เมษายน 2555

1
2
5
6
7
9
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
เรื่องของเด็ก ๆ ทุกข์ของพ่อแม่ ใครคือพระเอกขี่มาขาวมาช่วยได้บ้าง ?
...เด็กชายเป็นบุตรคนที่ ๓ มีปัญหาสมาธิสั้นแต่ไม่รุนแรง หมอให้ยาช่วย เดิมชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล

...พ่อไม่ค่อยมีเวลาเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน วันหยุดเรียนปริญญาเอก ส่วนคุณแม่ก็ทำงานหยุดเสาร์อาทิตย์

...ปัจจุบันเด็กเรียน ม. ๓ โดยทุกๆ วันคุณแม่ขับรถไปส่งหน้าโรงเรียน. แต่ปรากฏว่ามีผลการเรียนติด “๐” หลายตัว.จึงได้ตรวจสอบพบว่า ลูกไม่เข้าเรียน. แม้ว่าแม่จะไปส่งหน้าโรงเรียน. นอกจากนี้เด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เถียงพ่อแม่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงไม่สุภาพ มีพฤติกรรมติดเพื่อนและรุ่นพี่ที่มีความประพฤติไม่ดีที่ออกจากโรงเรียนไปแล้ว ในชุมชนระแวงโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนก็ทราบ แต่ไม่เข้าไปจัดการ เช่น แจ้งให้ตำรวจจัดสายตรวจและเคลียร์ในพื้นที่ดังกล่าว ครอบครัวแกรงว่าลูกจะไปเกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติด

...ภายหลังผู้ปกครองทราบข้อมูลว่า มีครูทำโทษเด็กโดยใช้ไม้บรรทัดตีศีรษะเด็ก อาจจะเนื่องมาจากพฤติกรรมก็ได้. และมีครั้งหนึ่งบิดานำบุตรไปแก้ “๐” ที่โรงเรียน ครูท่านหนึ่งได้ชี้หน้าว่าเด็กพร้อมผู้ปกครอง ถึงพฤติกรรมเมื่อวานนี้ แต่เด็กอ้างว่าเมื่อวานเด็กบอกว่าอยู่กับแม่ทั้งวัน แต่ครูไม่เชื่อ บิดาจึงกล่าวขอโทษเด็กที่ลูกเถียงครู ปัญหานี้ก็ไม่ได้รับการเคลียร์ให้จบว่า “เด็กหรือครูที่พูดไม่จริง” และด้วยความความห่วงของคนในครอบครัวพี่ชาย พ่อแม่ มักจะสอบถามเรื่องการเรียนและการซ่อมเรื่องเรียน เด็กอ้างว่ามีแต่คนสอน ๆ ๆๆ เครียด...ไม่อยากอยู่บ้านไม่มีความสุข

...เด็กมีเงื่อนไขว่า ถ้าจะให้แก้ติด “๐” ต้องซื้อจักรยานยนต์ให้ ด้วยความรัก จึงรับปากลูกไป พร้อมตั้งเงื่อนไขว่าให้ลูกปรับพฤติกรรม.

...เด็กเพิ่งออกจากบ้าน..โดยไม่ฟังพ่อแม่ โดยครอบครัวไม่ให้นำจักรยานยนต์ไป บอกว่าจะไปอยู่กับเพื่อน

...พ่อแม่ที่มีปัญหาแบบนี้มีมากมาย ไม่รู้จะพึ่งใคร ต้องทุกข์โศก รอคอยตามแก้ปัญหาลูกที่จะเกิดในอนาคต เช่น อาจติดยาต้องพาไปบำบัด ถูกจับประกันต้องไปประกันตัว ฯลฯ



Create Date : 08 เมษายน 2555
Last Update : 8 เมษายน 2555 17:10:14 น.
Counter : 846 Pageviews.

1 comments
  
เห็นใจอย่างมากที่สุดเลย เพราะตัวเองก็มีลุกที่เป็นสมาธิสั้นและไฮเปอร์ด้วย ตอนเด็กไม่นั่งเรียน แต่เดินรอบห้อง แต่เป็นผู้ปกครองประเภทไม่เข้าไปก้าวก่ายกับการเรียนการสอนของโรงเรียน ก็เลยไม่ทราบพฤติกรรมของลูกว่าเป็นแบบนั้นตอนอยู่ที่โรงเรียน แต่พอดีว่าลูกสอบตกได้46เปอร์เซนต์ ครูที่โรงเรียนบอกว่าต้องให้เรียนพิเศษ แต่ไม่อยากจะให้ลูกเรียนพิเศษ ก็เลยหาวิธีสารพัดอย่างมาสอนลูกเอง ทั้งหลอกล่อ ทั้งตี ทั้งโอ๋ ปรากฏว่าเทอมต่อมาลูกสอบได้ 79เปอร์เซนต์ อาจจะโชคดีที่เจอคุณครูที่มีจิตใจดีตอนอยู่อนุบาล3 คุณครุมาบอกว่าให้คุณแม่ลองพาลูกไปปรึกษาจิตเวชเด็ก ก็เลยไปที่รพ.เด็ก หมอก็ให้ยามากินให้นิ่ง ก็พอจะเรียนได้ กินยาอยู่ 3 ปี ป.1-ป.3 และไปหาหมอตามนัดตลอด จนหมอบอกว่าหายแล้วไม่ต้องกินยาอีกแล้ว ปัจจุบันลูกอยู่ ม.6วิทย์คณิต การเรียนก็พอใช้ได้มีติด 0 บางวิชา แต่ซ่อมได้ 1 ก็พอผ่านไปได้
อาจจะโชคดีกว่าของ คุณเจ้าของกระทู้นิดนึงตรงที่ว่า แม่มีเวลาอยู่กับลูกตลอด เพราะแม่ไม่ได้ทำงานอะไร ไปรับไปส่ง กินข้าวดูหนัง ตีเทนนิส ด้วยกันทุกอย่าง และลูกก็ไม่ติดเพื่อนมาก ชอบอยู่บ้าน และเราก็มีกฏอยู่ข้อนึงที่ขอกันไว้และก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรและเซ็นชื่อกำกับไว้ด้วยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ห้ามเรียกร้องขอซื้อมอไซค์เด็ดขาด ก็โอเครอดจากความทุกข์ใจมาได้เปลาะนึง
อยากบอกว่าเห็นใจจริงๆ ไหนลูกจะเป็นที่น่าระอาของครูและเพื่อนก็ชอบแกล้ง ไม่ก็ไม่สุงสิงด้วย เราต้องเห็นใจลูกของเราเป็นอย่างมาก เพราะลูกเราเค้าไม่ผิดที่เค้าเกิดมามีสารเคมีในสมองน้อยไปหน่อยทำให้เค้าสมาธิสั้น(อันนี้เป็นคำพูดจากคุณหมอค่ะ)
อดทนนะคะ อย่าไปตัดความรำคาญกับลูกเด็ดขาด
อาจจะมีเบื่อหรือเซ็งบ้าง ก็ต้องกลับมายอมรับความจริงว่าเค้าเป็นของเค้าแบบนั้นจริงๆ เค้าไม่ได้แกล้งเป็น
โดย: นน IP: 58.9.12.239 วันที่: 8 เมษายน 2555 เวลา:17:48:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า