เรื่องเล่าจากคนพิการ(รุนแรง)คนหนึ่ง.... blog นี้ ทำขึ้น เพื่อหวังเพียงว่า ประสบการณ์ชีวิต และสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในช่วงชีวิตทั้งก่อนและพิการของผม จะพอมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ในสังคมบ้าง กำลังใจที่ทุกท่านมีให้ ก็ยินดีรับครับ แต่ถ้าเป็นไปได้"ความเข้าใจ"สำคัญที่สุดรับ
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
10 เมษายน 2551

๑๓.คนพิการ ยอมตาย....ยกตับให้ยอดรัก สลักใจ


นายวิมลกล่าวว่า ที่บอกว่าต้องการบริจาคตับให้กับทางยอดรัก เพราะเป็นแฟนเพลงของยอดรักมานาน ที่ผ่านมาได้เห็นข่าวต่างๆ ของนักร้องดังที่เป็นมะเร็ง มองเห็นว่าเขาเป็นคนมีค่า ที่ควรจะอยู่ไปนานๆ ไม่ควรจะต้องเป็นอะไรในตอนนี้ ส่วนตัวเองเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไร เพราะว่าเป็นอัมพาต เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุโดนฝาท้ายรถบรรทุกหล่นทับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนทำให้ไขสันหลังบวม กระดูกคอข้อ 4 และ 5 แตก ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ร.พ.ศิริราช หลายครั้งมาก จนต้องประกาศขายรถสิบล้อคันสุดท้าย ในราคา 390,000 บาท เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ธนาคาร เพราะนำบ้านที่ดินจำนองไว้ และมีหนี้สินที่กู้ยืมมาอีกรวมๆ แล้วในราว 4 แสนบาทจึงทำให้เบื่อหน่ายชีวิตเป็นอย่างมาก



นายวิมลกล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และไม่มีใครดูแล เนื่องจากภรรยาได้เลิกร้างกันไปแล้ว จะมีบ้างคือลูกสาวกับภรรยาคนแรกที่จะมาดูวันเว้นวัน ทุกวันต้องนอนอยู่ที่บ้านเฉยๆ จะกิน จะนอน จะเข้าห้องน้ำ ทำอะไรเองไม่ได้เลย อุจจาระ ปัสสาวะก็คุมไม่อยู่ และก็ยังมีอีกหลายต่อหลายอย่าง ตรงนี้เป็นภาระให้กับคนอื่นที่จะต้องมาทรมานกับเรา จึงคิดว่าถ้าหากว่าเป็นอะไรไป ส่วนของร่างกายที่ยังใช้ได้อยู่ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่น หลังได้ดูทีวีและทราบข่าวการป่วยของนักร้องดัง "ยอดรัก สลักใจ" นักร้องขวัญใจ จึงได้โทรศัพท์ไปบอกตามหมายเลขที่ได้มา ว่ายินดีที่จะบริจาคอวัยวะเช่นตับ เพื่อช่วยเหลือชีวิตอันมีค่าของยอดรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ส่วนตัวของยอดรักก็ไม่เคยได้คุยกัน อยากช่วยเพราะเป็นนักร้องในดวงใจ เคยเห็นตัวจริงไกลๆ เพียงครั้งเดียวที่ปั๊มน้ำมันระหว่างที่ยังขับรถสิบล้อได้อยู่ เพลงที่โปรดที่สุดคือเพลง "มหาฯ อกหัก"



"ผมเคยผ่าตัดมาแล้ว 4 ครั้งที่โรงพยาบาลศิริราช เวลาที่หมอให้ดมยาสลบมีความรู้สึกว่า สบายมาก เพราะไม่ได้รับรู้อะไรต่างๆ แต่พอฟื้นขึ้นมาก็จะพบกับความทรมานอย่างเดิมอีก คิดว่าถ้าผมไปจากโลกนี้ ก็คงจะสบายเหมือนกับที่เคยรู้สึกมาแล้ว การออกมาประกาศบริจาคตับให้กับคุณยอดรัก บอกตรงๆ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถทำได้หรือเปล่า หรือมันจะผิดกฎหมายหรือไม่ แต่เป็นความรู้สึกของผมจริงๆ ถ้าผิดกฎหมายก็คิดว่ากฎหมายไม่ได้ช่วยให้หายทรมานได้เลย คิดว่าส่วนอื่นๆ อย่างปอดก็ยังใช้ได้ ก็อยากจะให้พี่แอ๊ว-ยอดรักลองพิจารณาดูว่า คนที่สมควรจะอยู่ก็ควรอยู่ ส่วนคนที่ไม่สมควรอยู่อย่างผมก็ควรไป" นายวิมลกล่าว



ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ออกมาให้ข่าวเช่นนี้ เพราะอยากจะสร้างกระแสอะไรบางอย่างหรือเปล่า นายวิมลกล่าวว่า ไม่ใช่เลย ตนคิดว่าอยากจะช่วยอะไรก็ช่วย ไม่ได้คิดอย่างอื่น อีกอย่างตนก็ไม่ใช่เป็นคนมีชื่อเสียงหรือเป็นคนดังอะไร เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง จึงไม่ได้คิดว่าจะอยากดัง และความดังก็คงมาช่วยไม่ให้หายทรมานจากอาการที่เป็นอยู่ได้ เรื่องอยากจะเป็นข่าวไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลย


//hilight.kapook.com/view/21814







เผอิญได้อ่านข่าวนี้แล้ว ผมรู้สึกเหมือนเจออะไรที่คุ้นเคย แต่ห่างหายจากกันไปนาน......นั่นก็คือ ความคิดแบบนายวิมล(คนพิการในข่าวนั่นแหละครับ) วันนี้ ผมมีความคิดเห็น ความรู้สึก ที่แตกต่าง






แต่ ก่อนจะฟังผมเล่า....ลองตอบคำถามของผม ในใจดูนะครับ









คุณว่ามีแฟนเพลงที่รักยอดรัก มากกว่าคุณวิมลไหม? (เพราะ....ไม่เห็นมีแฟนเพลงคนอื่นมาเสนอแบบนี้ )


ถ้านายวิมล ไม่ได้เป็นคนพิการ...แกจะคิดอย่างนั้นไหม?


ถึงนายวิมล พิการ แต่....ไม่ลำบากนัก มีคนช่วยเหลือ แกอย่างดี...แกจะยังคิดอย่างนั้นไหม?


คุณคิดอย่างไรกับคนที่ยอมตาย แทนนักร้องลูกทุ่งคนนึงที่ตนชื่นชอบ?







สำหรับผม.......หลังจากอ่านข่าวแล้ว ผมเชื่อ 1000% เลยว่าพี่วิมล แกคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ (ถ้าทำได้จริงๆ นะ) เพราะ...ผมเอง ก็ เคยคิดแบบนั้นมาก่อน บางที มันไม่ใช่เฉพาะ... ยอมตายแทนคนดังเลยครับ ตายเฉยๆ เปล่าๆ ก็ยอม!



ผมเข้าใจว่า ที่พี่วิมล เสนอตัวแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่า ถ้าทำจริงๆ เขาก็ต้องตาย เพียงเพื่อนักร้องลูกทุ่งคนนึงที่ตนชื่นชอบ น่าจะเป็นเพราะ....พี่วิมล รู้สึกเหมือนที่ผมเคยประสบมา เช่น ไร้คุณค่า ไม่มีอนาคต หมดเป้าหมายในชีวิต มีความยากลำบากในการดำรงชีพ ไม่อยากอยู่เป็นภาระแก่ผู้อื่น ฯลฯ



จึงคิดง่ายๆ แค่ว่า... หากเราไปซะคนแล้ว ไม่เหลือภาระ คงจะมีแต่คนเห็นสบายกันไปหมด เราเองก็ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป แถม...ได้ตายแทนคนอื่นที่ดูมีคุณค่าอีกต่างหาก รู้สึกว่าความตายของเรา ช่างเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเสียนี่กระไร เรายังมีค่า มีประโยชน์นะ



เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมยังรับสภาพความพิการตัวเองไม่ได้ เวลากลางวัน อยู่คนเดียว ดูข่าวทีวี เห็นข่าวทำนองนี้...ก็คิดอย่างพี่วิมลนี่เลยครับ



แต่....หลังจากวันที่ผมเริ่มมีผู้ช่วยเหลือ คอยช่วยเหลือผม ในสิ่งที่ทำไม่ได้ ผมก็รู้สึกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วความคิดอยากตายก็ค่อยๆ ลดน้อยลง



จนกระทั่ง ปี ๔๖ จากการได้มีโอกาส ได้รู้จักเพื่อนคนพิการคนอื่นๆ ซึ่ง หลายคน พิการสูงใกล้เคียงกับเรา ผ่านชีวิตที่ยากลำบากคล้ายกัน ก็มีความคิดเปลี่ยนไปอีก
รู้สึกได้เลยว่า...... เรายังมี"เพื่อนทุกข์"ที่มีชีวิต ลำบากกว่าเราอีกเยอะ ที่เป็นเหมือนเรา เราไม่ได้แปลกแยกจากคนอื่น ได้เรียนรู้ ว่าความพิการ มันแค่ "อัตลักษณ์" ของเรา อาจจะหนัก เบา มาก น้อย แตกต่างไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับตัวเองให้ได้





คนทุกคนรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น แต่ผมว่า....(ไม่รู้ ว่ามีคนคิดแบบผมหรือเปล่า)มันก็อาจจะไม่แปลกอะไร นะ ถ้าเราจะคิดยอมยกชีวิตให้ใคร หรือตายแทนใครซักคน ถ้าคนนั้นเป็นคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ ลูก คนในครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่คนที่มี คุณค่าทางสังคมส่วนรวมอย่างสูงสุดจริงๆ



แต่..ถ้า คิดแบบตัวผมเองในอดีต คือ แค่ใครก็ได้สักคนที่เรารู้สึกว่าดีกว่าเรา ละก็ ผมว่า... ตรงนี้ผมเคย"ไม่ฉลาด"เอามากๆ เลย จริงๆ ครับ ได้แต่หวังว่า วันหนึ่ง...พี่วิมล คงได้เห็นคุณค่าในตัวเอง ได้ค้นพบตัวเองในสิ่งที่ตัวเองเป็น ในปัจจุบันขณะ ครับ (เคยเห็นกะตามาแล้ว40 แล้วพิการ แถมยังแจ๋วก็มีนะครับ)







ขออภัยแฟนเพลงยอดรักด้วยนะครับถ้าล่วงเกินไปบ้าง ผมแค่เขียนจากความรู้สึกครับ






Create Date : 10 เมษายน 2551
Last Update : 10 เมษายน 2551 20:01:37 น. 2 comments
Counter : 448 Pageviews.  

 
มาอ่านแล้วคร้าบ
เป้นความคิดเห็นที่ดี


โดย: EGAWA IP: 125.25.211.237 วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:21:23:58 น.  

 
อืมนะ เขาอาจจะรู้สึกสิ้นหวัง กลัวเป็นภาระ


โดย: designbox108 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:11:26:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kchai
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนพิการรุนแรง" คือ คนพิการที่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันครับ สำหรับผมเอง แม้แต่กินข้าว กินน้ำ ยังต้องมีผู้ป้อน เนื่องจากไม่สามารถใช้แขน และมือได้เลย
[Add kchai's blog to your web]