก็เป็นเซียนหนังตลกเหมือนกันนะ เพราะเธอเป็นคนเขียนซีรี่ส์ตลกวายป่วงอย่าง My boss my hero, Grumpy Gene แล้วก็ สูตรรักข้าวห่อไข่) ที่ดูจะเน้นเรื่อง “ความฝัน” มากกว่าด้านมืดหรือความโหดร้าย

เห็นได้จากช่วงแรกของหนัง ที่อยู่ดีๆ ที่ไม่ได้เล่าที่มาที่ไปเลยว่า ทำไมโซจิโร่ถึงได้ไปร่วมวง DMC แค่ให้เห็นภาพเข้ายืนดูป้ายรับสมัครนักร้อง แล้วก็ตัดฉับไปเป็นเขาในร่าง เคราเซอร์ซัง ไปซะแล้ว

แต่ทิ้งประโยคคาใจเอาไว้ว่า “No Music No Dream”





หนังเอา “วัฒนธรรมป็อป” มาล้อเลียนอย่างสนุกมือ เริ่มต้นจากที่โซจิโร่ ให้เหตุผลของการเข้ากรุงครั้งนี้ คือเพื่อมาอยู่แบบ “มีสไตล์” เขารู้จักนักออกแบบชื่อดังในกรุงโตเกียวทุกคน ซื้อเสื้อผ้าที่ดีไซน์มาอย่างดี ส่วนภายในห้องของเขานั้น ก็ตกแต่งสวยงามตามหนังสือออกแบบภายในทั้งหลาย

เรียกได้ว่า ถ้าไม่นับทรงผมเห็ดๆ โซจิโร่ก็เป็น “หนุ่มชิก” คนนึงเลยแหละ

เพราะโตเกียวเป็นเมืองหลวงของงานดีไซน์ร่วมสมัย และมีพลังความครีเอทีฟสูง วัฒนธรรม “ชิกๆ” อย่างการนั่งอ่านแม็กกาซีนอยู่ในคาเฟ่ใจกลางกรุง หรือเดินเข้าไปเลือกซื้อ เลือกฟังเพลงในร้านแผ่นเสียงใหญ่ๆ จึงเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมสมัยภาคบังคับ ที่ใครอยากจะดูเท่ดูดี ก็ต้องทำแบบนี้นะ

และจะนับประสาอะไรกับหนุ่มเจ๋อที่เพิ่งอิมพอร์ตจากบ้านนอกมาหมาดๆ พอเข้ากรุงมาวันแรก ก็ได้ยินบทเพลงหวานเจี๊ยบ บรรเลงโดยหนุ่มเมืองกรุงมาดเท่สะพายกีตาร์โปร่ง เขาก็คิดในใจแล้วว่า “นี่แหละ ความเท่ที่ฉันค้นหา” และก็เริ่มเดินเข้าหาดนตรีที่คนเมืองหลวงเขาฟังกัน

แต่เมื่อโชคชะตาพาเขาไปอยู่อีกโลก ที่เหมือนจะอยู่คนละด้าน แถมมีไม้ฝาเชอร่าทาด้วยสีทนได้กั้นเอาไว้อีกสามชั้น ชีวิตแต่ละวันของเขานั้นจึงออกห่าง “กระแสหลัก” เข้าไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่า เคราเซอร์ซัง ก็เป็น “ฮีโร่” ของโลกเมทัลด้วย




หนังเล่นตลกอีกครั้ง เมื่อเคราเซอร์ซัง เข็นเอาดนตรีฮาร์ดคอร์ของเขาขึ้นมาเป็นกระแส “ป็อป” จนซิงเกิ้ลชื่อ "ล้างแค้น" ไต่ขึ้นชาร์ตในอันดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนแห่แหนกันเข้าไปแย่งกันซื้อซีดี (ของจริง) จนแทบเกลี้ยงแผง และยังมีของที่ระลึกของวงออกมาขายจนผลิตไม่ทัน

สิ่งเหล่านี้ถูกสนับสนุนโดยแฟนเพลงที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ บรรดาสาวกหน้าใหม่มีทั้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ (ที่แต่งหน้าเหมือนเคราเซอร์ซังเปี๊ยบ) เด็กนักเรียนมัธยมหัวเกรียน และหนุ่มสาวหน้าใส ที่เข้ามาชูนิ้วก้อยนิ้วชี้ (สัญลักษณ์ของความฮาร์ดคอร์) และโยกหัวหงึกๆ ไปตามจังหวะเสียงเพลง เห็นเขาร้องก็ร้องตามกัน เห็นเขาว้ากก็ว้ากกับเขาด้วย

แถมบางคนก็บ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา น้องชายของโซจิโร่ที่บ้านนอก คลั่ง DMC จนถึงขั้นเลิกไปโรงเรียน ไม่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน วันๆ ก็นั่งสบถเป็นภาษาฮาร์ดคอร์ (จนเคราเซอร์ทนไม่ไหว ต้องออกโรงมาสอนน้องชายถางหญ้า และขับแทร็กเตอร์  [แม่งจะบ้าไปไหนวะ] 555)



หนังได้เสนอทางออกให้กับความฉาบฉวย ไร้แก่นของกระแสป็อปอินเทรนด์ โดยพูดถึง “ความฝันและแรงบันดาลใจ” หนังเตือนให้เรากลับไปนึกถึง “No Music No Dream” เพราะดนตรีนี่แหละที่พาทุกตัวละครมาจนถึงตรงนี้ได้


เพราะแจ็ค นักดนตรีเมทัลระดับตำนานที่เคยได้ดูตอนเด็กๆ ทำให้คุณผู้จัดการจอมเขวี้ยงบุหรี่ ใฝ่ฝันที่จะปั้นวงดนตรีฮาร์ดคอร์ขึ้นมาซักวง

เพราะเสียงเพลงเมื่อวันแรกเข้าเมืองหลวง ที่ทำให้โซคุงอยากจะเป็นนักดนตรีที่มีแต่คนแลเหลียว

และเพราะ “เคราเซอร์โซจิโร่” ที่ทำให้รุ่นน้องคนหนึ่งตั้งวงดนตรีเล็กๆ ขึ้นมา และทำให้แฟนเพลงคนหนึ่งยอมไปทำงานหาลำไพ่พิเศษ เพื่อหาเงินไปดูคอนเสิร์ตของ DMC


ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก อาจเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสิ่งที่ดี หรือดีกว่าขึ้นมาอีกเป็นร้อยเป็นพัน โดยไม่ต้องสนใจว่า มันเป็น “กระแสหลัก” หรือ “อินดี้” “บนดิน” หรือ “ใต้ดิน” หรือจะเป็น “โซจิโร่” หรือ “เคราเซอร์” ก็ตามแต่ ถ้าเราไม่ได้มองมันผ่านๆ เราก็จะเห็นแก่น ที่เป็นประกายของความฝัน รอให้เราเอามันไปต่อยอด


และถึงแม้ว่า “เคราเซอร์ซัง” จะกลายเป็นเพียงสินค้าชิ้นหนึ่งของธุรกิจดนตรี แต่ถ้าสินค้าชิ้นนี้ มันจะพอมีมูลค่าเป็นแรงบันดาลใจให้ใครแม้เพียงคนเดียว…มันก็คุ้มแล้วล่ะ






+++++++++++++

Rape Rape Rape... เคราเซอร์ซัง!!!

นิดนก*






Create Date : 06 มีนาคม 2552
Last Update : 6 มีนาคม 2552 0:56:39 น. 7 comments
Counter : 2719 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ ยามบ่ายๆ

วันนี้ครัวเปิดแล้วนะคะ มากับ แซลมอน Takikomi Gohan อาหารญี่ปุ่น ค่ะ






โดย: praewa cute วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:1:50:21 น.  

 
เข้ามา Rape เคร้าเซอร์เคนด้วย อิอิ


โดย: แม่นุ้งเคน IP: 119.31.9.108 วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:2:52:48 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยมที่บล๊อค ตั้งใจนะคะ เดี๊ยวก็จบแล้ว สู้ๆๆนะคะ *-* เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปริญญา 1 ใบคงไม่ยากเกินความสำเร็จ....เน๊าะ


โดย: Phannaploy วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:14:23:49 น.  

 
อะหือ เรื่องนี้แหละที่อยากดูมากๆ (พอๆกับยัตต้าแมนของลุงมิอิเกะเลย)

อ่านเรื่องย่อครั้งแรก อาจดูเหมือนกับ Highway Star ของนายเจี๋ยมเจี๊ยม ชาแตฮุน แต่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เดินตามสูตรอย่างเรื่องนั้นเลย... โอ้ย อยากดู

สนับสนุนให้ดูนะครับ สำหรับ Almost Famous เราว่ามันต้องสร้างความสุข (แบบไม่สามารถต้านทานได้) ให้กับคุณนิดนกอย่างแน่นอน เพราะ guilty pleasure ถือว่าเป็นจุดเด่นของผกก. คาเมรอน โครว์ เชียวน่ะ 55+

...ว่าแต่ ดูแล้วก็เอาไปคืนด้วยนะครับ


โดย: BloodyMonday วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:18:38:43 น.  

 
เป็นหนังที่พอเห้นโปตเตอร์แล้วต้องเหลียวกลับไปมองอีกครั้ง (ด้วยเหตุใดก้ยังไม่รู้เลย เหอๆ)



โดย: negima_xx วันที่: 8 มีนาคม 2552 เวลา:1:36:03 น.  

 
เนงิชิ วาดความฝันไว้ว่าอยากจะมอบความฝันให้กับใครซักคน ด้วยดนตรี ประมาณว่า no music no dream แล้วก็บังเอิญไปเจอค่ายที่ชื่อว่า no music no dream เนงิชิเลยเข้าไปสมัครโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแนวดนตรีแบบ Death Metal


โดย: new IP: 124.157.145.201 วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:34:32 น.  

 
GO TO DMC
GO TO DMC
GO TO DMC
GO TO DMC


โดย: น้าโน๊ต IP: 223.206.171.24 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:25:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ยิ่งยง นั่งยองยอง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ยิ่งยง นั่งยองยอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.