space
space
space
<<
สิงหาคม 2561
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
14 สิงหาคม 2561
space
space
space

[รวมรีวิวหลายสำนัก] Mission : Impossible FALLOUT


เมื่อปฏิบัติการที่เบอร์ลินทำให้ พลูโตเนียม หลุดรอดจนเกิดเหตุวินาศกรรมสถานที่สำคัญทางศาสนา ทำให้ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จำต้องร่วมงานกับ ออกัส วอล์คเกอร์ (เฮนรี คาวิลล์) ซีไอเอหนุ่มที่เขม่นเขาตั้งแต่แรกพบ แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้พลูโตเนียม อาจทำให้ โซโลมอน เลน (ณอน แฮริส) ผู้ก่อการร้ายสุดโฉด หลุดรอดการจับกุมไปได้ ทำให้ทาง ซีไอเอ และ ไอเอ็มเอฟ เริ่มสงสัยในความภักดีของ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จนเขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการตามจับวายร้ายสมองเพชรและหยุดหายนะครั้งใหม่ก่อนโลกจะลุกเป็นไฟให้จงได้.

และนี่ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้วสำหรับ Mission Impossible จากการนำแสดงและอำนวยการสร้างของ ทอม ครูซ ที่ผ่านมามีผู้กำกับมากหน้าหลายตาที่มาเติมเต็มแฟรนไชส์สายลับชุดนี้ให้ไปไกลกว่าแค่หนังรีเมคจากซีรีส์ ทั้ง ไบรอัน เดอพัลมา ที่สร้างมาตรฐานการเล่าเรื่องเชิงสืบสวนสอบสวนสุดลึกลับ และมีกลิ่นอายของฟิล์มนัวร์ จอห์น วู มาสานต่อตำนานและเติมฉากแอ็คชั่นดีไซน์สวยๆ ส่วน เจ เจ เอบรามส์ นอกจากมาเติมเรื่องราวเพิ่มมิติด้านครอบครัวให้ อีธาน ฮันต์ แล้วก็ยังนำบริษัท แบด โรบอต มาร่วมอำนวยการสร้างตั้งแต่ภาค 3 จนถึงปัจจุบัน

และแน่นอนว่าทอม ครูซ ก็ไม่ลังเลที่จะทดลองสิ่งแปลกใหม่ด้วยการให้ แบรด เบิร์ด ผู้กำกับ The Incredibles อนิเมชั่นซูเปอร์ฮีโร่มาชิมลางงานกำกับคนแสดงจนได้หนังที่สนุกและหลุดกรอบมากใน ภาค Ghost Protocol จนกระทั่ง ทอม ครูซ ได้เจอผู้กำกับที่เหมือนสมุนมือขวาและร่วมงานกับเขามาตั้งแต่ Jack Reacher อย่าง คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี มากำกับภาคที่ 5 อย่าง Rogue Nation จนมาถึง FALLOUT ภาคนี้  ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ แม็คควอรี สามารถรวบรวมจุดเด่นของหนัง M:I ทุกภาคไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งบทที่เน้นสืบสวนสอบสวนอย่างมีชั้นเชิง หรือ ฉากแอ็คชั่นสุดท้าทาย ก็ทำได้อย่างลงตัว

โดยภาค FALLOUT นี้สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากสำหรับบทที่แม็คควอรีเขียนคือการตีความคำว่าผลกระทบหรือโทษ (Fallout) จากความหวังดีของอีธาน ฮันต์ ทั้งความรักเพื่อนที่ทำให้งานเสียไปจนถึงการกล่าวถึงตัวละครจากภาค 3 อย่างจูเลีย (มิเชล โมนากาน) ก็ยังเกี่ยวพันกับความหวังดีที่กลายเป็นผลร้ายตามมาถึงตัวเขาและทีมได้เป็นอย่างดี ซึ่งกลายเป็นลูกเล่นสำคัญที่คนดูจะต้องลุ้นทุกครั้งที่อีธานตัดสินใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยิ่งทำให้หนังเข้มข้นชวนติดตาม ควบคู่ไปกับปริศนาหลายอย่างทั้งคำถามว่าใครคือ ลาร์ค ผู้ก่อการร้ายตัวจริงกันแน่ (ดูหนังเรื่องนี้ คลิกเลย) ไปจนถึงตัวละครต่างๆว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู ชวนคนดูคิดตามได้อย่างสนุกสนานทีเดียว ซึ่งก็ทำให้ Mission : Impossible FALLOUT มีกลิ่นอายแบบหนังสายลับยุค 80 ที่ตัวละครต่างสูญเสียความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

องค์ประกอบสำคัญถ้านอกจากฉากแอ็คชั่นแล้วคงหนีไม่พ้นนักแสดงทั้งหมดในเรื่อง ทั้งสายทุ่มเทอย่าง ทอม ครูซ ที่เล่นฉากสตันท์เองจนได้รับบาดเจ็บที่เข่าในฉากกระโดดข้ามตึก หรือแม้แต่การทุ่มเทฝึกการโดด ฮาโล (HALO – High Altitude Low Opening) ถึง 1 ปีเต็มเพื่อฉากแอ็คชั่นสำคัญของเรื่อง ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต้องบอกว่า ความพยายามไม่เคยทรยศใครจริงๆ เพราะงานสตันต์ทุกฉากทุกตอนคือชวนอ้าปากค้างจริงๆ นะไม่ได้เวอร์เลย และไม่ใช่แค่พี่ทอม ครูซนะ แม้แต่ รีเบคกา เฟอร์กูสัน ที่กลับมารับบท อิลซา ก็เล่นฉากแอ็คชั่นแม้ตัวเองจะท้องอยู่ก็ตาม (พอหนังปิดกล้อง อายุครรภ์ของเธอก็ได้ 7 เดือนพอดี)

ส่วนนักแสดงคนอื่นๆทั้ง วิง เรมส์ ที่กลับมารับบท ลูเธอร์ เป็นครั้งที่ 6 ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์เหมือนเป็นครอบครัวตัวละครที่โตมากับเราจริงๆ ไซมอน เพกก์ ในบท เบนจี้ ก็ยังฮาและสร้างเซอร์ไพร์สได้ดีเช่นเดิม สำหรับสมาชิกใหม่อย่าง เฮนรี คาร์วิลล์ หรือพี่ซูเปอร์แมนของเราก็ทำให้ฉากบู๊ดูดุดันไม่น้อยเลยทีเดียวแต่คนที่ทำให้ใจพองโตที่สุดเห็นจะเป็น วาเนสซา เคอร์บี้ ในบท แม่มายขาว หรือ ไวต์วิโดว์ คนกลางค้าอาวุธที่สวยแบบวัวตายควายล้ม สวยแบบขายบ้านขายรถ คือเห็นแล้วพร้อมหลงกลได้ง่ายๆเลยทีเดียว ซึ่งแม้นุ้งเคอร์บีจะไม่ได้สวมชุดราตรีสุดหรูแบบในซีรีส์เดอะคราวน์ ทาง เน็ตฟลิกซ์ แต่ใบหน้าอันแสนจะเพอร์เฟกต์ของเธอก็เพียงพอให้กล้องถ่ายทอดความงามในทุกฉากที่ปรากฎตัวได้เป็นอย่างดี

คลิปเอวี

เอาล่ะ ผมคงหยุดความไฮป์จากการดู Mission : Impossible FALLOUT ไว้เพียงเท่านี้ แต่ยืนยันได้เลยว่าตำแหน่งหนังแอ็คชั่นที่ดีที่สุดแห่งปีไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด (คลิก...เพื่อดูหนัง) ทั้งบทที่ชวนติดตามและฉากแอ็คชั่นสุดระทึก รวมถึงเสน่ห์ตัวละครทุกตัวก็คุ้มค่าแก่การตีตั๋วแล้วล่ะ

Mission Impossible 6 : ทอม ครูซ กลับมาทุ่มงานสตั๊นท์สุดระห่ำอีกครั้ง หลักพักข้อเท้าหักไปหลายเดือน

ทอม ครูซ ได้กลับมาลุยงานสตั๊นท์แบบจุดตัวอีกครั้ง หลังจากที่ข้อเท้าหักจนต้องพักการถ่ายทำไป

Mission: Impossible เป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็คชั่นสายลับที่ ทอม ครูซ รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและนำแสดงมาจนถึงภาคที่ 6 แล้ว โดยเขาได้ทุ่มเทการแสดงฉากสต๊นท์ต่างๆด้วยตนเองอยู่เสมอ

และสำหรับ Mission: Impossible 6 ก็ต้องเลื่อนการถ่ายทำออกไป เนื่องจาก ทอม ครูซ ได้ประสบอุบัติเหตุข้อเท้าหักจากการแสดงฉากสตั๊นท์

ล่าสุด US Weekly ได้โพสต์ภาพล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า ทอม ครูซ ได้กลับมาแสดงฉากสตั๊นท์แบบเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากพักไปหลายเดือน โดยคราวนี้เป็นฉากบนหลังคากระจกของสถานีรถไฟแบล็คไฟรร์ส ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

[SR] [รีวิว] Mission: Impossible - Fallout (8.5/10) อัดแน่นแอ็คชั่นใหญ่สุดกว่าทุกภาค กับความหนักอึ้งของสายลับภารกิจเดิมพันโลก

Mission: Impossible - Fallout (2018)
กำกับโดย Christopher McQuarrie (Jack Reacher, MI5: Rogue Nation)
8.5/10

(ไม่สปอยล์)

ผมเคยดูแต่ละภาคในซีรี่ส์นี้แค่รอบเดียว เลยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าดูซ้ำ (และความจริง Fallout คงเป็นภาคเดียวที่ควรดูทุกภาคมาก่อนอีกสักรอบ หรืออย่างน้อยก็ภาค 5 Rogue Nation เพราะมันแทบภาคต่อตรงๆมาเลย) แต่ส่วนตัวตอนนี้ผมยังชอบภาค 4 Ghost Protocol กว่าหน่อย จากการที่ผู้กำกับ แบรด เบิร์ด เอาประสบการณ์กำกับอนิเมชั่นมาใช้ จนฉากแอ็คชั่นเขามีทั้งอารมณ์สนุกสนาน ทั้งความหัวครีเอทในการสร้างฉากแอ็คชั่นมาก ยิ่งฉากสู้สุดท้ายในโรงจอดรถภาคนั้น ให้อารมณ์ฉากไคลแม็กซ์หนัง Pixar อย่างใน Toy Story 2 หรือ Monsters Inc. เลย

แต่ภาค Fallout ผมก็ยังชอบสูสีตามมาติดๆ และพูดได้เลยว่ามันน่าจะเป็นภาคที่ทะเยอทะยานที่สุดในซีรี่ส์แล้ว จากการที่มันพยายามจะขมวดความเป็นซีรี่ส์นี้ทั้งซีรี่ส์เข้ามารวมในภาคเดียว จนบางทีชวนซึ้งกระแทกใจได้อย่างไม่คาดคิด ภาคนี้ดึงตัวละครในอดีต, บางพล๊อตค้างคา, ภาพจำแอ็คชั่นที่ผ่านมา, (ดูวีดีโอนี้ กดเลย) และประเด็นเก่าๆเรื่องตัวตนการต้องเป็นสายลับที่ถูกต้องในโลกของซีรี่ส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวตนของการต้องเป็น อีธาน ฮันท์ ที่มาพร้อมความสามารถกับหน้าที่หนักอึ้ง ทำให้หนังมีความรู้สึกเป็นปลายทางของทุกภาคที่ผ่านมามาก จนอัดแน่นยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง ราวกับจะทำภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายแล้ว นี่นึกภาพไม่ออกเลยว่าภาคหน้าจะเป็นอย่างไรต่อ

ตั้งแต่ฉากแรก หนังนำเสนอบททดสอบทางศีลธรรม ว่าควรเสียสละชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตหนึ่งในตอนนี้ แลกกับการรักษาอีกหลายพันกว่าชีวิตในตอนหลังหรือไม่ และหนังจะวนเวียนอยู่กับคำถาม dilemma นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะในรูปแบบส่วนตัวมาก ไปจนถึงความเป็นความตายของทั้งโลก โดยเสริมขนานไปกับแผนการของผู้ร้ายและประวัติที่มีมายาวนานของตัว อีธาน ฮันท์ เอง (มีคนตั้งคำถามว่าฮันท์จะยังภักดีได้อย่างไรต่อองค์กรที่ให้เขายอมเสียสละมากมายและปัดเขาออกห่างหลายครั้ง)

ประวัติอันนั้นเองที่น่าจะทำให้ภาคนี้มีเนื้อเรื่องดีที่สุดของซีรี่ส์ และยังเป็นภารกิจที่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่สุดด้วย จนฉากแอ็คชั่นดุดัน (ที่มักแฝง dilemma นั้นในรูปแบบต่างๆเยอะบ้างน้อยบ้าง) ต่างมีน้ำหนักดราม่าและความชวนลุ้นมากขึ้นไปอีก จะเห็นได้จากการที่องค์สามของหนังมีการเผยปมบางอย่าง ที่ตัวละครต่างทำตามหลักความเป็นจริง ที่เอาจริงก็เรียบง่ายและไม่น่าแปลกใจเท่าไร แต่มันมีความมองโลกเป็นผู้ใหญ่สูงมากๆสำหรับแนวหนังแอ็คชั่นบล็อคบัสเตอร์ จนมันกระแทกใจตลอดทั้งองค์สามให้เกือบน้ำตาตกในตอนจบเลย

แต่ถ้าที่ว่ามาทำให้ฟังดูเป็นหนังดราม่าหนักๆ ก็ขอเสริมว่าปมนั้นแฝงอยู่ในไคลแม็กซ์หนัง ที่เล่าแอ็คชั่นสามเส้นเรื่องพร้อมๆกันได้ดุดันรัวเร็วแทบไม่ทันหายใจ และหนึ่งในเส้นเรื่องแอ็คชั่นนั้นก็มีการใช้ IMAX ได้ตื่นตาเกือบเทียบเท่าฉากปีนตึกสูงในภาค 4 เลย โดยรวมแล้วผมอาจยังชอบแอ็คชั่นภาค 4 กว่าหน่อย แต่การดีไซน์ของภาคนี้ที่ให้สตั้นสมจริง ดูกระแทกแรงจริง มาเจอกับการปล่อยแอ็คชั่นรัวๆใส่อีธาน ฮันท์แทบไม่ได้หยุดหย่อน ก็ชดเชยพอสู้การกำกับภาค 4 ได้อยู่ จริงๆเอาแค่ฉากแอ็คชั่นใหญ่สองฉากแรก คือฉากกระโดดร่ม HALO วันเทคชวนหยุดหายใจ กับฉากสู้ต่อยหนักหน่วงชวนสะเทือนตามในห้องน้ำ ก็แทบจะเป็นฉากชูโรงหรือฉากไคลแม็กซ์ในหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นได้เลย แต่สำหรับเรื่องนี้เหมือนหนังเพิ่งวอร์มอัพเสร็จเท่านั้น

และการทำตัวเป็นเหมือนหนังภาคขมวดซีรี่ส์เอง ก็ทำให้หนังมีมุมอ้างถึงประวัติตัวเองเบาๆจนเข้าขั้นหยอกเย้าในบางที ไม่ได้เครียดไปหมดถึงเดิมพันจะสูงกว่าทุกภาค ตั้งแต่ มีตัวละครดูถูกการใช้หน้ากากปลอมตัวของหน่วย IMF (“มีใครเชื่อมุกนี้กันด้วยเหรอ?”), สีหน้าไม่อยากเชื่อจากทั้งฝั่งพระเอกกับผู้ร้าย ตอนเห็นสถานการณ์มันซ้อนกัน impossible มากขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลา และตอนเห็นว่า อีธาน ฮันท์ แทบไม่เคยปฏิเสธจะข้ามความ impossible นั้นทุกครั้ง, ไปจนถึงการที่หนังดูจงใจยังไม่ให้มีฉากท่าวิ่งสุดแรงประจำตัวของฮันท์ (ที่ความจริงแล้วก็คือท่าวิ่งประจำตัวของ ทอม ครูซ น่ะนะ) อยู่นาน แล้วมาปล่อยเต็มที่ในภายหลัง โดยปล่อยยาวๆอย่างปั่นความอลังการมากขึ้นเรื่อยๆจนหนังน่าจะต้องมีความรู้ตัวเอง (self-aware) เกี่ยวกับตัวมันนอกเนื้อเรื่องหนังแน่นอน

ซึ่งก็เวิร์คสองเลเวล เพราะมองในตัวเรื่อง จุดนั้นเองก็เป็นช่วงที่เรื่องกำลังตื่นเต้นมาก แต่ถ้ามองนอกตัวหนัง ในฐานะที่ภาคนี้ดูจะขมวดตัวตนความเป็นฮันท์ทั้งซีรี่ส์เข้าไป มันก็มีความยั่วเหย้า แบบยังเห็นใจในการต้องเผชิญภารกิจที่ราวกับแบกโลกทั้งใบ ที่ความ impossible ถาโถมรุมเข้ามาทุกทิศทาง (ลิ้งค์ดูหนังเรื่องนี้) ยิ่งปลายทางฉากวิ่งกลับพลิกเป็นอารมณ์ตกต่ำ แล้วถ่ายไกลให้เห็นฮันท์เป็นร่างเล็กท่ามกลางพื้นหลังกว้างใหญ่ ก็ยิ่งขับเน้นว่าในความเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดที่เขาได้เคยทำมา (และทำเยอะมากในภาคนี้จนชวนรู้สึกร่างแตกสลายแทน) อีธาน ฮันท์ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์มีเลือดเนื้อคนหนึ่งเท่านั้น

รีวิวหนัง : Mission: Impossible - Fallout | มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ฟอลล์เอ้าท์ (2018)

*****ไม่สปอยล์*****
.
ความยาวหนัง : 148 นาที (2 ชั่วโมง 28 นาที)
ผู้เขียนบท : Christopher McQuarrie(คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี)
ผู้กำกับ : Christopher McQuarrie(คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี)
แนวหนัง : แอคชั่น ผจญภัย ระทึกขวัญ
.
เรื่องย่อ : เมื่อทีมIMFและCIAต้องร่วมมือกันในปฏิบัติการที่ต้องแข่งกับเวลา กับการชิงพลูโตเนียมให้พ้นจากเงื้อมมือขององค์กรก่อการร้ายที่หวังจะสร้างความหายนะให้แก่โลก... แต่เมื่อภารกิจเกิดผิดพลาด!! 'อีธาน ฮันท์'และพรรคพวกจึงต้องพึ่งตัวเอง และกอบกู้โลกจากภัยอันตรายร้ายแรงจากองค์กรซินดิเคทที่ยังคงตามล่าพวกอยู่..!!!
.
รีวิว : เอาจริงๆภาคนี้หนังแทบจะไม่ได้บอกเรื่องย่ออะไรกับเราเลยครับ คือกะให้ไปลุ้นดูในโรงเอง แล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องโดยย่อของหนังเลยครับ เพราะมันสามารถรับรองได้100%เลยว่า... หนังแม่งมันส์เดือดเลือดพล่านแน่นอน!!!!!
.
เนื้อเรื่องในภาคนี้ดำเนินต่อหลังจากภาคแรก 2 ปี และต่อเนื่องกับ Mission: Impossible – Rogue Nation ภาคที่แล้วครับ... ถ้าใครที่ไม่เคยดูเลยสักภาค แนะนำว่าให้ไปหาภาคที่แล้วมาดูเพื่อเป็นการปูเนื้อเรื่องก่อนครับ อย่างน้อยๆก็เป็นการปูพื้นฐานว่าเราชอบหนังเรื่องนี้หรือเปล่าด้วย เพราะภาคนี้ตัวละครหลายๆตัวเองก็มีบทบาทสืบเนื่องมาจากภาคที่แล้วเยอะครับ ซึ่งถ้าไม่ได้ดูมาเนี่ย คุณอาจจะไม่อินและงงในความสัมพันธ์ของตัวละครด้วย...
.
เอาล่ะครับ... มาพูดถึงภาคที่ 6 นี้กันบ้าง... มันก็ตั้ง 22 ปีแล้วนี่เนอะของแฟรนไชส์ M:I ที่เดินทางกันมา... และยิ่งสร้างต่อก็ยิ่งมันส์และดีขึ้นทุกภาค!!! และสำหรับภาคนี้ ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นภาคที่ดีที่สุดเลยก็ได้ครับ :)
.
โดยในภาคนี้ก็ตามสูตรคลาสสิคครับ ผมไม่ได้หมายถึงเนื้อเรื่องนะ แต่หมายถึงวิธีการเล่าเรื่องที่เราชอบ และมันยังคงเป็นเอกลักษณ์แบบเดิมอยู่ ในการมอบหมายภารกิจ เมื่อออกคำสั่งเสร็จมันก็จะทำลายตัวเองทิ้งภายใน 5 วินาที ไอ้ตรงนี้นี่มันคลาสสิคจริงๆเลยให้ตายสิ ผมชอบว่ะ!555555 (เรื่องนี้ดูฟรี คลิกเลย) แล้วในภาคนี้มันถ่ายสวยยยยยมากกกกกกกกก!!!!! ทั้งการวางมุมกล้อง การจัดวางตัวละครในซีนนั้นๆ คือทุกอย่างมันเป๊ะเว่อร์แบบธรรมชาติ โคตรเท่เลยครับ ฟินมว๊ากกกก!! >_< แล้วในเรื่องมีฉากสวยๆ วิวโลเคชั่นเจ๋งๆเยอะมากกก ให้คนดูได้ชมเพลินๆตา สมบูรณ์แบบสุดๆ!!! ผมรักมุมกล้องของภาคนี้มากเลยอ่ะ เจ๋งมากกก!!!!! เค้ารู้วิธีการว่ามุมไหนคือมุมที่ดีที่สุดสำหรับคนดู แล้สมันก็ออกมาดีจริงๆ ทีมงานทำเต็มที่แล้วครับผม ขอชื่นชมจากใจครับ :)
.
ตัดมาที่เนื้อเรื่องบ้างครับ... ภาคนี้จัดเต็มมากกกก!!! โครงสร้างซับซ้อนแต่เล่าออกมาได้สนุกแล้วดูง่าย ดูเพลินมากกก มีการหักเหลี่ยมแผนซ้อนแผนกันได้แบบ.. ว้าวมากๆ ทำเราทึ่งกับมันได้เลย สุดยอดจริงๆครับ!!! หักกันไปหักกันมา การเป็นสายลับเนี่ยนอกจากฝีมือดีแล้วยังต้องมีสมองด้วยนะ ชอบที่มันประชันหัวคิดกันนี่แหละ ดูมีชั้นเชิงในการเล่าดี แล้วไม่เพียงแต่หลอกตัวละครในเรื่องนะ มันหลอกกระทั่งคนดูนอกจอให้เคลิ้มจนหลงคารมไปด้วยอีก55555 ตกหลุมกับดักซะเต็มเปาเลยยยย.... แหะๆ
.
นอกจากประชันหัวความคิดกันแล้ว... ในหนังก็ยังมีมุขตลกให้อมยิ้มกันขำขันด้วยนะ ในส่วนของดราม่าก็ดี... กระแทกกระทั้นใจมาก แต่ก็ยังไม่ซาบซึ้งเท่าที่ควร คงเพราะหนังไม่ได้ปันเวลาในส่วนนี้มากสักเท่าไหร่ แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว... มันไม่จำเป็นต้องแบ่งเวลาให้กับส่วนดราม่าตรงนี้หรอก เพราะแค่คิดก็เห็นภาพของความอัดอั้นตันใจที่ทำให้เราเข้าใจดราม่าของหนังได้แล้วโดยไม่ต้องผ่านการปูเรื่องราวอะไรมาให้มากมาย...
.
โดยไฮไลท์เด็ดของหนังเลยคือ "ฉากแอคชั่น" ครับ บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับว่า... มันส์และสุดยอดมาก!!! ทั้งฉากสู้รบยิงกันหูดับตับไหม้ หรือฉากไล่ล่า คือมันเดือดมากๆอะ ไม่ปล่อยให้ได้พักหายใจเลย สุดตัวจริงๆครับ!!! แล้วฟินยิงกว่าเมื่อรู้ว่าทอม ครูซเล่นเองไม่ใช้สตั้น!!! สุดยอดจริงๆครับผู้ชายคนนี้ และสำหรับผมแล้วนั้น... ต่อให้ฉากบู๊ทั้งเรื่องมารวมกัน ก็เทียบไม่ติด"ฉากสู้มือเปล่า"หรอกครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่น่าจดจำที่สุดแล้วสำหรับภาคนี้ และผมมั่นใจมากๆว่าคุณก็จะประทับใจและมันส์สุดติ่งไปกับฉากสู้มือเปล่าอย่างแน่นอน!!! ดุเดือด ดุดัน มันส์มาก เป็นการสู้ที่โคตรหนักหน่วง เจ็บแทนนักแสดงจริงๆ ดูดิบโหดมากๆ แล้วมันจะดิบเถื่อนขึ้นไปอีก เพราะหนังไม่ใส่เพลงประกอบระหว่างสู้กัน แต่ให้คุณได้สนใจไปกับฉากแอคชั่นนั้นจริงๆ... ถ้าใครจำได้ใน Captain America: Civil War ฉาก 2 รุม 1 ที่กัปตันและบัคกี้ร่วมมือกันสู้กับไอร่อนแมน ใครว่าเรื่องนั้นสุดยอดของคิวบู๊แล้ว... ในหนังเรื่องนี้ผมว่ามันดิบโหดและจัดเต็มกว่านั้นอีกครับ!!! อย่าได้พลาดเชียว!!!!! อุส่าห์โม้ให้ขนาดนี้แล้วต้องไปดูกันนะ555555 ไม่อยากให้พลาดของดี... (ตามที่เพจรอบสื่อเคยรีวิวออกมาว่ามันเดือดราวกับว่าพรุ่งนี้จะไม่มีหนังแอคชั่นให้ดูอีกแล้ว เป็นคำเปรียบเปรยที่ไม่เกินจริงเลย เพราะมันเข้มข้นและเดือดราวกับว่านี่จะเป็นหนังแอคชั่นเรื่องสุดท้ายของโลกใบนี้จริงๆ!!!)
.
และสิ่งที่สำคัญที่สุดของแฟรนไชส์นี้เลยก็คือ... "ทีมเวิร์ค" ที่ในภาคนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ และเคมีเข้ากันมากๆ!! เราจะได้เห็นการร่วมงานกันของพวกเขาที่โคตรจะเข้ากันของพวกเขา และคุณจะสนุกไปกับเรื่องราวภารกิจสายลับของพวกเขา!!!
.
ในส่วนของนักแสดงนั้น... Tom Cruise(ทอม ครูซ) นี่เราคงไม่ต้องพูดถึงกันแล้วม้างง แกแสดงได้โคตรดุดัน และมีจิตวิญญาณในการแสดงมากๆเลย ทุ่มเท่ขนาดไหนคิดเอานะ แสดงทุกฉากเองหมดเลย555555 แล้วตัวละครใหม่อย่าง Henry Cavill(เฮนรี่ คาวิลล์) เท่มากกกกกก!!! เป็นผู้ชายที่แบบ.. ทุกฉากที่มีเขาโผล่ออกมาผมร้อง"เหยดดดดดดๆ...."ตลอดเลย กล้องก็ตัดรับหน้าแบบคูลๆ เขาก็เดินเท่ๆ เหมาะแล้วจริงๆกับการเล่นในบทนี้ พ่วงด้วยทีมงานIMFอย่าง... Ving Rhames(วิง ราเมส) เพื่อนซี้เพื่อนสนิทของอีธาน และ Simon Pegg(ไซมอน เพ็กก์) ที่ภาคนี้เขาได้ใส่หน้ากากสมใจอยากแล้วนะ หลังจากที่บ่นมานานว่าอยากลงภาคสนามแล้วใส่หน้ากาก คือมันก็เป็น Fact เล็กๆน้อยๆที่แฟนๆหนังอย่างเรามีความสุขอะนะ จะปั่นป่วนขนาดไหนไปดูในโรงกันเองเน้ออ... อีกทั้ง Sean Harris(ฌอน แฮร์ริส) ตัวร้ายจากภาคที่แล้ว ที่ยังคงตามมาหลอกหลอนในภาคนี้ เป็นตัวร้ายที่สมน้ำสมเนื้อกับ Mission: Impossible จริงๆครับ!! ควรค่าอย่างยิ่งแก่ฉายาที่ผมจะตั้งให้ว่า... "คู่ปรับตลอดกาลของอีธาน ฮันท์" ถ้าเปรียบกันก็คงเหมือนโจ๊กเกอร์กับแบทแมนนั่นแหละ เป็นตัวร้ายที่อุดมการณ์มาก่อนจริงๆ... ไม่กลัวตาย ทุกเป้าหมายทำเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง! (เป็นตัวละครที่พากย์ไทยหลายๆคนไม่ชอบเพราะเสียงมันดูแห้งๆแหบๆ แต่ผมชอบนะ โคตรเรียลเลย สมกับหน้าตามันมาก ยิ่งในลุคนี้ไว้หนวดแล้วด้วย... เยดเข้!!! เลยครับ)
.
หนังมีหลายฉากให้ได้ลุ้นได้เสียวกัน!! ซึ่งส่วนต่างๆของเรื่องพอนำมาประกอบรวมกันแล้วมันทำให้เนื้อเรื่องสมประกอบมากๆเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นซาวน์ประกอบที่ระทึกเร้าใจ บวกกับมุมกล้องที่หวาดเสียวทำให้เราลุ้นเยี่ยวเหนียวได้เนี่ย สุดจริงๆครับ!! ไหนจะทั้งบทสรุปของหนังที่ทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา นี่มันบ้ามากกกก!!!!! ยิ่งสร้างยิ่งดีขึ้นทุกภาคเลย
.
และนี่เป็นครั้งแรกที่แฟรนไชส์นี้ได้ให้ผู้กำกับที่เคยกำกับมาแล้ว 1 ภาคได้กำกับต่ออีก 1 ภาค!!! โดยปกติแล้วจะเปลี่ยนมือผู้กำกับเพื่อรสชาติใหม่ๆของความสนุก แต่ในภาคที่ 6 นี้... Christopher McQuarrie(คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี) ยังคงกลับมากำกับอีกครั้งหลังจากที่กำกับภาคที่แล้วไป... ซึ่งมันสนุกขึ้น!!! จัดเต็มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ!!!!! เยี่ยมยอดมากครับ ^_^
.
สำหรับผมนี่คือภาคที่ดีที่สุดครับ :) เป็นการปิดจบไตรภาคที่สองของแฟรนไชส์ได้อย่างสวยงาม ทั้งฉากแอคชั่นที่จัดเต็ม ดราม่าก็ดี ความสัมพันธ์ตัวละครก็ลงตัว ตัวร้ายก็โคตรเจ๋ง แถมยังมีไอเดียมากมายในโลกของสายลับที่ยังเล่นได้อีกเยอะ!! นี่มันโคตรเพอร์เฟคเลยอะ :D ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆครับ!!! (กดเลย เพื่อดูเรื่องนี้) มันยกระดับฉากแอคชั่นในวงการภาพยนตร์ให้สูงขึ้นจริงๆเลย... แล้วยังปันส่วนเวลาไปพูดถึงคติสอนใจกับความเป็นธรรมความถูกต้องในโลกมนุษย์อีก... The Best...!!! มันทำได้ดีที่สุดเท่าที่หนังแอคชั่นเรื่องนึงจะทำได้เลย... ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำไป!
.
*******ความสงบเกิดไม่ได้! ถ้าไม่มีการนองเลือด... นองเลือดมากเท่าไหร่... สงบมากเท่านั้น!*******
.
คะแนน : 9 / 10
.
ใน Mission: Impossible - Fallout นอกจากความมันส์แล้วนั้น... คุณยังจะได้พบกับเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อน แฟน คู่หู และทีมงานของอีธาน ฮันท์อีกด้วย... ซึ่งมีให้เห็นหลายๆฉากถึงความทะเยอทะยานของมันที่อยากจะเป็นแค่หนังสายลับแอคชั่นดูเอามันส์อย่างเดียว... แต่มันยังแฝงถึงข้อคิดบางอย่าง ที่มีหลายอย่าง... ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงระบบว่ามันถูกต้องแล้วหรือ? ภารกิจนี้ทำไปทำไม? ใครสั่ง? แล้วทำเพื่ออะไร? ซึ่งทุกครั้งที่ได้รับภารกิจ มักจะมีข้อความที่บอกว่า"หากคุณเลือกที่จะยอมรับภารกิจ" แล้วคุณเคยที่จะปฏิเสธภารกิจบ้างไหม? หนังกล้าที่จะบอกว่า"เราเคยตั้งคำถามกับระบบบ้างไหม? นอกจากได้แต่ทำตามคำสั่งของใครก็ไม่รู้ ที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องจริงรึเปล่า..." นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องแล้วจริงๆหรือ... หรือจริงๆแล้วมันเป็นการทำลายล้างโลกของเรากันแน่...? แล้วใครล่ะคือฮีโร่? ผู้ก่อการร้ายที่ต่อต้านรัฐบาลที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างงั้นหรือ? แต่ไม่ว่าอย่างไหน... มันก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งคู่ แล้วอะไรล่ะคือความถูกต้องและยุติธรรมที่แท้จริง..?! หนังมีหลายสิ่งที่อาจทำให้เราฉุกคิดได้... ซึ่งถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่เนื้อเรื่อง แต่มันก็สะท้อนความจริงของโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว... (และในอีกแง่นึง อาจจะเป็นปมเรื่องราวที่ปูไปปูภาคต่อไปก็ได้...
.
“โลกต้องการคนอย่างคุณ... คนที่เห็นคุณค่าของคนหนึ่งคนไปไม่น้อยกว่าคนอีกหลายล้านคน...”
.
*เพิ่มเติม* ลืมพูดถึง Vanessa Kirby ไปได้ยังง๊ายยยยย?!! ในเรื่องเธอรับบทเป็น White Widow ครับ ไม่ได้เป็นญาติกับ Black Widow ในจักรวาล Marvel นะ55555 แต่จะบอกว่าเธอเด็ดเผ็ชปังมาก!!! ต้องไปดู แฮ่ก...แฮ่ก...




Create Date : 14 สิงหาคม 2561
Last Update : 14 สิงหาคม 2561 3:47:12 น. 0 comments
Counter : 1032 Pageviews.

สมาชิกหมายเลข 4201584
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 4201584's blog to your web]
space
space
space
space
space