★James Bond : Quantum of Solace :: ทางออกของความแค้น
ฉันไม่เคยดูหนังเจมส์ บอนด์ เลยซักกะภาค…
นี่คือคำสารภาพอย่างจริงใจที่สุดของลุกผู้หญิงตาดำๆ คนนี้ เพราะถึงฉันจะชื่นชอบการชมภาพยนตร์มากเพียงใด ก็ยังมีหนังบางเรื่องที่ให้ตายยังไงก็ไม่อยากดู (ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ฉันยังไม่ดูเลย 555) เพื่อนบางคนบอกว่าฉันเชยบ้าง ถูกปรามาสว่า “นี่เหรอยะคนรักหนัง?” บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยจูงใจให้ฉันอยากดูมันมากขึ้นซักนิด
แต่ด้วยความที่ได้รับการเทียบเชิญจาก Coke Zero ให้ไปร่วมงานและดูหนังในรอบเปิดตัวของ Quantum of Solace ภาคใหม่ของเจมส์ บอนด์ แถมในงานยังมีอาหาร โค้ก และเบียร์ให้ทานเล่นๆ แล้วทำไม ฉันจะต้องพลาดโอกาสดีๆ (และฟรี) แบบนี้ไปด้วยเล่า (ขอขอบพระคุณโค้กซีโร่อีกซักครั้งค่ะ ^^ )
ดังนั้น นี่จึงเป็นการชม เจมส์ บอนด์ ด้วยการมองว่ามันเป็นเพียงแค่ “หนัง” เรื่องหนึ่ง และปราศจากข้อมูลเบื้องต้นใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าพูดในแง่ของการทำหน้าที่ในฐานะความเป็น “หนังแอ๊คชั่น” Quantum of Solace ก็ทำได้ดีโดยไม่ต้องสงสัย เพราะภายในเรื่องบรรจุฉากระเบิดภูเขา เผาสะพาน บ้านบึ้ม อาอี๊มกรี๊ด อยู่เต็มเพียบไปหมด แต่ที่จะแปลกตาไปบ้างก็คือการเล่นกับโลเคชั่นที่หลากหลายมากขึ้น พี่บอนด์แกพาเราไปเปิดหูเปิดตาในมุมต่างๆ ของโลก มีการใช้การแสดงละคอนเวที และงานสู้วัว หรือวิ่งควาย หรืออะไรซักอย่าง เข้ามาตัดสลับกับฉากต่อสู้เพื่อสร้างความหมายในการรับรู้และการตีความสำหรับ ผู้ชมใหม่ ซึ่งถือว่าน่าสนใจและทำได้ดี แต่ถ้าเราตัดเสียงตู้มตาม...ปังๆๆๆ!!! ออกไปให้หมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือหนังดราม่าเรื่องหนึ่งที่มีความเข้มข้น สับสนแต่ไม่ซับซ้อน หนังเดินเรื่องโดยพูดถึง “ความแค้น” ของตัวละครหลัก อย่างพี่บอนด์ และน้องคามิลล์ สาวบอนด์คนล่าสุด ที่มันคั่งแค้นฝังอยู่ในอกและรอวันปะทุคลั่งดุดดั่งทะเลเดือด (เออ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ชอบเขียนด้วยสำนวนตัวอย่างหนัง 555 ร่วมพลิกชะตาบล็อกครั้งยิ่งใหญ่มหาประลัยกัลป์ ก่อนอเมริกา พฤศจิกายนนี้) บอนด์มีอาวุธหลากหลายและมีอานุภาพทำลายล้างในระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ไปแล้วแต่เขาจะเลือกใช้ แต่สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้ความแค้นที่มีอยู่เจือจาง หรือจางหายไปได้จริงหรือ? การทำให้อีกฝ่ายสูญเสียหมกไม้ มันช่วยให้เรามีความสุขได้จริงหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้ว ทางออกของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่การทำร้ายทำลายกัน แล้วถ้าอย่างนั้น มันคืออะไร?
หนังได้เสนอสองทางออกเกี่ยวกับคำถามนี้เอาไว้ ซึ่งทางแรกก็ “กรรม”
ในฐานะชาวพุทธ เราได้เรียนและอ่านเกี่ยวกับ “กฎแห่งการกระทำ” กันมานับครั้งไม่ถ้วน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ปลูกฝังเรื่องนี้มันมาตั้งแต่เรายังเด็กยังเล็ก มีตัวอย่างให้เราเห็นก็ไม่น้อย แต่ทำไมคนเราถึงยังไม่ศรัทธาในกฎแห่งกรรมมากเท่าที่ควร
ปัญหาของมันอยู่ตรงที่ “ความไม่แน่นอน” เรารู้แต่ว่าเดี๋ยวผลกรรมก็จะตามสนองมันเองแหละ แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะเกิด อาจจะเป็นวันนี้พรุ่งนี้ หรือดีไม่ดีอาจจะล่วงเลยไปถึงชาติหน้าเลยก็ได้ ความไม่มั่นใจต่อการเกิดขึ้นของผลกรรม ทำให้เราคนเราเริ่ม “ไม่เชื่อ” หรือหลงลืมมันไป สิ่งที่เราอยากจะเห็นคือผลตอบแทนที่สาสมและคุ้มค่าต่อความแค้นนั้น ซึ่งผลกรรมไม่อาจให้เราได้ด้วยปริมาณ และช่วงเวลาที่แน่นอน
ถ้าเราเลือกที่จะรอ ช่วงเวลาที่ผ่านก็อาจทำให้ความแค้นที่มีค่อยๆ ลดลงจนหายไป ซึ่งฉันว่านี่คือเสน่ห์ของแนวคิดนี้ การลืม - - แม้ไม่ให้อภัย ก็ช่วยให้หัวสมองเรามีพื้นที่ว่างเอาไว้เก็บความสุขในชีวิตมากขึ้น
แต่หากเรารอไม่ไหว ไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้น ยังมีทางออกที่สันติ และเที่ยงธรรมกว่า นั่นคือ “กฎหมาย”
ในเชิงจริยศาสตร์ “กฎหมาย” คือบรรทัดฐานเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม มันเกิดจากความดี แต่ไม่อาจตัดสินได้ว่าคนนั้นเป็นคนดีเพียงเพราะทำตามกฏหมาย แต่หากคนทุกคนทำตามกฎหมาย แม้ว่าจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ทำให้สังคมเลวร้ายขึ้น
เมื่อระบบสังคมซับซ้อน ระบบกฎหมายก็เริ่มซับซ้อนมากขึ้น เริ่มมีบทบัญญัติเฉพาะกิจ เฉพาะกาลเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่มย่อย เกิดสถาบันศาล เพื่อเป็นตัวกลางในการตัดสินปัญหา โดยถือเอากฎหมายเป็นที่ตั้ง และเชื่อกันว่า นี่คือระบบที่ยุติธรรมและเป็นกลางที่สุด
ในหนังเรื่องนี้ก็ยังคงสะท้อนแนวความเชื่อเช่นนั้นออกมาให้เราเห็น แม้เนื้อหาจะเต็มไปด้วยฉากต่อสู้และความรุนแรง แต่จุดสุดท้ายของสิ่งเหล่านั้นก็จะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป แม้เราคนดูจะไม่ได้เห็นกระบวนการในชั้นศาล แต่เราก็รู้ได้เองว่า สุดท้ายแล้ว คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ
ฉันยังคงเชื่อว่า สำนึกคิดที่ว่า “คนผิดต้องได้รับโทษ” นั้นมันยังเป็นความเชื่อหลักของคนเราอยู่ เรายังมีความหวังและความเชื่อในกระบวนการยุติธรรมอยู่ ถึงแม้ในทุกวันนี้ ในบ้านเมืองเรา สถาบันศาลเริ่มกลายเป็นตัวตลก เป็นสถาบันที่ไม่มีความเป็นกลาง มีผลประโยชน์แอบแฝงซ่อนเร้น ตามที่ “คนบางคน” กำลังปลุกปั่น และค่อยๆ ปลูกฝังแนวคิดนี้เข้าไปในหัวของผู้คน แต่ฉันขอเลือกที่จะเชื่อว่า คนในสังคมนี้ไม่ได้โง่เง่า และมีวิจารณญาณมากพอที่จะมองอะไรครอบคลุมรอบด้าน คิดด้วยสติปัญญาที่ปราศจากอารมณ์เติมแต่ง เรายังคงมองเห็นเหมือนกันว่ายังมีทางออก - - อย่างน้อยก็สองทาง สำหรับความเคียดแค้นที่เรามีต่อกัน การใช้ความรุนแรงอาจจะไม่ใช่คำตอบของปัญหา เพียงแค่เราคิดได้…
… ขนาดเจมส์ บอนด์ ยังคิดได้เลย... * กระป๋องโค้กซีโร่เวอร์ชั่นหนังที่แจกในงานสวยมาก เข้าใจว่าน่าจะมีขาย แต่เฉพาะในโรงหนังเท่านั้น ลองไปหาซื้อกันดูค่ะ * สงสัยว่าจะต้องลองไปหาภาคเก่าๆ มาดูซะแล้วสิ เรากับนายจะได้รู้จักกันมากขึ้นนะ มิสเตอร์บอนด์ ด้วยรักเนเวอร์ดาย นิดนก*
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551 |
|
9 comments |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2551 21:04:44 น. |
Counter : 1478 Pageviews. |
|
|
|
พระเอก Twilight หล่อนี้เพราะทรงผมแน่ๆเลย 55+ จำได้ว่าตอนเล่นแฮรี่นี้ไม่เท่ขนาดนี้นี่หน่า...