Smiley.๐Smiley*~๐..ความรัก เป็นเรื่อง สวยงาม..๐Smiley*~๐Smiley.๐Smiley*~๐.
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
8...บั้งไฟพญานาค

***คำเตือน
ขอสงวนสิทธิ์ใดๆ ตามกฎหมาย ในการทำคัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของนิยายเรื่องนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ หากผู้ใดกระทำการคัดลอกหรือนำไปโพสในเวปอื่น ๆ หรือบล็อค หรือตีพิมพ์ โดยมิได้รับอนุญาตมีโทษปรับตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.กฏหมายลิขสิทธิ์





นิรันดร…



จะมีสักกี่คนที่รู้จักกับคำว่า “นิรันดร” ความหมายแห่งรักที่ผูกพัน ลึกซึ้ง และสืบนานเท่านาน แม้ความตายก็มิอาจพลัดพราก




8...บั้งไฟพญานาค...




หลังจากที่ฉันตกลงใจคบหากับคุณพล ดูเหมือนสิ่งต่างๆ รอบกายของฉันจะเปลี่ยนออกไป อย่างแรกเห็นจะเป็นเหล่าเพื่อนๆ ของฉัน ทั้ง พี่ยุพิน แอน และเบญจวรรณ ต่างพากันหยอกกระเซ้าฉันแทบตลอดทั้งวัน...และที่ดูจากเปลี่ยนไปมากที่สุดก็คงเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันของฉันที่ไม่เหมือนเดิม


ทุกวันคุณพลจะคอยเทียวรับ เทียวส่งฉัน จากที่บ้าน กับที่ทำงาน ซึ่งจริงๆ ฉันไม่ค่อยจะชอบนัก ดู...มันเหมือนไม่ใช่ตัวฉันสักเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะสะดวกสบายขึ้นก็ตาม ฉันชอบที่จะได้เดินเลาะตามริมทางระหว่างกลับห้องพักของฉัน ได้ชื่นชมกับต้นไม้ริมฟากถนน มากกว่า นั่งรถที่มีแอร์เย็นฉ่ำ แต่ไม่ได้เหยียบย้ำพื้นหญ้านุ่มๆ ของสวนสาธารณะใกล้ๆ ที่พัก


แต่ก็นั่นล่ะ คุณพลมักชอบพูดเสมอว่า ฉันชอบปฏิเสธเค้าเวลาที่เค้าอยากทำอะไรให้กับฉัน เค้าอยากทำหน้าที่คนรักที่ดีที่สุดต่อฉัน อยากให้ฉันรู้ว่าเค้ารัก และห่วงใยฉันมากแค่ไหน และหากฉันคอยปฏิเสธเค้าล่ำไป เค้าก็คงไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่คนรักแน่ๆ


คำพูดของคุณพลทำให้ฉันต้องยอมแพ้ในที่สุด......ยอมที่จะให้เค้าทำหน้าที่รับส่งฉันทุกเช้าเย็น และตลอดช่วงพักกลางวัน เราก็จะออกไปทานอาหารเที่ยงด้วยกันบ่อยครั้ง


ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น และเป็นปรกติตลอดช่วงหลายเดือนที่เราคบหากัน คุณพลทำหน้าที่คนรักได้ดีเยี่ยม ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ ลึกๆ ในใจฉันกลับรู้สึกเฉย ราบเรียบ ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นเหมือนที่คุณพลเป็น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม อาจเพราะฉันยังไม่คุ้นชินกับการมีคนคอยดูแลก็เป็นได้


บ่ายของวันพุธกลางสัปดาห์ ฉันนั่งทานอาหารกลางวันอยู่กับเพื่อนๆ ที่โรงอาหารของโรงงาน วันนี้คุณพลต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอกตั้งแต่ช่วงสายๆ และยังไม่กลับเข้ามา ทำให้ฉันได้มีโอกาสได้ใช้วิถีชีวิตธรรมดาอย่างที่เคยเป็นมา ได้กินข้าวกับเพื่อนๆ ได้พูดคุยเฮฮาตามประสาคนทำงานด้วยกัน พี่อู๊ดยังคงก่อกวนพี่ยุพินเช่นเดิม ส่วนพี่มาร์กับเบญจวรรณดูจะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ฉันแอบมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม


“อืม แล้วกานล่ะว่าไง” พี่ยุพินถามขึ้น ทำเอาฉันสะดุ้ง หลังจากที่รู้ตัวว่า กำลังนั่งมองพวกเค้าพูดคุยกันจนเพลิน


“คะ.....ว่าไงอะไรคะ” ฉันเลิกคิ้วถามขึ้นด้วยความสงสัย บวกกับสีหน้างุนงง


“นี่ๆ เป็นเอามากนะยัยกาน” อรนุชหันมาต่อว่าฉันเล็กๆ ด้วยรอยยิ้มและแววตาแอบแฝงบางอย่าง


“นั่นซิ คนเค้าคุยกันเสียงออกจะดัง ยังอุตส่าห์ใจลอยคิดถึงแฟนได้อีก” เบญจวรรณกระเซ้าเสริม


“ปะ..เปล่านะ กานไม่ได้คิดถึงใครนะ” ฉันโต้ปฏิเสธกลับด้วยความสัจจริง


“แล้วพี่ถามทำไมไม่รู้เรื่องล่ะ” พี่ยุพินเสริมทัพขึ้นอีกเสียง ทำเอาทุกคนยิ้มกริ่มมองฉันเป็นตาเดียว


“คือ กานก็แค่มองทุกคนแค่นั้นค่ะพี่ยุพิน” ฉันบอกกับทุกคน ถึงความจริง แต่เหมือนไม่มีใครยอมเชื่อฉัน ในสิ่งที่ฉันพูด


“จริงๆ นะคะ กานมองเพื่อนๆ ทุกคน เพราะรู้สึกว่า หลังๆ กานไม่ค่อยได้พูดคุยสนุกๆ กับทุกคนแบบนี้เลย” ฉันพูด้วยน้ำเสียงเนือยๆ กับชีวิตที่เปลี่ยนไปของฉัน จนอรนุชถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า


“ก็ใครใช้ให้เธอมีแฟนล่ะ แฟนเธอก็เลยแย่งเวลาของเพื่อนๆ ไปหมด”


ฉันได้แต่ก้มหน้านิ่ง รู้สึกเหมือนตนเองกำลังทำอะไรผิดพลาดลงไปยังไงไม่รู้...ความรู้สึกที่ผิดและห่างเหินนี้ ฉันไม่ค่อยจะชอบมันนัก


“เอาล่ะๆ เลิกแซวกานเค้าได้แล้ว ดูซิหน้าหงอยไปแล้วเห็นมะ” พี่ยุพินพูดขึ้น ทำให้บรรยากาศดูดีขึ้นมาเล็กน้อย


“คือเมื่อกี้นี้ พี่ถามกานว่า พวกเราจะไปเที่ยวบ้านพี่สุดสัปดาห์นี้ กานจะไปด้วยมั้ย” พี่ยุพินถามคำถามขึ้น ฉันเงยหน้ามองพี่ยุพินทำตาปริบๆ ด้วยความสงสัย


“ไปบ้านพี่ยุพินหรือคะ”


บ้านพี่ยุพินอยู่จังหวัดหนองคาย ทุกคนมักจะไปเที่ยวที่บ้านพี่ยุพินทุกๆ ปี ช่วงวันออกพรรษา เพราะช่วงนั้นที่หมู่บ้านพี่ยุพินจะมีประเพณี ประเพณีหนึ่งซึ่งจัดได้ยิ่งใหญ่มาก คือประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค แต่จะมีก็เพียงแต่ฉันคนเดียวที่ไม่เคยได้ไปเลย เหตุเพราะฉันติดภาระบางอย่าง ทำให้ไปเที่ยวกับทุกคนไม่ได้...เหตุผลที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม


“สงสัยกานคงไปไม่ได้เหมือนเดิมล่ะมั้ง” อรนุชพูดน้ำเสียงกระปอดกระแปด


“อืม ปีที่แล้วก็ติดต้องกลับไปบ้านคุณยายนิ” พี่อู๊ดพยักหน้าหงึกหงัก พลางยกมือลูบคางตนเองเบาๆ


ฉันนิ่งเงียบฟังเสียงจากทุกคนรอบข้าง ใจจริงฉันเองก็อยากจะไปบ้านพี่ยุพินเหมือนกัน ตั้งแต่จำความได้ ฉันเองยังไม่เคยเห็นพิธีบั้งไฟพญานาคเลยสักครั้ง แม้แต่ในทีวี เคยแต่ได้ยินมาจากพี่ยุพิน และเหล่าเพื่อนๆ ในโรงงานนี้เอง จะว่าไปก็แปลกอยู่เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเลยสักครั้ง


ช่วงนี้ของทุกปี ฉันมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านสวน บ้านของคุณยายแจ่มจิต คุณยายที่คอยเลี้ยงดูฉันตั้งแต่เล็กๆ จนโตมาถึงทุกวันนี้ นี่เองกระมังที่ทำให้ฉันไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้ถึงพิธีกรรมแบบนี้..


“เออออ จริงๆ กานก็อยากไปนะคะพี่ยุพิน เคยแต่ได้ยิน ได้ฟังแอนกับเบญเล่าให้ฟังตลอด..แต่ไม่เคยได้เห็นเลยสักครั้ง แต่...” ฉันนิ่ง ก้มหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ ออกมา


“ก็ไปกับพวกเราซิ งดไปหาคุณยายสักปี คุณยายแกคงไม่ว่าไรล่ะมั้งกาน” อรนุชบอกพร้อมยกมือมาจับไหล่ฉันเบาๆ


“ไม่ได้หรอกแอน ปีนึงฉันถึงจะมีโอกาสได้พบคุณยายสักครั้ง ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ คุณยายท่านก็ไม่คอยได้อยู่บ้านสวนด้วยเหมือนกัน จะมาให้พบก็ช่วงนี้เท่านั้น” ฉันบอกสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องกลับไปพบคุณยายแจ่มจิตในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี


“น่าเสียดายออกนะกาน เค้าว่า ปีนี้ครบรอบ 400 ปีซะด้วย จะมีไฟลูกใหญ่ด้วยนะ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นักหรอกนะกาน” พี่อู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายแทนฉัน


“จริงๆ กานก็อยากไปอยู่หรอกค่ะ” ฉันรู้สึกเสียดายตามคำของพี่อู๊ด


“ก็ถ้าอยากไป ก็ไปซิครับ” เสียงทุ้มจากด้านหลังดังขึ้น ทุกคนต่างหันมองไปทางต้นเสียง ยกเว้นฉันที่รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร


“แหม มาได้จังหวะเลยนะคะคุณพล” เบญจรวรรณยิ้มให้คุณพลที่เดินเข้ามายืนด้านหลังของฉัน


“ถ้ากานอยากไป ก็ไปซิครับ” คุณพลจับไหล่ฉันเบาๆ จากด้านหลัง เค้าโน้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเอาใจใส่ น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย


“แต่...” ฉันลังเลใจ


“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องคุณยาย เดี๋ยวเราก็รีบตีรถกลับจากบ้านคุณยุพิน ไปบ้านคุณยายคุณ ..ช้าไปสักวันหนึ่ง คงไม่เป็นไรนะครับ” คุณพลพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจใส่ และเข้าใจฉัน


“จริงด้วยค่ะคุณพล ช้าไปแค่วันเดียวไม่น่าจะเป็นไรนะกาน” พี่ยุพินเห็นด้วยกับคุณพล


“อืมๆ เป็นความคิดที่ดีนะ” พี่อู๊ดพยักหน้าเห็นด้วย


“นั่นซิกาน” อรนุช และเบญจวรรณพยักหน้าเห็นด้วยช่วยส่งอีกแรง


ฉันมองไปรอบๆ โต๊ะ มองหน้าทุกคนที่ยิ้มเห็นด้วยกับความคิดของคุณพล จนมาถึงพี่มาร์ที่ไม่เคยออกเสียงอะไรกับทุกเรื่องในกลุ่ม คนที่เอาแต่นั่งฟังเฉยๆ และคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่สุดท้าย พี่มาร์เองก็พยักหน้าให้เบาๆ เป็นการออกเสียงเห็นด้วยอีกสียง


“ผมรับรองครับว่า จะรีบพากานกลับไปหาคุณยายไม่เกิน 1 วัน” คุณพลยิ้มบอกกับฉันเป็นการให้คำสัญญา ฉันนิ่ง และทบทวนความคิดวนไป วนมา


“อืมม...ค่ะ กานตกลง”



ในที่สุดฉันก็ยอมตกลงกับข้อเสนอของทุกคนในกลุ่ม ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่จะได้มีโอกาสได้ไปเห็นสิ่งอัศจรรย์ที่ทุกคนต่างนำมาพูด มาเล่าให้ฟังตลอดเวลาที่ผ่านมา...ฉันนึกภาพที่จะเกิดขึ้น ตามคำบอกเล่าจากปากของทุกคน แสงไฟที่โพยพุ่งจากผิวน้ำยามค่ำคืน คงจะสวยงามน่ามองจริงๆ



ดังนั้นเมื่อเวลามาถึง บ่ายของวันศุกร์ก่อนวันแรม 1 ค่ำ เดือน11 เพียง 1 วัน ทั้งพี่อู๊ด พี่ยุพิน พี่มาร์ อรนุช เบญจวรรณ ฉัน และคุณพล พวกเราต่างพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางเพื่อไปพบกับสิ่งอัศจรรย์ น่าตื่นตาตื่นใจ ที่จังหวัดหนองคาย บ้านของพี่ยุพิน


พวกเราออกเดินทางจากจุดนัดพบคือที่บ้านพี่ยุพิน เพราะพี่ยุพินต้องการขนของฝากไปให้ญาติๆ ที่หนองคายเป็นของฝากจากเมืองกรุง การขนย้ายจึงมากกว่าคนอื่นๆ ที่พกพาเพียงกระเป๋าเสื้อผ้ากันคนละกระเป๋าเท่านั้นเอง...พี่อู๊ด ขับรถนำไปกับพี่ยุพิน และอรนุช ส่วนพี่มาร์ขับตามไปติดๆ โดยมีเบญจวรรณเป็นผู้โดยสาร ตอนแรกพี่อู๊อก็ชวนพี่มาร์ และเบญจวรรณนั่งรถไปด้วยกัน แต่พี่มาร์รู้ดีว่าพี่ยุพินตั้งใจจะขนของฝากไปมากอยู่พอควร และอีกอย่าง คงจะอยากใช้เวลาศึกษาดูใจเบญจวรรณไปด้วยขณะเดินทาง จึงทำให้ทั้งสองมีท่าทีที่ขัดเขินอย่างมากเวลาอรนุชแกล้งแซว ส่วนฉันกับคุณพลก็ขับตามกันไปติดๆ คุณพลยังคงชอบเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ คลอเพลงไปตามจังหวะที่เปิด ฮึมฮัม ไปตลอดทาง


“บรรยากาศต่างจังหวัดนี่ดีนะครับ” ถ้อยคำแรกที่คุณพลพูดขึ้นหลังจากที่เราออกเดินทางกันมาได้สักพัก


“ค่ะ” ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มองแนวทุ่งหญ้าที่โยกอ่อนไหวไปตามกระแสลมภายนอกตัวรถ บรรยากาศที่แตกต่างไปจากเมืองกรุงที่ชัดเจน


เพียงเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง พวกเราก็เข้าสู่ตัวจังหวัดหนองคาย ตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่งแล้ว บรรยากาศภายในตัวเมืองจังหวัดดูคึกคัก มีร้านค้าออกมาค้าขายอาหารรอบดึกกันสองข้างทาง พวกเราจึงแวะจัดการกับอาหารเย็นกันที่ร้านก๊วยเตี๋ยวเจ้าเก่าแก่ที่พี่อู๊ดการันตีว่า อร่อยที่สุดในเมืองหนองคาย เมื่ออิ่มหนำกันแล้ว พวกเราก็เดินทางตรงไปยังบ้านพี่ยุพินที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงบ้านพี่ยุพิน


พวกเราจัดการขนสัมภาระเข้าไปในบ้าน ซึ่งพ่อแม่พี่ยุพินออกมาต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น เป็นมิตร บ้านพี่ยุพินหลังใหญ่ กว้างขวางมากๆ พี่ยุพินบอกว่า เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปลายปีที่แล้ว จากน้ำพักน้ำแรงของพี่ยุพินที่ส่งมาให้ทางบ้านได้จัดการสร้างบ้านหลังใหม่ที่สวยงามน่าอยู่ พี่อู๊ดพูดติดตลกนิดๆ ว่า ‘พี่ยุพินเป็นนางฟ้าที่สามารถเนรมิตบ้านไม้เก่าๆ สองชั้นให้กลายเป็นบ้านตึกทรงยุโรปสองชั้นที่สวยงามน่าอยู่’


บ้านหลังใหม่นี้สามารถรองรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนสองตายายได้หลายสิบคน มีทั้งหมด 4 ห้องนอน และ 1 ห้องรับแขกที่เป็นโถงใหญ่กว้างขวาง พ่อพี่ยุพินบอกว่า แขกที่มาเยี่ยมมักจะชอบเมานอนกันที่ห้องโถงนี้ประจำ


นั่งคุยกันได้สักพัก พวกเราต่างก็แยกย้ายไปนอนเพื่อจะได้เตรียมตัวไปผจญภัยกันสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตของฉัน พี่ยุพินย้ำหนักแน่นกับฉันว่า จะไม่มีคำว่าผิดหวังอย่างแน่นอน




เช้าวันใหม่เริ่มต้นสดใส ตามแบบของบ้านในชนบท เสียงนกส่งเสียงดังแจ่วๆ มาจากทุ่งที่อยู่ห่างออกไป แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านก้อนเมฆบางๆ ตรงลงมาที่พื้นท้องทุ่งข้างบ้าน กลิ่นอากาศอันแสนบริสุทธิ์ พวกเราต่างตื่นขึ้นมาพบกับวันใหม่ด้วยอาการกระฉับกระเฉง


หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ช่วงสายๆ พวกเราก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังกิ่งอำเภอรัตนวาปี ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 67 กิโลจากบ้านพี่ยุพิน ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง คุณพลถามกับทุกคนว่า ทำไมถึงต้องรีบมากันตั้งแต่เช้าๆ แบบนี้ เพราะกว่าจะมีบั้งไฟพญานาคก็มืดๆ นั่นคือคำถามในใจฉันเช่นกัน แต่ฉันเลือกที่จะไม่ถามออกมา...แล้วคำตอบที่ได้รับนอกเหนือจากรอยยิ้มของทุกคนแล้ว ก็คือเพราะทุกปีจะมีผู้คนมากมายที่พากันมาชมความงามที่แปลกประหลาดนี้กันมาก จึงทำให้ต้องรีบเดินทางมาจองทำเลดีๆ ที่สามารถชมความงามนี้ได้อย่างชัดๆ


แล้วพวกเราก็ได้ทำเลดีๆ เป็นเวิ้งที่เว้าเข้ามาริมตลิ่งเล็กน้อย พื้นที่ราบเรียบ เหมาะกับการปูเสื่อนั่งรอชมปรากฏการณ์ที่แสนอัศจรรย์สำหรับค่ำคืนนี้ คุณพลเข้าไปช่วยหนุ่มๆ ปูเสื่อสาดและขนสัมภาระสำหรับดื่มด่ำกับค่ำคืนอันแสนน่าตื่นเต้น


หลังจากพวกเราจัดเตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อย ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ไหลหลั่งกันเข้ามาจับจองพื้นที่สำหรับชมปรากฏการณ์ของค่ำคืนนี้อย่างไม่ขาดสาย ฉันยืนมองพวกผู้คนเหล่านั้นด้วยอาการตลึงงัน นี่มีผู้คนมากมายพากันมาชื่นชมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้กันมากถึงเพียงนี้เลยหรือนี่...ฉันยืนมองทำตาปริบๆ แล้วให้นึกฉงนใจยิ่ง


“ยืนมองอะไรอยู่จ๊ะ” พี่ยุพินที่กลับมาจากขนขนมในรถเป็นรอบสุดท้าย เข้ามาพูดข้างๆ ฉัน เธอยิ้มกริ่มมองหน้าฉัน


“ก็กานนึกไม่ถึงเลยนะคะว่า จะมีคนมาเที่ยวกันเยอะขนาดนี้” สายตาของฉันยังไม่ละจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต่างทยอยหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย


“แหม ก็ปีนึงมีแค่ครั้งดียวนิจ๊ะ อีกอย่างนะ นอกจากจะมารอชมความงามของแม่น้ำคืนนี้แล้ว กานรู้มั้ย บั้งไฟพญานาคนี้ ยังทำให้คู่รักหนุ่มสาวรักกันมากขึ้น และสานสัมพันธ์ครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกด้วยนะ” พี่ยุพินยิ้ม


“ยังไงคะ” ฉันไม่เข้าใจ


“ก็กานคิดดูซิ บรรยากาศยามค่ำคืนในวันจันทร์ข้างแรม หนองน้ำใสไหลเย็น และลูกไฟสีสวยผุดขึ้นจากผิวน้ำ ไม่น่าโรแมนติกหรือไงจ๊ะ..หนุ่มสาวที่พากันมาที่นี่ ต่างก็ชื่นชมความงามที่เกิดขึ้น และทำให้ความรักนั้นสดใสมากขึ้นด้วย” พี่ยุพินยิ้มหวาน


“เหมือนพี่ยุพินกับพี่อู๊ดใช่มั้ยคะ” ฉันแกล้งพูดเย้า จนพี่ยุพินเขินหน้าแดง


“เรานิ...เอาใหญ่นะ” พี่ยุพินแกล้งตีที่แขนฉันเบาๆ แก้เขิน


“ไปๆ คุณพลชะเง้อคอมองหาเราใหญ่แล้วแม่ตัวดี” พี่ยุพินแสร้งเปลี่ยนเรื่อง พร้อมดึงแขนฉันให้กลับไปนั่งรวมกับทุกคนในกลุ่ม ซึ่งตอนนี้หนุ่มๆ กำลังเริ่มตั้งวงกันแล้ว


“อะไรกันคะ ตั้งวงแต่หัววันเลยหรือคะ” ฉันร้องถามเมื่อมองดูทุกคน


“แหม ก็อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่มีเวลาดิ่มแล้วนิคะน้องกาน” พี่อู๊ดตอบเสียงหวาน


“ไม่ทันไรก็เมาแล้วหรือพี่อู๊ด” อรนุชแกล้งดักคอ


“มงเมาไรกันน้องแอน พี่ก็พูดงี้ประจำ” พี่อู๊ดตอบพร้อมหยักคิ้วหลิ่วตาไปมา


“น้อยๆ หน่อยตาเฒ่า” พี่ยุพินไม่ปรามเปล่า แถมขนมเปี๊ยะฉาดเบาๆ เข้าที่หัวไหล่พี่อู๊ด ทำเอาพวกเราพากันหัวเราะ ขำในความน่ารักของคนทั้งคู่ที่ไม่เคยเปลี่ยน







***************************









Create Date : 10 กันยายน 2553
Last Update : 10 กันยายน 2553 22:53:54 น. 0 comments
Counter : 531 Pageviews.

kokoo_129
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Smiley*~๐.."รัก" ก็แค่คำว่า "รัก"..๐~*Smiley
Cute Cursors from Dollielove
Free Hit Counters
Friends' blogs
[Add kokoo_129's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.