ส่วนมะเดื่อฝรั่ง หรือ Fig มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ficus carica L. อยู่ในวงศ์ Moraceae เช่นเดียวกับพวกหม่อน (mulberry) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีหลักฐานยืนยันว่าแหล่งที่ขุดพบซากต้นมะเดื่อ คำนวณอายุแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 ปีก่อนคริสตกาล
มนุษย์มีการปลูกมะเดื่อฝรั่งมานับพันปีในประเทศแถบลุ่มแม่นำ้เมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปและแอฟริกาเหนือ ปัจจุบันการปลูกมะเดื่อฝรั่งได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเทศสเปน ตุรกี และอิตาลี บางพันธุ์สามารถปลูกได้ในแคลิฟอร์เนียทางใต้และพื้นที่แห้งแล้งของอเมริกา
มะเดื่อฝรั่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ราว1,200 กว่าสายพันธุ์ แต่ละประเทศมีสายพันธุ์ของตนเอง โดยแหล่งกำเนิดจริง ๆ มาจากประเทศแถบอาหรับ ตะวันออกกลาง ซึ่งแต่ละประเทศที่ปลูกมะเดือฝรั่ง มีการพัฒนาสายพันธุ์ของตนเองขึ้นมา
คุณสมบัติและประโยชน์ของผลมะเดื่อฝรั่ง จะมีแคลเซี่ยมสูงที่สุดในบรรดาผักและผลไม้ เทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่านมด้วยซ้ำไป มีใยอาหารมาก มะเดื่อฝรั่งมีใยอาหารมากกว่าลูกพรุนประมาณ 5 เท่า
ปัจจุบันพบว่าผลผลิตทั่วโลกประมาณ 90% จะถูกแปรรูปเป็นผลไม้แห้ง นอกนั้นจะใช้รับประทานเป็นผลสด มีปริมาณน้อยมากที่บรรจุลงในกระป๋องหรือทำการแปรรูปแบบอื่น
พันธุ์มะเดื่อฝรั่งที่รับประทานกันอยู่ในบ้านเรานี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ กลุ่มสายพันธุ์ลูกใหญ่ เพื่อการรับประทานสด และกลุ่มสายพันธุ์ที่ลูกเล็กเพื่อการอบแห้ง และแปรรูป
มะเดื่อฝรั่งที่เอาพันธุ์มาจากญี่ปุ่น บางคนเปลี่ยนชื่อเป็นมะเดื่อญี่ปุ่นไปแล้ว
สายพันธุ์เพื่อการรับประทานสด เช่น สายพันธุ์จากญี่ปุ่น อิตาลี่ ในกลุ่มของสายพันธุ์ที่รับประทานสดนั้น ผลใหญ่ สีสวย กลิ่นหอม หรือออกในโซนสีแดง สีม่วง แต่หากเป็นสายพันธุ์เพื่อการแปรรูป ก็จะลูกเล็กหน่อย สีไม่ค่อยสด เรียกว่าไม่สวยก็ได้ มักเอาไปทำอบแห้งบ้าง ทำแยมบ้าง
มะเดื่อเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นเป็นปุ่มแตกกิ่งก้านออก ใบเดี่ยว ด้านหนึ่งหยาบ อีกด้านหนึ่งมีขนอ่อน ลำต้นมียางสีขาว ผลออกเป็นกระจุก กลมแป้นหรือรูปไข่ เปลือกบาง ผลอ่อนสีเขียว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แดงหรือชมพูแล้วแต่พันธุ์ เนื้อในสีแดงเข้ม สุกแล้วมีกลิ่นหอม
การปลูกเพื่อการค้าเริ่มที่ประเทศในแถบเอเชียตะวันตก แล้วจึงแพร่หลายสู่ซีเรีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันปลูกมากในยุโรปใต้ สหรัฐ ตุรกี ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ แต่เดิมนั้น ประเทศไทยนำเข้ามะเดื่อฝรั่งในรูปผลแห้ง เริ่มนำต้นมะเดื่อฝรั่งเข้ามาปลูกครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2524 ที่ดอยอ่างขาง โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มูลนิธิโครงการหลวง เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น
ผลมะเดื่อฝรั่งสุกมีกลิ่นหอมและพบสารละเหยที่สามารถแยกแยะได้ถึง 10 ชนิด โดยมี Ethyl acetate เป็นส่วนใหญ่ ให้คุณค่าทางอาหารสูงและเป็นแหล่งพลังงาน จากสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารประเภทให้เส้นใยที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการกำจัดของ เสียจากร่างกาย
เกลือโพแทสเซียมในกรดอินทรีย์ของมะเดื่อฝรั่งช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเป็น กรดด่างในร่างกาย โดยไม่ให้เกิดกรดมากเกินไป
นอกจากนี้ยังพบว่าภายในผลมีโปรตีน เอ็นไซม์ วิตามิน และเกลือแร่ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย และปริมาณก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เช่น ผลสุกของ kadote น้ำหนัก 100 กรัม มีแคลเซียม 32 มิลิกรัม ซึ่งมากว่าผลไม้ชนิดชนิดอื่นที่ได้นำมาเปรียบเทียบ ผลมะเดื่อฝรั่งหรือสารสกัดที่ได้จากผลได้ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ในรูปของ สารยับยั้งเซลล์มะเร็ง
สายพันธุ์และลักษณะที่น่าสนใจ
Brown Turkey (ชื่ออื่น Turkey , Southeastern Brown turkey, San Piero , Black Spaish) เป็นพันธุ์ที่มีการปลูกกันมากที่สุด ผลมีขนาดใหญ่ รับประทานสด ผลผลิตชุดแรกมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้ม ผลชุดหลังมีขนาดเล็กกว่า เนื้อผลสีชมพูอ่อน ๆ ต้นมีขนาดเล็ก ถ้าถูกตัดแต่งมากจะกระทบต่อผลผลิต
Celeste (ชื่ออื่น Blue Celeste, Celestial, Malta) ผลออกสีเหลืองแดงปนม่วง เนื้อเหลืองอำพันเหมือนสีดอกกุหลาบ รับประทานสด เป็นพันธุ์ที่ถูกแนะนำให้ปลูกโดยทั่วไป ต้นมีความแข็งแรง
Kadota (ชื่ออื่น Florentine) ผิวผลมีความเหนียวและสีเหลืองเขียว ผลผลิตชุดแรกมีรสชาติที่ดีกว่า เป็นพันธุ์ที่ใช้ในการอบแห้งและแปรรูป ต้นมีความแข็งแรง ปกติไม่มีเมล็ด หรือ Seedless
Conadria มีต้นกำเนิดแถบริมแม่น้ำในแคลิฟอร์เนีย ผลมีผิวบางและสีขาวเจือม่วง เนื้อผลสีขาวถึงแดง ไม่เน่าง่าย ต้นมีความแข็งแรง สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิได้
Dauphine (ชื่ออื่น Ronde Violltte Hative, Adam, Pequadiere, Pl no. 18873) ปลูกในฝรั่งเศส ใช้บริโภคผลสด ทนทานต่อการขนส่ง ผลมีขนาดปานกลางถึงใหญ่ ผิวเป็นมัน ในสภาพกลางแจ้งผิวสีม่วงเข้ม และในร่มสีม่วงออกเขียว เนื้อหนา คุณภาพดี ผลรุ่นสองมีขนาดปานกลาง
การปลูกมะเดื่อฝรั่งที่ศรีราชา
ข้อดีของมะเดื่อฝรั่งที่น่าจะปลูกกันในเมืองไทยของเรา
1. เป็นผลไม้ที่ให้ผลผลิตเร็ว ปลูกเพียว 5-6 เดือนก็เตรียมเก็บผลขายได้แล้ว กิ่งพันธุ์มะเดื่อฝรั่งที่มีการซื้อ-ขายกันในปัจจุบันจะเป็น ประเภทกิ่งตอน ราคาซื้อ-ขายกิ่งพันุ์มะเดื่อฝรั่งจะมีราคาเฉลี่ยกิ่งละ 500 บาท ปลูกในกระถางก็ได้
2. ไม่พบปัญหาเรื่องไม่ออกดอกติดผล เพียงแต่คัดเลือกสาย พันธุ์ที่เหมาะสมเท่านั้น
3. จัดเป็นผลไม้แปลกและหายาก เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของมะเดื่อฝรั่งผ่าซีกแล้วอาจนึกว่ารสชาติคงไม่เข้าท่า ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ อย่างสายพันธุ์จากญี่ปุ่นที่ปลูกที่ จ.พิจิตร ลือกันว่าอร่อยกว่ามะเดื่อฝรั่งที่มาจากเมืองนอก
4. เป็นผลไม้ที่บริโภคเป็นอาหารและยา มีคุณค่าทางอาหาร โดยเฉพาะปริมาณของธาตุแคลเซียม, ไม่มีธาตุโซเดียมที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ไม่มีคลอเรสเตอรอล ในบางตำราถึงกลับบอกว่าถ้ามีการบริโภคมะเดื่อฝรั่งเป็นประจำจะช่วยป้องกัน โรคนิ่วในไต, ป้องกันโรคกระเพาะปัสวะอักเสบและยังช่วยฟอกตับและม้าม
5. มะเดื่อฝรั่งนำมาปลูกในระบบปลอดสารพิษได้ ไม่ต้องใช้สารเคมีในการปราบศัตรูพีช เพราะว่าศัตรูที่สำคัญมีเพียงมดและนกเท่า นั้น ซึ่งหาวิธีการป้องกันได้ไม่ยาก สำหรับปัญหาเรื่องแมลงวันทองจะใช้วิธีการห่อผลในช่วงที่ผลเริ่มเข้าสีเพียง 2-3 วันเท่านั้น
เมื่อคนไทยรู้จักมะเดื่อฝรั่งมากขึ้น รู้คุณค่าของมันที่ไม่ใช่คำโฆษณาชวนเชื่อ คงมีคนสนใจที่จะปลูกพืชชนิดนี้เพื่อการค้ามากขึ้น อาจกังวลอยู่บ้างที่กิ่งพันธุ์ยังแพงอยู่ ถ้าปลูกในโรงเรือนยิ่งต้องลงทุนนับล้านบาท ผลที่ได้แม้จะคุ้มกับการลงทุนภายใน 2 ปี แต่ไม่มีใครรับประกันราคา เป็นธรรมชาติของสินค้าเกษตรที่ควรต้องศึกษาอย่างรอบคอบ
ในงานเกษตรแฟร์เมื่อเดือนก่อน มีขายต้นมะเดื่อฝรั่งในกระถาง สนนราคาตามขนาดกระถาง 300 กับ 500 บาท เห็นแล้วน่าซื้อมาไว้ที่หัวกระไดบ้านสักต้นสองต้นครับ
เคยเห็นต้นต้นและเห็นผลด้วยค่ะ
แต่ไม่นึกว่ากินได้ด้วย อิอิอิ
อุ้มเชยมากเลยค่ะ