ชนะคนอื่นเป็นร้อย ยังไม่ยากเท่าชนะตนแค่คนเดียว...
เนลสัน มันเดลา (Nelson Mandela)

เนลสัน มันเดลา
    เนลสัน โรลิฮฺลาฮฺลา มันเดลา (Nelson Rolihlahla Mandela) เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่เมืองทรานส์คีย์ ประเทศแอฟริกาใต้ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2537-2542 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งนี้นี้ เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ เช่น มากาเรท เท็ตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย
    เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการถูกคุมขังในห้องขังเล็ก ๆ บนเกาะร็อบเบิน การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายแยกคนต่างผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2533 นโยบายประสานไมตรีที่เนลสันได้นำมาใช้ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตย ในขณะนี้ เนลสัน มันเดลา มีอายุกว่า 90 ปีแล้ว เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันจะขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลมันเดลาอย่างให้เกียรติว่า มาดิบา แต่มักเจาะจงหมายถึงเนลสัน มันเดลาเท่านั้น
    เนลสัน มันเดลา ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536

ช่วงแรกของชีวิต
    เนลสัน มันเดลา เป็นผู้สืบทายาทสายหนึ่งของราชวงศ์เทมบู ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองแคว้นทรานส์คีย์ในจังหวัดเอสเทิร์นเคปของประเทศแอฟริกาใต้ เขาเกิดที่มเวโซ (Mvezo) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ในเมืองอุมตาตา เมืองหลวงของทรานส์คีย์ ปู่ทวดของเขาคือ งูเบงคูคา (Ngubengcuka, เสียชีวิตปี พ.ศ. 2375) เป็นผู้ครองแคว้นในตำแหน่ง อิงโคซี เองคูลู (Inkosi Enkhulu) หรือ "กษัตริย์" ของชาวเทมบู โอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์มีชื่อว่า มันเดลา เป็นปู่ของเนลสัน และเป็นที่มาของนามสกุลของเขา อยางไรก็ดี เนื่องจากเขาเป็นบุตรแห่ง อิงโคซี เพียงคนเดียวที่เกิดจากภรรยาจากตระกูล อิกซิบา (หรือบ้างเรียกว่า "ราชวงศ์ฝั่งซ้าย") ดังนั้นผู้สืบตระกูลในสายนี้จึงไม่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ของเทมบู
    บิดาของมันเดลาคือ กัดลา เฮนรี มพาคันยิสวา (Gadla Henry Mphakanyiswa) มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมเวโซ แต่ในช่วงที่ประเทศตกเป็นอาณานิคม เขาถูกยึดตำแหน่งไปและขับไล่ให้ไปอยู่ที่ควูนู อย่างไรก็ดี มพาคันยิสวายังคงเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของ อิงโคซี อยู่ มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือจองกินตาบา ดาลินเยโบ (Jongintaba Dalindyebo) ให้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ของเทมบู ดาลินเยโบผู้นี้ต่อมาได้ให้การช่วยเหลือตอบแทนโดยรับตัวมันเดลาเอาไว้ในอุปถัมภ์หลังจากที่มพาคันยิสวาเสียชีวิต บิดาของมันเดลามีภริยา 4 คน และมีบุตรทั้งสิ้น 13 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 9 คน มันเดลาเป็นบุตรที่เกิดจาก โนซีคีนี แฟนนี ภริยาคนที่สาม (ตามลำดับอันซับซ้อนของทางราชวงศ์) แฟนนีเป็นบุตรสาวของนเคดามาแห่งตระกูลมเพมวู ธอห์ซา ซึ่งเป็นราชวงศ์ฝั่งขวา เป็นที่ซึ่งมันเดลาเจริญเติบโตขึ้น ชื่อจริงของมันเดลาคือ โรลีห์ลาห์ลา มีความหมายว่า "ดึงกิ่งก้านของต้นไม้" หรือเรียกอย่างเป็นกันเองว่า "เจ้าตัวยุ่ง"
    โรลีห์ลาห์ลา มันเดลา เป็นสมาชิกราชวงศ์คนแรกที่ได้ไปโรงเรียน ครูของเขาคือนางสาวมดินกานี (Mdingane) เป็นผู้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้เขาว่า "เนลสัน"
    เมื่อมันเดลาอายุได้ 9 ปี พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยวัณโรค และทางราชสำนักของจองกินตาบาได้รับเขาไว้ในอุปถัมภ์ มันเดลาได้เข้าโรงเรียนศาสนาของนิกายเวซเลียนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระราชวัง ตามประเพณีของชาวเทมบู เขาต้องผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุ 16 ปี จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่ Clarkebury Boarding Institute และสำเร็จอนุปริญญาในเวลาเพียง 2 ปีขณะที่หลักสูตรปกติต้องใช้เวลา 3 ปี มันเดลาเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์แทนตำแหน่งของบิดา ปี พ.ศ. 2480 มันเดลาย้ายไปเมืองเฮลด์ทาวน์ และเข้าเรียนในวิทยาลัยเวซเลียนที่ฟอร์ตโบฟอร์ต อันเป็นที่ซึ่งราชวงศ์เทมบูส่วนมากพำนักอยู่ เมื่ออายุได้ 19 ปี เขาเริ่มสนใจการชกมวยและการวิ่งแข่งที่โรงเรียน
    หลังจากจบการศึกษา มันเดลาเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ตแฮร์ ที่ซึ่งเขาได้พบกับโอลิเวอร์ แทมโบ แทมโบกับมันเดลาได้เป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทกันไปตลอดชีวิต มันเดลายังได้เป็นเพื่อนสนิทกับญาติคนหนึ่งชื่อ ไคเซอร์ (Kaiser "K.D.") มาตันซิมา ซึ่งเป็นทายาทของราชวงศ์เทมบูฝั่งขวา และอยู่ในฐานะผู้สืบทอดแคว้นทรานส์คีย์ ด้วยตำแหน่งนี้ทำให้เขาเข้าไปเกี่ยวพันกับนโยบาย Bantustan การที่เขาให้การสนับสนุนนโยบายนี้ทำให้เขากับมันเดลามีความคิดเห็นทางการเมืองขัดแย้งกัน เมื่อมันเดลาเรียนจบชั้นปีที่หนึ่ง เขาได้เข้าร่วมในสภาผู้แทนนักศึกษา (Students' Representative Council หรือ SRC) เดินขบวนต่อต้านนโยบายของมหาวิทยาลัย จนถูกไล่ออกและไม่ให้กลับมาอีก นอกจากจะยอมรับนโยบายของทางมหาวิทยาลัย มันเดลาจึงหันไปศึกษาปริญญาตรีด้านกฎหมายหลักสูตรทางไกลกับมหาวิทยาลัยลอนดอน
    หลังจากออกจากฟอร์ตแฮร์ไม่นาน กษัตริย์จองกินตาบาก็ประกาศจัดการแต่งงานให้กับมันเดลาและจัสติส (ราชโอรสและรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์) เด็กหนุ่มทั้งสองไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก จึงหนีออกไปยังเมืองโยฮันเนสเบิร์ก เมื่อไปถึงที่นั่น มันเดลาได้เริ่มทำงานเป็นยามเฝ้าเหมือง แต่ต่อมาไม่นานก็ถูกเลิกจ้าง เพราะนายจ้างทราบมาว่าเขาเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่หนีมา หลังจากนั้นมันเดลาได้เข้าทำงานเป็นเสมียนตรวจเอกสารในสำนักงานทนายความแห่งหนึ่งในโยฮันเนสเบิร์กที่มีชื่อว่า Witkin, Sidelsky and Edelman โดยอาศัยเส้นสายของเพื่อนและพี่เลี้ยง คือ วอลเตอร์ ซิซูลู ขณะกำลังทำงานที่นี่ มันเดลาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งแอฟริกาใต้โดยการเรียนทางไกล จากนั้นเขาศึกษาต่อทางกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สรันด์ ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมายที่ต่อมาได้ร่วมขบวนการต่อต้านการเหยียดผิว เช่น โจ สโลโว, แฮร์รี่ ชวาร์ซ และ รูธ เฟิสต์ ระหว่างเวลานี้มันเดลาอาศัยอยู่ที่เมืองอเล็กซานดรา ทางตอนเหนือของโยฮันเนสเบิร์ก

กิจกรรมทางการเมือง
    หลังจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2491 ชัยชนะได้ตกเป็นของพรรคชาตินิยม (National Party) ซึ่งสนับสนุนนโยบายการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรง มันเดลาเริ่มต้นเข้าร่วมมีบทบาททางการเมือง เขาเป็นผู้นำคนสำคัญในโครงการรณรงค์ต่อต้านของสมัชชาแห่งชาติแอฟริกัน (เอเอ็นซี) ในปี พ.ศ. 2495 และเข้าร่วมสมัชชาประชาชนในปี พ.ศ. 2498 ซึ่งมีหลักการพื้นฐานในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ระหว่างเวลานี้ มันเดลากับเพื่อนนักกฎหมายคือ โอลิเวอร์ แทมโบ ได้เปิดสำนักกฎหมาย Mandela and Tambo ขึ้น โดยให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ชนผิวดำผู้ด้อยโอกาสโดยไม่คิดราคาหรือด้วยราคาต่ำ
    ผู้มีอิทธิพลต่อแนวคิดของมันเดลาอย่างมากคือ มหาตมา คานธี ในเวลาต่อมาได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ มันเดลาเคยไปเข้าร่วมการประชุมที่นิวเดลี ระหว่างวันที่ 29-30 มกราคม พ.ศ. 2550 ในโอกาสครบรอบ 100 ปีการก่อตั้ง สัตยคราหะ ของคานธี ในแอฟริกาใต้
    มันเดลาเริ่มต้นจากการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลโดยวิธีไม่ใช้ความรุนแรง แต่เขากับเพื่อนร่วมขบวนการกว่า 150 คนถูกจับกุมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ในข้อหากบฏ การไต่สวนคดีกบฏคราวนี้กินเวลายาวนานมากตั้งแต่ พ.ศ. 2499-2504 และสิ้นสุดลงโดยที่จำเลยทั้งหมดไม่มีความผิด ในระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2495-2502 ได้เกิดการก่อตั้งขบวนการคนผิวดำกลุ่มใหม่ขึ้นเรียกว่า "กลุ่มนิยมแอฟริกัน" (Africanist) ขึ้นมาขัดขวางขบวนการเอเอ็นซีเดิม โดยเรียกร้องให้ทำการตอบโต้รัฐบาลของพรรคชาตินิยมอย่างรุนแรงขึ้น ผู้นำเอเอ็นซีในยุคนั้นภายใต้การนำของ อัลเบิร์ต ลูธูลี โอลิเวอร์ แทมโบ และวอลเตอร์ ซิซูลู รู้สึกว่ากลุ่มนิยมแอฟริกันนั้นรุกหน้าเร็วเกินไป ทั้งยังบังอาจท้าทายอำนาจของพวกเขาด้วย ทางกลุ่มผู้นำของเอเอ็นซีได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรหลายฝ่าย ได้แก่ กลุ่มชนผิวขาวกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มคนผิวสี (ลูกผสม) และพรรคการเมืองในอินเดีย ซึ่งเป็นการพยายามสร้างภาพพจน์ให้เหนือกว่ากลุ่มนิยมแอฟริกัน ในปี พ.ศ. 2498 กลุ่มเอเอ็นซีถูกฉีกหน้าในที่ประชุม Freedom Charter Kliptown Conference โดยได้รับเพียงเสียงโหวตเดียวจากที่ประชุมกลุ่มพันธมิตร ด้วยในจำนวนเลขาธิการกลุ่มพันธมิตรทั้งห้ากลุ่มนั้นมีถึง 4 คนที่มีสัมพันธ์อย่างลับ ๆ กับพรรคเกิดใหม่ คือ พรรคคอมมิวนิสต์แอฟริกาใต้ (South African Communist Party; SACP) ซึ่งเป็นมิตรแข็งแรงอยู่กับทางฝ่ายมอสโก
    เมื่อถึงปี พ.ศ. 2502 ขบวนการเอเอ็นซีสูญเสียการสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์ ขณะที่กลุ่มนิยมแอฟริกันภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากกานา และการสนับสนุนทางการเมืองอย่างเด่นชัดจากชนเผ่าบาโซโธซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่ทรานส์วาลล์ ได้แยกตัวออกไปเป็นกลุ่มแพนแอฟริกันนิสต์คองเกรส (Pan Africanist Congress; PAC) ภายใต้การนำของ โรเบิร์ต โซบูเคว และ โพตลาโค เลบัลโล

กิจกรรมต่อต้านการเหยียดผิว
    ในปี พ.ศ. 2504 มันเดลาได้ร่วมริเริ่มและเป็นผู้นำกองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซี เรียกชื่อว่า Umkhonto we Sizwe (หมายถึง หอกแห่งชาติ บ้างเรียกย่อว่า MK) เขาจัดการให้มีการลอบวางระเบิดสถานที่สำคัญทางราชการและทางทหารหลายแห่ง และใช้แผนการรบแบบกองโจรถ้าการลอบวางระเบิดล้มเหลว เพื่อให้ยุติการแบ่งแยกสีผิว มันเดลายังจัดการระดมทุนให้กองกำลัง MK และทำการฝึกฝนทางทหารให้กลุ่มควบคู่กันไป
    สมาชิกเอเอ็นซีคนหนึ่งคือ โวลฟี คาเดช เล่าถึงโครงการรณรงค์วางระเบิดที่นำโดยมันเดลาว่า : "ตอนที่รู้ว่าเราจะเริ่มลงมือในวันที่ 16 ธันวาคม 2504 โดยจะระเบิดสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกผิว เช่น สถานีโดยสาร ศาลปกครองท้องถิ่น และอะไรจำพวกนั้น... ที่ทำการไปรษณีย์ และ.. ที่ทำการรัฐบาล แต่เราต้องทำอย่างระวังเพื่อไม่ให้มีใครได้รับบาดเจ็บ ต้องไม่มีใครเสียชีวิต" มันเดลาพูดถึงโวลฟีว่า "ความรู้เรื่องการสู้รบและประสบการณ์ต่อสู้มือเปล่าของเขาจะช่วยฉันได้อย่างมาก"
    มันเดลาพูดถึงการยกระดับการต่อต้านไปสู่การใช้กำลังอาวุธนี้เป็นมาตรการสุดท้าย เนื่องจากรัฐบาลได้เพิ่มความรุนแรงในการปราบปรามมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขาคิดว่าการประท้วงคัดค้านการเหยียดผิวแบบสันติไม่สามารถและไม่มีวันประสบความสำเร็จได้
    ช่วงต่อมาราวปี พ.ศ. 2523-2532 หน่วย MK ทำสงครามกองโจรกับนโยบายแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรงจนมีพลเรือนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก มันเดลายอมรับกับเอเอ็นซีในภายหลังว่า ในการทำสงครามต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวกลับกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในการที่คนในพรรคบางคนพยายามเอาเนื้อความที่ยืนยันความจริงข้อนี้ออกไปเสียจากรายงานของกรรมาธิการสืบสวนข้อเท็จจริงและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (Truth and Reconciliation Commission)
    ตราบถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 มันเดลาและสมาชิกพรรคเอเอ็นซีเป็นบุคคลต้องห้ามในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา - เว้นแต่เพียงสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติที่แมนฮัตตัน - เนื่องมาจากการเป็นผู้ก่อการร้ายในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้

การไต่สวนริโวเนีย
    วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2505 มันเดลาถูกจับหลังจากหลบหนีอยู่นาน 17 เดือน และถูกจำคุกที่เรือนจำโยฮันเนสเบิร์กฟอร์ต เนื่องจากหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลแก่ตำรวจความมั่นคงถึงถิ่นที่อยู่และการปลอมแปลงตัวของเขา สามวันต่อมาจึงมีการประกาศข้อกล่าวหาแก่เขาต่อหน้าศาลว่าเป็นผู้นำขบวนการประท้วงของคนงานในปี พ.ศ. 2504 และทำให้ประเทศตกอยู่ในความวุ่นวาย วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2505 มันเดลาถูกตัดสินจำคุก 5 ปี สองปีต่อมาในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 คณะลูกขุนจึงได้ข้อสรุปโดยประเมินจากความสัมพันธ์ของเขากับขบวนการเอเอ็นซี
    ขณะที่มันเดลาติดคุก ทางตำรวจก็สามารถจับกุมผู้นำคนสำคัญ ๆ ของเอเอ็นซีได้อีกที่ฟาร์มลิลลี่ส์ลิฟ ริโวเนีย ทางตอนเหนือของโยฮันเนสเบิร์ก เมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 มันเดลาถูกกล่าวหาอีกครั้งในการไต่สวนริโวเนียโดยหัวหน้าอัยการ ดร. เพอร์ซี ยูทาร์ ด้วยความผิดอุกฉกรรจ์ฐานการก่อการร้าย (ซึ่งมันเดลายอมสารภาพ) และอาชญากรรมอื่น ๆ อันเปรียบได้กับการเป็นกบฏ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลสามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดาย ข้อกล่าวหาที่สองนี้ยังรวมถึงการที่ฝ่ายจำเลยพยายามชักนำการรุกรานจากภายนอกมาสู่แอฟริกาใต้ ซึ่งมันเดลาปฏิเสธ
    มันเดลาได้ขึ้นให้การในคอกจำเลยเมื่อตอนเปิดการไต่สวนในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2507 ที่ศาลพรีโทเรียสุพรีม เขาได้ตีแผ่เหตุผลที่กลุ่มเอเอ็นซีจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรุนแรง คำให้การของเขาเผยว่ากลุ่มเอเอ็นซีได้พยายามใช้สันติวิธีเพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวมาเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ชาร์เพวิลล์ จากเหตุการณ์นี้ร่วมกับการลงคะแนนเพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ การประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศ และการสั่งแบนกลุ่มเอเอ็นซี ทำให้พวกเขาเหลือทางเลือกแต่เพียงการต่อต้านด้วยการลอบวางระเบิด เพราะการเลือกทำวิธีอื่นใดนอกไปจากนี้จะเป็นเสมือนการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข มันเดลายังคงอธิบายต่อไปอีกว่า พวกเขาได้ก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธ Umkhonto we Sizwe ขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2504 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายจะชี้ให้เห็นความล้มเหลวของนโยบายของพรรคชาตินิยม หลังจากที่เศรษฐกิจในประเทศต้องถูกขู่เข็ญด้วยความไม่เต็มใจของนักลงทุนต่างชาติในการต้องเสี่ยงลงทุนในประเทศ เขาปิดการให้การด้วยถ้อยคำต่อไปนี้:
 
   
"ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ได้อุทิศตัวเองแก่การต่อสู้เพื่อประชาชนแอฟริกัน ข้าพเจ้าต่อต้านผู้ปกครองผิวขาว และก็ต่อต้านผู้ปกครองผิวดำ ข้าพเจ้ายินดีต่อประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติและสังคมอันเสรี ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถอยู่ด้วยกันอย่างสันติและด้วยความเสมอภาค นี่คืออุดมคติอันข้าพเจ้าหวังจะมีชีวิตอยู่ให้ถึง แต่หากจำเป็น ข้าพเจ้าก็พร้อมจะตายเพื่ออุดมคตินี้"

    จำเลยในการไต่สวนคราวนี้รวมไปถึง แบรม ฟิสเชอร์, เวอร์นอน เบอร์รังกี, แฮร์รี่ ชวาร์ซ, โจเอล จอฟฟี, อาร์เทอร์ ชาสคัลสัน และ จอร์จ บิโซส ฮาโรลด์ แฮนสัน ได้เข้ามาเป็นทนายแก้ต่างให้ในภายหลังเพื่อขอลดหย่อนโทษ ทุกคนถูกตัดสินว่ามีความผิด ยกเว้นเพียง รัสตี้ เบิร์นสไตน์ พวกเขารอดจากโทษประหารชีวิตไปได้ แต่ก็ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตตั้งแต่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ข้อกล่าวหาในคดีนี้ยังรวมไปถึงการวางแผนโดยใช้อาวุธ และอีกสี่คดีเกี่ยวกับการลอบวางระเบิด ซึ่งมันเดลาให้การยอมรับ และการสมคบคิดกับต่างชาติเพื่อรุกรานแอฟริกาใต้ ซึ่งมันเดลาให้การปฏิเสธ

การถูกคุมขัง
    เนลสัน มันเดลา ถูกจำคุกที่เกาะร็อบเบินเป็นเวลา 18 ปีจากจำนวนการติดคุกทั้งสิ้น 27 ปี ขณะอยู่ในคุก ชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้นและกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้นำชนผิวดำคนสำคัญที่สุดในแอฟริกาใต้ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำนั้น เขาต้องทำงานบนเกาะโดยการขุดเหมืองหินปูน กฎภายในคุกนี้มีง่าย ๆ นักโทษจะแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ตามเชื้อชาติ โดยที่นักโทษผิวดำจะได้รับปันส่วนอาหารในสัดส่วนน้อยที่สุด แต่นักโทษการเมืองจะถูกแยกออกจากนักโทษอาชญากรรมทั่วไปและถือเป็นชั้นต่ำที่สุดยิ่งกว่านักโทษทั้งหมด ซึ่งเรียกว่า "นักโทษกลุ่ม D" มันเดลาได้อธิบายว่า ทุก ๆ 6 เดือน เขาจะได้รับอนุญาตให้มีคนมาเยี่ยมได้หนึ่งคน และจดหมายหนึ่งฉบับเท่านั้น และเมื่อได้รับจดหมาย การส่งนั้นก็มักจะล่าช้าไปเป็นเวลานานมาก และยังถูกเซ็นเซอร์เสียจนแทบอ่านไม่ได้
    ขณะอยู่ในคุก มันเดลาได้เรียนต่อกับมหาวิทยาลัยลอนดอนผ่านหลักสูตรทางไกล และได้รับปริญญาตรีสาขากฎหมาย ในภายหลังเขาได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยลอนดอนในการคัดเลือกปี พ.ศ. 2524 แต่ก็แพ้ให้แก่ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์
    จากบันทึกความทรงจำของมันเดลาในปี พ.ศ. 2524 Inside BOSS นักสืบลับ กอร์ดอน วินเทอร์ ได้บรรยายส่วนที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับแผนการช่วยเหลือมันเดลาออกจากคุกในปี พ.ศ. 2512 วินเทอร์แทรกซึมเข้าไปในแผนนี้ในฐานะหน่วยสืบราชการลับของแอฟริกาใต้ ซึ่งต้องการให้มันเดลาหลบหนีออกจากคุกจะได้จัดการยิงเขาทิ้งเสียระหว่างการจับกุม แต่แผนนี้ถูกทำลายไปโดยหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ
    เดือนมีนาคม พ.ศ. 2525 มันเดลาถูกย้ายจากเกาะร็อบเบินไปยังเรือนจำโพลส์มัวร์ พร้อมกับกลุ่มผู้นำอาวุโสของเอเอ็นซี คือ วอลเตอร์ ซิซูลู แอนดรูว์ มลังเกนี อาห์เหม็ด คาธราดา และเรย์มอนด์ มฮลาบา ซึ่งเชื่อว่าได้ทำไปเพื่อลดอิทธิพลจากเหล่าผู้นำอาวุโสเหล่านี้ที่มีต่อนักโทษผิวดำอายุน้อยรุ่นใหม่ที่ถูกขังอยู่ที่เกาะร็อบเบิน และจัดตั้งกลุ่มขึ้นเรียกว่า "มหาวิทยาลัยมันเดลา" อย่างไรก็ดี โคบี โคตซี รัฐมนตรีจากพรรคชาตินิยมกล่าวว่าการเคลื่อนย้ายคราวนี้ได้ทำให้เกิดการพบปะอย่างลับ ๆ ขึ้นระหว่างพวกเขากับรัฐบาลแอฟริกาใต้
    เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ประธานาธิบดี พี.ดับเบิลยู. โบทา ได้เสนอเงื่อนไขในการปล่อยตัวมันเดลาให้เป็นอิสระ โดยให้ยกเลิกการต่อสู้โดยใช้อาวุธ โคตซีกับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ล้วนคัดค้านโบทาเรื่องนี้ โดยกล่าวว่ามันเดลาไม่มีวันจะยินยอมให้ขบวนการของเขาปลดอาวุธเพื่อแลกกับอิสรภาพส่วนตัว มันเดลาปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ไยดี และยังออกแถลงการณ์ผ่านบุตรสาวของเขา ซินด์ซี โดยกล่าวว่า

"ฉันจะได้อิสรภาพแบบใดกันขณะที่องค์กรแห่งผองชนยังถูกย่ำยี? มีแต่เสรีชนเท่านั้นที่จะเจรจาได้ นักโทษไม่อาจทำสัญญาใดๆ ได้"

    การพบปะครั้งแรกระหว่างมันเดลากับรัฐบาลพรรคชาตินิยมเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2528 เมื่อโคบี โคตซี พบกับมันเดลาที่โรงพยาบาลโฟล์คสในเคปทาวน์ ขณะที่มันเดลาต้องไปรับการผ่าตัดต่อมลูกหมากที่นั่น ตลอดเวลาสี่ปีต่อมา ก็มีการพบปะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายกันอีกหลายครั้ง เป็นพื้นฐานของการติดต่อและเจรจาต่อรองในลำดับถัด ๆ ไป แต่ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าอย่างจริงจังมากนัก
    ตลอดช่วงเวลาที่มันเดลาติดอยู่ในคุก มีแรงกดดันทั้งในท้องถิ่นและจากนานาชาติต่อรัฐบาลแอฟริกาใต้เพื่อให้ปล่อยตัวเขา ภายใต้คำขวัญที่ว่า Free Nelson Mandela! เมื่อถึงปี พ.ศ. 2532 ประเทศแอฟริกาใต้ก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อประธานาธิบดีโบทาป่วยหนักและถูกแทนที่ด้วย เฟรเดอริค วิลเลม เดอ เคลิร์ก เดอ เคลิร์ก ได้ประกาศปล่อยตัวมันเดลาเป็นอิสระในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533

การปล่อยตัว
    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ประธานาธิบดี เอฟ. ดับเบิลยู. เดอ เคลิร์ก ยกเลิกประกาศแบนขบวนการเอเอ็นซีและองค์กรต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวกลุ่มอื่น ๆ และประกาศว่ามันเดลาจะได้รับการปล่อยตัวจากคุกในไม่ช้า มันเดลาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำวิกเตอร์ เวอร์สเตอร์ ที่พาอาร์ล (Paarl) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
    ในวันที่ได้รับการปล่อยตัว มันเดลาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ เขาประกาศเจตนารมณ์ในการแสวงหาสันติภาพและการประนีประนอมกับชนผิวขาวกลุ่มน้อยในประเทศ แต่ก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่ากองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซีจะยังคงอยู่
    เขายังกล่าวอีกว่า เป้าหมายหลักของเขาคือการนำสันติภาพมาสู่ชนผิวดำพื้นเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และให้สิทธิ์แก่คนเหล่านี้ในการออกเสียงทั้งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

การเจรจาต่อรอง
    หลังจากที่มันเดลาได้รับการปล่อยตัวจากคุก เขาได้กลับมาเป็นผู้นำพรรคเอเอ็นซีระหว่างปี พ.ศ. 2533-2537 และนำพรรคเข้าสู่การเจรจาร่วมหลายพรรค ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งหลายชนชาติเป็นครั้งแรกของประเทศ
    ปี พ.ศ. 2534 พรรคเอเอ็นซีได้จัดการประชุมระดับชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้หลังจากได้รับประกาศยกเลิกการแบนแล้ว และเลือกให้มันเดลาขึ้นเป็นประธานขององค์กร เพื่อนและสหายเก่าของเขาคือ โอลิเวอร์ แทมโบ ซึ่งเป็นผู้นำขบวนการภายใต้การลี้ภัยมาตลอดเวลาที่มันเดลาอยู่ในคุก ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านประธานแห่งชาติ (National Chairperson)
    บทบาทการเป็นผู้นำของมันเดลาในการเจรจาร่วมกันกับประธานาธิบดี เอฟ.ดับเบิลยู. เดอ เคลิร์ก เป็นที่ประจักษ์อย่างโดดเด่น และทำให้ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในปี พ.ศ. 2536 อย่างไรก็ดี สัมพันธภาพระหว่างคนทั้งสองในบางคราวก็ค่อนข้างตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแลกหมัดครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2534 ซึ่งเขาเอ่ยถึงเดอ เคลิร์ก อย่างดุเดือดว่าเป็นหัวโจกของ "รัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีความน่าเชื่อถือ และนอกกฎหมาย" การเจรจาแตกหักนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่บัวปาตง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2535 มันเดลานำพรรคเอเอ็นซีออกจากการเจรจา และกล่าวหารัฐบาลของเดอ เคลิร์ก ว่าสมรู้ร่วมคิดกับการสังหารหมู่ครั้งนี้ แต่การเจรจาก็ได้หวนมาดำเนินสืบต่อหลังจากการสังหารหมู่ที่บิโช ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 เมื่อเหตุการณ์ส่อให้เห็นว่ามีแต่เพียงการเจรจากันเท่านั้นจะหลีกเลี่ยงการประจันหน้าที่รุนแรงลงไปได้
    หลังจากการลอบสังหารผู้นำพรรคเอเอ็นซี คริส ฮานิ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2536 ก็มีภัยชนิดใหม่เกิดขึ้นที่อาจนำประเทศไปสู่ความรุนแรงอีกครั้ง มันเดลาได้กล่าวอ้อนวอนขอให้ประเทศอยู่ในความสงบ ในสุนทรพจน์คราวนั้นเรียกกันว่าเป็นสุนทรพจน์ "ของประธานาธิบดี" แม้ว่าเวลานั้นเขาจะยังไม่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศ
 
   
"คืนนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ชาวแอฟริกาใต้ทุก ๆ คน ทั้งผิวดำหรือผิวขาว จากส่วนลึกแห่งจิตใจของข้าพเจ้าโดยแท้ ชายผิวขาวคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยอคติและความเกลียดชัง ได้มาถึงประเทศของเราและทำสิ่งที่เลวร้ายเหลือทนต่อประเทศของเรา ทำให้เรากำลังอยู่บนขอบอันหมิ่นเหม่ของหายนะ หญิงผิวขาวคนหนึ่งผู้มีกำเนิดเป็นชาวแอฟริกัน ได้เสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อให้เราได้ตระหนักถึงการลอบสังหารนี้ และนำมาซึ่งความยุติธรรม ฆาตกรเลือดเย็นผู้สังหารคริส ฮานิ ได้ส่งคลื่นแห่งความอกสั่นขวัญหายแผ่ออกไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลก... บัดนี้เป็นเวลาที่ชาวแอฟริกันทุกคนจะต้องยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เพื่อต่อต้านผู้ที่หมายจะทำลายในสิ่งที่คริส ฮานิ ได้สละชีวิตอุทิศให้ นั่นคือเสรีภาพของพวกเราทุกคน"

    มีการจลาจลย่อม ๆ เกิดขึ้นหลายครั้งหลังการลอบสังหาร ผู้มีส่วนร่วมในการเจรจาทุกฝ่ายถูกกระตุ้นให้ต้องรีบลงมือปฏิบัติเสียที ไม่นานก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยขึ้นในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2537 หนึ่งปีหลังจากการลอบสังหารคริส ฮานิ พอดี

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
    การเลือกตั้งแบบหลากชนชาติครั้งแรกในแอฟริกาใต้โดยที่พลเมืองทุกคนมีสิทธิเสียงเท่ากัน เกิดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2537 พรรคเอเอ็นซีชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 62% และมันเดลาในฐานะผู้นำพรรคเอเอ็นซีได้เข้าพิธีรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศ โดยมี เดอ เคลิร์ก จากพรรคชาตินิยม และทาโบ มเบคี เป็นรองประธานาธิบดีทั้งสองคนในการตั้งรัฐบาลผสมแห่งชาติ เขาเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2537 จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 ได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวหรือชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ และได้รับความยกย่องจากนานาชาติสำหรับการอุทิศตนเพื่อการประสานไมตรีทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ มันเดลาให้การสนับสนุนแก่ชาวแอฟริกันผิวดำให้เข้าร่วมและสนับสนุนทีมสปริงบอกส์ ซึ่งเป็นทีมชาติรักบี้ของแอฟริกาใต้ ในโอกาสที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้โลกในปี พ.ศ. 2538 หลังจากทีมสปริงบอกส์สามารถเอาชนะทีมรักบี้จากนิวซีแลนด์ได้ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ มันเดลาเป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้แก่กัปตันทีม ฟรังซัวส์ ปีเยนาร์ ชาวแอฟริกันซึ่งสวมเสื้อทีมสปริงบอกส์กับตัวเลข 6 บนหลังซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวของเขา ภาพนี้เผยแพร่ไปทั่วไปในฐานะก้าวย่างอันสำคัญแห่งการสมานฉันท์ระหว่างชนผิวขาวและผิวดำในแอฟริกาใต้
    หลังจากที่เป็นประธานาธิบดี สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของมันเดลาคือการสวมเสื้อบาติก ที่เรียกกันว่า "เสื้อมาดิบา" แม้กระทั่งในงานพิธีการต่าง ๆ ในการปฏิบัติการทางทหารของแอฟริกาใต้ครั้งแรกหลังจากยุติการแบ่งแยกสีผิว มันเดลาสั่งการให้กองทัพเคลื่อนเข้าไปเลโซโท ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 เพื่อช่วยปกป้องรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Pakalitha Mosisili หลังจากที่มีการเลือกตั้งอันวุ่นวายและเกิดการประจันหน้ากันระหว่างฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ นักวิจารณ์จำนวนมากรวมถึงนักรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ เช่น เอ็ดวิน คาเมรอน ได้วิพากษ์วิจารณ์มันเดลาอย่างมากในความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลของเขากับการรับมือวิกฤตการณ์โรคเอดส์ หลังจากที่เขาเกษียณแล้ว มันเดลายอมรับว่าเขาทำให้ประเทศต้องผิดหวังเนื่องจากมิได้ให้ความสำคัญกับการระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เท่าที่ควร นับแต่นั้นมันเดลาได้ขึ้นพูดในหลายโอกาสเพื่อรณรงค์ต่อต้านการแพร่กระจายของโรคเอดส์

การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
    หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2537 รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน (Reconstruction and Development Program; RDP) เพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนหลังสิ้นสุดยุคของอาพาร์ไทด์ ซึ่งเคยมีแต่ความลำบากยากแค้นและไม่ได้รับการเหลียวแล ทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมในระดับมหภาคด้วย ขนาดของโครงการนี้อาจเทียบได้กับ "New Deal" ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเมื่อคราววิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรทางการเมืองทุกองค์กร
    ระหว่าง พ.ศ. 2537 ถึงต้นปี พ.ศ. 2544 รัฐบาลแอฟริกาใต้ได้ให้ความช่วยเหลือในการสร้างบ้านอยู่อาศัยต้นทุนต่ำมากกว่า 1.1 ล้านหลัง เพื่อรองรับชาวแอฟริกาใต้ 5 ล้านคนจากจำนวนคนยากจน 12.5 ล้านคน ระหว่าง พ.ศ. 2537-2543 ชาวบ้านกว่า 4.9 ล้านคนที่อาศัยอยู่ตามท้องถิ่นสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสะอาด อีกกว่า 1.75 ล้านครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ สัดส่วนครอบครัวชนบทที่เข้าถึงระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 42% ปี พ.ศ. 2542 มีครอบครัวที่ได้รับประโยชน์จากการจัดสรรที่ทำกิน 3550 ตารางกิโลเมตร จำนวน 39,000 ครอบครัว เมื่อเทียบกับวาระ 4 ปีของรัฐบาล ประชาชนได้รับที่ทำกินรวม 250,000 คน จากเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 ถึงปลายปี 2541 มีคลินิกใหม่ 500 แห่งเพื่อให้บริการสาธารณสุขแก่พลเมือง 5 ล้านคน พร้อมโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอและตับอักเสบ เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งช่วยให้เด็กๆ กว่า 8 ล้านคนมีชีวิตขึ้นมาสู่ระดับมาตรฐานภายในเวลา 2 ปี มีโครงการก่อสร้างถนนและระบบระบายน้ำ ช่วยสร้างงานแก่ประชาชน 240,000 คนตลอดเวลา 5 ปี อย่างไรก็ดี โครงการ RDP ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่า กว่า 30% ของบ้านต้นทุนต่ำเหล่านั้นสร้างต่ำกว่ามาตรฐาน ระบบจ่ายน้ำต้องขึ้นกับแม่น้ำและเขื่อนมากมาย และโครงการเว้นการเก็บเงินจากชาวชนบทผู้ยากจนก็ใช้เงินสูงมาก การจัดสรรที่ทำกินสามารถแจกจ่ายที่ดินออกไปได้จริงเพียง 1% และระบบสาธารณสุขไม่มีความสามารถพอจะต่อสู้กับการระบาดของโรคเอดส์ ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตเฉลี่ยของชาวแอฟริกาใต้ลดต่ำลงจาก 64.1% เป็น 53.2% ตั้งแต่ปี 2538 ถึง 2541

การไต่สวนคดีล็อกเคอร์บี
    ประธานาธิบดีมันเดลามีความสนใจอย่างยิ่งที่จะช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอันยาวนานระหว่าง กัดดาฟี แห่งลิเบีย กับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยการร้องขอให้มีการไต่สวนผู้ต้องหาชาวลิเบีย 2 คนซึ่งถูกฟ้องร้องเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 ในข้อหาวางระเบิดสายการบิน แพน แอม เที่ยวบิน 103 ที่ระเบิดที่เมืองล็อกเคอร์บีในสก๊อตแลนด์ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 270 คน[ ช่วงต้นปี พ.ศ. 2535 มันเดลาได้แจ้งข้อเสนออย่างเป็นทางการต่อประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เพื่อขอให้ชาวลิเบียทั้งสองได้รับการไต่สวนในประเทศที่สาม บุชตอบรับข้อเสนอนี้อย่างยินดี เช่นกันกับประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ แห่งฝรั่งเศส และกษัตริย์ ควน การ์โลส ที่ 1 แห่งสเปน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2537 - หกเดือนหลังจากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี - มันเดลาได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการว่า ประเทศแอฟริกาใต้ควรเป็นผู้จัดการไต่สวนคดีวางระเบิดสายการบิน แพน แอม 103
    ทว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ จอห์น เมเจอร์ ปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยกล่าวว่ารัฐบาลอังกฤษไม่มีความมั่นใจในการไต่สวนของศาลต่างประเทศ เวลาล่วงผ่านไปอีก 3 ปีจนกระทั่งมันเดลายื่นข้อเสนออีกครั้งต่อผู้สืบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ คือ โทนี แบลร์ ในคราวที่ท่านประธานาธิบดีไปเยือนลอนดอน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 ถัดมาในปีเดียวกัน ในที่ประชุม การประชุมกลุ่มประเทศเครือจักรภพ (Commonwealth Heads of Government Meeting หรือ CHOGM) ที่เมืองเอดินบะระ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 มันเดลาก็กล่าวเตือนว่า :
 
   
"ประเทศหนึ่งประเทศใดไม่ควรเป็นทั้งผู้ร้องทุกข์ อัยการ และผู้พิพากษาในคราวเดียว"

     ข้อสรุปอันประนีประนอมได้ความว่าการไต่สวนจะจัดขึ้นที่ Camp Zeist ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งใช้กฎหมายของสก๊อต ประธานาธิบดีมันเดลาเริ่มการเจรจากับนายพลกัดดาฟีให้ส่งมอบตัวผู้ต้องหา (เมกราฮี กับฟีห์มาห์) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2542 เมื่อสิ้นสุดการไต่สวนอันยาวนานกว่า 9 เดือน มีการประกาศคำตัดสินของคณะลูกขุนเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2544 ฟีห์มาห์ไม่มีความผิด แต่เมกราฮีมีความผิดและต้องโทษจำคุก 27 ปีในเรือนจำของสก๊อตแลนด์ คำอุทธรณ์ครั้งแรกของเมกราฮีถูกปฏิเสธเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 อดีตประธานาธิบดีมันเดลาได้เดินทางไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำบาร์ลินนี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2545
 
   
"เมกราฮีโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง" มันเดลากล่าวในการแถลงข่าวสั้น ๆ ที่ห้องเยี่ยมของเรือนจำ "เขาไม่สามารถคุยกับใครได้เลย มันเป็นการประหารทางจิตใจแท้ๆ เมื่อคนๆ หนึ่งจะต้องใช้ชีวิตของเขาในการรับโทษอันยาวนานโดยอยู่เพียงลำพังคนเดียว คงจะดีกว่านี้หากเขาได้รับอนุญาตให้ย้ายไปอยู่ในประเทศมุสลิม มีประเทศมุสลิมมากมายที่ทางฝั่งตะวันตกเชื่อใจได้ ครอบครัวของเขาจะได้ไปเยี่ยมเขาได้บ้างหากเขาอยู่ในประเทศ เช่น โมร็อกโก ตูนิเซีย หรืออียิปต์"

     ในเวลาต่อมา เมกราฮีได้ย้ายไปยังเรือนจำกรีน็อค และไม่ต้องถูกขังเดี่ยวอีกต่อไป วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 คณะกรรมการทบทวนคดีอาชญากรรมแห่งสก๊อตแลนด์ (Scottish Criminal Cases Review Commission) ได้มีข้อสรุปว่า หลังจากทบทวนการตัดสินโทษของเมกราฮีเป็นเวลา 3 ปี เชื่อได้ว่ามีการตัดสินลงโทษแก่ผู้มิได้กระทำความผิดจริง อ้างตามคำอุทธรณ์ครั้งที่ 2 จากศาลอุทธรณ์คดีอาชญากรรม

ชีวิตครอบครัว
    มันเดลาแต่งงานทั้งสิ้น 3 ครั้ง มีบุตร 6 คน หลานอีก 20 คน และเหลนอีกจำนวนหนึ่ง เขายังเป็นปู่ของ มันดลา มันเดลา หัวหน้าสภาวัฒนธรรมของมเวโซอีกด้วย
การแต่งงานครั้งที่หนึ่ง
    มันเดลาแต่งงานครั้งแรกกับ เอฟลิน นโตโก มาเซ ซึ่งเป็นชาวทรานส์คีย์เช่นเดียวกับมันเดลา แต่ทั้งสองไปพบกันที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก ทั้งสองหย่ากันในปี พ.ศ. 2500 หลังจากแต่งงานกัน 13 ปี ด้วยปัญหาความตึงเครียดนานาประการ เช่นการที่เขาหายตัวไปอยู่เสมอ การทุ่มเทให้กับขบวนการปฏิวัติ รวมไปถึงการที่เธอไปเป็นพยานพระยะโฮวา ลัทธิศาสนาหนึ่งที่จะต้องถือความเป็นกลางทางการเมือง เอฟลิน มาเซ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2547 ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกัน 2 คน คือ มาดิบา เทมเบไคล์ (เทมบี) (พ.ศ. 2489-2514) และมัคกาโธ มันเดลา (พ.ศ. 2493-2548) และบุตรสาว 2 คนซึ่งมีชื่อเดียวกันคือ มาคาซิเว (หรือเรียกว่า มาคิ เกิดปี พ.ศ. 2490 และ พ.ศ. 2496) บุตรสาวคนโตเสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 9 เดือน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อบุตรสาวคนที่สองด้วยชื่อเดียวกันเป็นการระลึกถึง ลูก ๆ ทั้งหมดเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยยูไนเต็ดเวิลด์ที่วอร์เตอร์ฟอร์ดคัมห์ลาบา เทมบีเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ในปี พ.ศ. 2514 เมื่ออายุได้ 25 ปี ขณะนั้นมันเดลาถูกจำคุกอยู่ที่เกาะร็อบเบิน และไม่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมงานศพ ส่วนมัคกาโธเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ ในปี พ.ศ. 2548
การแต่งงานครั้งที่สอง
    ภรรยาคนที่สองของมันเดลาคือ วินนี มาดิคิเซลา-มันเดลา เป็นชาวทรานส์คีย์เช่นเดียวกัน แต่ก็มาพบกันในเมืองโยฮันเนสเบิร์ก ในขณะที่เธอมาเป็นคนงานผิวดำของเมืองเป็นคนแรก ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ เซนานี (เซนี) เกิดเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 และซินด์ซิสวา (ซินด์ซี) มันเดลา-ฮลองวาเน เกิดในปี พ.ศ. 2503 ซินด์ซีมีอายุเพียง 18 เดือนเท่านั้นเมื่อตอนที่พ่อถูกส่งตัวไปยังเกาะร็อบเบิน วินนีเกิดความบาดหมางกับครอบครัวของเธออย่างรุนแรงอันสะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองภายในประเทศ ขณะที่สามีของเธอยอมติดคุกตลอดชีวิตบนเกาะร็อบเบิน พ่อของเธอกลับได้เป็นรัฐมนตรีกสิกรรมแห่งทรานส์คีย์ ชีวิตแต่งงานจึงต้องจบลงด้วยการแยกกันอยู่นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2535 และหย่า ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างทางการเมือง
    มันเดลายังคงอยู่อย่างห่อเหี่ยวในคุก ขณะที่ลูกสาวของเขา เซนานี แต่งงานกับเจ้าชายทัมบูมูซี ดลามินิ พระเชษฐาของสมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 แห่งสวาซิแลนด์ ในปี พ.ศ. 2516 แม้เธอจะมีความทรงจำอันแจ่มใสในตัวบิดา ตั้งแต่อายุ 4 ขวบจนถึง 16 ปี แต่ผู้ปกครองแอฟริกาใต้ก็ไม่ยอมให้เธอไปเยี่ยมเขา ครอบครัวดลามินิทั้งสองทำธุรกิจและพำนักในบอสตัน บุตรชายคนหนึ่งของพวกเขาคือ เจ้าชาย เซดซา ดลามินิ (เกิดปี พ.ศ. 2519) ได้รับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา และได้เจริญรอยตามรอยเท้าของคุณตาโดยเป็นอาสาสมัครนานาชาติทำงานรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนและงานการกุศลต่าง ๆ
    ซินด์ซี มันเดลา-ฮลองวาเน ได้มีส่วนสำคัญอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยขณะอายุ 14 ปี เธอเป็นผู้อ่านคำแถลงการณ์ของมันเดลาในการปฏิเสธเงื่อนไขปล่อยตัวของเขาในปี พ.ศ. 2528 ปัจจุบันเธอเป็นนักธุรกิจหญิงในแอฟริกาใต้ มีบุตรสามคน คนโตเป็นชาย ชื่อ กาดัฟฟี
การแต่งงานครั้งที่สาม
    มันเดลาแต่งงานใหม่อีกครั้งในวันเกิดปีที่ 80 ของเขาเมื่อ พ.ศ. 2541 กับนางกราชา มาเชล สกุลเดิมก่อนการแต่งงานครั้งแรก ซิมเบนี แม่หม้ายผู้เป็นอดีตภรรยาของ ซาโมรา มาเชล อดีตประธานาธิบดีแห่งโมซัมบิก และพันธมิตรของเอเอ็นซีซึ่งเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินเมื่อ 12 ปีก่อน การแต่งงานเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาต่อรองเป็นเวลาหลายเดือนว่าด้วยเงินสินสอดสำหรับเจ้าสาวอันมากมายมหาศาล ซึ่งต้องมอบให้แก่ฝ่ายตระกูลมาเชล การต่อรองดังกล่าวดำเนินไปในนามของมันเดลาโดยตัวแทนราชวงศ์ตามประเพณี คือกษัตริย์บูเยเลคายา สเวลิบันซี ดาลินเยโบ พระองค์เป็นหลานของจองกินตาบา ดาลินเยโบ กษัตริย์ผู้จัดงานวิวาห์แบบคลุมถุงชนให้แก่มันเดลาเมื่อยังหนุ่ม และทำให้เขาต้องหนีไปโยฮันเนสเบิร์กใน พ.ศ. 2483 นั่นเอง
    มันเดลายังคงพำนักอยู่ที่บ้านในควูนู ในอาณาจักรของญาติในราชวงศ์คนหนึ่งที่มีศักดิ์เป็นหลาน ซึ่งเขาออกค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนให้ และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ด้วย

หลังเกษียณอายุ
    มันเดลาได้เป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งของแอฟริกาใต้ที่อายุมากที่สุด เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุได้ 75 ปี ในปี พ.ศ. 2537 และตัดสินใจไม่รับตำแหน่งอีกเป็นสมัยที่สอง โดยเกษียณตัวเองในปี พ.ศ. 2542 และมี ธาโบ มเบคี รับสืบทอดตำแหน่งต่อไป
    หลังจากที่เขาเกษียณจากตำแหน่งประธานาธิบดี มันเดลายังคงอุทิศตนเพื่องานสังคมและงานด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรมากมาย เขาได้แสดงการสนับสนุนต่อขบวนการ Make Poverty History ซึ่งเป็นองค์การนานาชาติ โครงการหนึ่งภายใต้การเคลื่อนไหวนี้ได้แก่ ONE Campaign มีรายการแข่งขันกอล์ฟการกุศลรับเชิญในชื่อ Nelson Mandela Invitational จัดโดยแกรี่ เพลเยอร์ นักกอล์ฟชาวแอฟริกาใต้ สามารถระดมทุนสำหรับองค์การช่วยเหลือเด็กๆ ได้ถึง 20 ล้านแรนด์นับถึงปี พ.ศ. 2543 การแข่งขันนี้จัดเป็นประจำทุกปีและถือเป็นงานการกุศลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของแอฟริกาใต้ สามารถสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิเนลสัน มันเดลา เพื่อเด็ก (Nelson Mandela Children's Fund) และมูลนิธิแกรี่ เพลเยอร์ซึ่งทำงานช่วยเหลือเด็กๆ ทั่วโลก
    มันเดลาออกเสียงสนับสนุนองค์กร SOS Children's Villages ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าและเด็กที่ถูกทิ้ง มันเดลาปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ได้นำคำพูดของเขามากล่าวถึงในโครงการรณรงค์ Celebrate Humanity ดังนี้
 
   
"ในสิบเจ็ดวัน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้อง
     ในสิบเจ็ดวัน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชีวิต
     เพียงยี่สิบสองวินาที พวกเขาเป็นคู่แข่งขัน
     เป็นสหายสิบเจ็ดวัน เป็นปฏิปักษ์ยี่สิบสองวินาที
     โลกช่างมหัศจรรย์เหลือล้น
     นั่นคือความหวังที่ข้าพเจ้าเห็นในโอลิมปิกเกมส์"

สุขภาพ
    เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 มันเดลาได้รับวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เขาเข้ารับการรักษาโดยรังสีเป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2545 มันเดลาประกาศว่าจะวางมือจากงานสาธารณะทุกชนิด สุขภาพของเขาย่ำแย่ลง และเขาต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบกับครอบครัว มันเดลากล่าวว่าเขามิได้ตั้งใจจะซ่อนตัวจากสาธารณะ แต่เขาต้องการอยู่ในตำแหน่งที่ "ขอเป็นฝ่ายถามว่ายังเป็นที่ต้อนรับหรือไม่ แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกโทรตามตัวไปร่วมงานต่างๆ คำขอของฉันก็คือ : อย่าโทรมา ฉันจะโทรไปเอง" นับแต่ปี พ.ศ. 2546 เขาปรากฏตัวในที่สาธารณะน้อยลงและไม่ค่อยได้กล่าวอะไรในโอกาสต่างๆ นัก ผมเขากลายเป็นสีขาวและเดินช้าลงโดยต้องใช้ไม้เท้าช่วย
    ปี พ.ศ. 2546 มีการประกาศข่าวมรณกรรมของมันเดลาโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นความผิดพลาด เนื่องจากข่าวการมรณกรรมที่เขียนเอาไว้ล่วงหน้า (เช่นกันกับข่าวของบุคคลสำคัญคนอื่นๆ) หลุดออกไปจากเว็บไซต์ของซีเอ็นเอ็นเนื่องจากความผิดพลาดด้านการป้องกันข้อมูล ปี พ.ศ. 2550 พวกฝ่ายขวากลุ่มหนึ่งแพร่ข่าวหลอกลวงทางอีเมลและเอสเอ็มเอส โดยอ้างว่าทางการได้ปกปิดข่าวการเสียชีวิตของมันเดลาเพราะเกรงว่าพวกคนผิวขาวในแอฟริกาใต้จะถูกสังหารหมู่หลังจากที่เขาเสียชีวิต เวลานั้นมันเดลาอยู่ระหว่างการพักผ่อนที่ประเทศโมซัมบิก
    มีการจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 90 แก่มันเดลาตลอดทั่วประเทศในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยมีการเฉลิมฉลองขนานใหญ่ที่บ้านของเขาที่ควูนู มีการจัดคอนเสิร์ตเป็นเกียรติแก่เขาที่สวนไฮด์ปาร์ก กรุงลอนดอน สำหรับสุนทรพจน์ในวันเกิดของเขา มันเดลาขอร้องให้บรรดาเศรษฐีช่วยเหลือคนจนทั่วโลกด้วย

เอลเดอร์ส
    วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เนลสัน มันเดลา, กราชา มาเชล, และ เดสมอนด์ ตูตู ได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มประกอบด้วยผู้นำโลกในโยฮันเนสเบิร์ก เพื่อระดมสติปัญญาและความเป็นผู้นำของแต่ละคนมาช่วยในการแก้ไขปัญหาอันหนักหนาของโลก เนลสัน มันเดลา ประกาศการก่อตั้งกลุ่ม ชื่อว่า เอลเดอร์ส (Elders) ในสุนทรพจน์ของเขาในงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 89
    อาร์ค บิชอป ตูตู รับหน้าที่เป็นประธานกลุ่มเอลเดอร์ส สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งนี้ยังประกอบไปด้วย กราชา มาเชล, โคฟี อันนัน, เอลา ภัตต์, โกร ฮาร์เลม บรุนด์แลนด์, จิมมี คาร์เตอร์, หลี่จ้าวซิง, แมรี โรบินสัน และ มูฮัมหมัด ยูนุส

    "กลุ่มนี้สามารถพูดกันได้อย่างเปิดอก ทำงานด้วยกันทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามที่จำเป็นจะต้องทำ" มันเดลาให้ความเห็นกับการทำงานของกลุ่ม "เราทำงานด้วยกันเพื่อสร้างความกล้าหาญในที่ซึ่งหวาดกลัว ช่วยกล่อมเกลาข้อตกลงในที่ซึ่งมีข้อขัดแย้ง และบันดาลความหวังในที่ซึ่งท้อถอย"

การต่อต้านโรคเอดส์
    นับแต่เขาเกษียณตนเอง หนึ่งในงานที่มันเดลาให้ความสำคัญอันดับแรกๆ คืองานเกี่ยวกับการต่อต้านโรคเอดส์ เขาได้ขึ้นกล่าวปิดในการประชุมนานาชาติเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2543 ที่เมืองเดอร์บา ประเทศแอฟริกาใต้ ปี พ.ศ. 2546 เขาได้ให้การสนับสนุนกับโครงการรณรงค์เพื่อระดมทุนสำหรับการต่อต้านโรคเอดส์ ชื่อโครงการว่า 46664 ซึ่งตั้งชื่อตามหมายเลขนักโทษของเขา เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 เขาบินมายังกรุงเทพฯ เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมนานาชาติเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ ครั้งที่ 14 บุตรชายของเขาคือ มัคกาโธ มันเดลา เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2548 กิจกรรมต่างๆ ที่มันเดลาทำเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ได้มีการรวบรวมเอาไว้ในหนังสือของสเตฟานี โนเลน ชื่อ 28: Stories of AIDS in Africa

บทบาทต่อการรุกรานอิรัก
    ช่วงปี พ.ศ. 2545 - 2546 มันเดลาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของคณะรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์หลายครั้ง รวมถึงการไร้ความสามารถของสหประชาชาติในการเข้าร่วมตัดสินการเริ่มต้นสงครามอิรัก เขากล่าวว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด สิ่งที่บุชกำลังทำ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ขณะนี้บุชกำลังบ่อนทำลายสหประชาชาติ" มันเดลาระบุว่าเขาจะสนับสนุนการต่อต้านประเทศอิรักก็ต่อเมื่อมีคำสั่งที่มาจากสหประชาชาติเท่านั้น เขายังกล่าวเป็นนัยว่าการที่บุชไม่ยอมทำตามมติสหประชาชาติอาจเพราะมีแรงจูงใจจากการเหยียดชนชั้นและอคติที่มีต่อเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น โคฟี อันนัน ก็ได้ "นี่เป็นเพราะเลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบันเป็นคนดำใช่หรือไม่ พวกเขาไม่เคยทำอย่างนี้เมื่อเลขาธิการเป็นคนขาว"
    เขาเรียกร้องให้ประชาชนชาวอเมริกันเข้าร่วมมวลชนประท้วงต่อต้านบุช และเรียกร้องเหล่าผู้นำทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีสิทธิ์วีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ต่อต้านบุชด้วย "สิ่งที่ข้าพเจ้าประณามคือ อำนาจหนึ่งในมือของประธานาธิบดีผู้ไร้วิสัยทัศน์และไม่สามารถคิดได้อย่างเหมาะสม กำลังทุ่มโลกใบนี้ให้แหลกพินาศ" เขายังกล่าวโจมตีสหรัฐอเมริกาด้วยเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง "ถ้าจะมีประเทศไหนต้องรับผิดชอบกับความร้ายกาจขนาดที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ประเทศนั้นก็คือสหรัฐอเมริกา พวกเขาไม่สนใจอะไรเลย"

ความขัดแย้งกับอิสมาอิล เอย็อบ
    อิสมาอิล เอย็อบ (Ismail Ayob) คือเพื่อนสนิทและทนายความส่วนตัวของมันเดลาเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 มันเดลาขอร้องให้เอย็อบหยุดการขายภาพพิมพ์ลายเซ็นของมันเดลา ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นจนกระทั่งมันเดลานำความขึ้นร้องต่อศาลสูงของแอฟริกาใต้ในปีเดียวกันนั้น เอย็อบปฏิเสธข้อกล่าวหา และว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขายังอ้างอีกว่าตนตกเป็นเหยื่อของแผนการรณรงค์หาเสียงของทีมที่ปรึกษาของมันเดลา หรือกล่าวเจาะจงลงไปคือแผนการของจอร์จ บิโซส
    ระหว่างปี 2548-2549 เอย็อบ ภรรยา และลูกชายของพวกเขา ได้เป็นเป้าโจมตีสำคัญของทีมที่ปรึกษาของมันเดลา ความขัดแย้งนี้ถูกนำเสนออย่างกว้างขวางในสื่อต่างๆ โดยที่ภาพของเอย็อบออกมาในทางลบ ทีมงานของมันเดลาโจมตีเอย็อบในการประจันหน้าสาธารณะหลายครั้ง กับมีเสียงเรียกร้องมากมายให้เนรเทศเอย็อบกับครอบครัวออกไปเสีย ฝ่ายจำเลยซึ่งประกอบด้วยอิสมาอิล และซามิลา เอย็อบ (ภรรยาของเขาที่ตกเป็นจำเลยร่วม) แก้ต่างโดยอาศัยเอกสารที่ลงนามโดยมันเดลา มีเลขานุการของเขาลงนามเป็นพยาน ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นหลักฐานลบล้างข้อกล่าวหาของมันเดลากับทีมที่ปรึกษาของเขา
    คดีนี้ขึ้นมาเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เมื่อในระหว่างการพิจารณาไต่สวนที่ศาลสูงของโจฮันเนสเบิร์ก เอย็อบสัญญาว่าจะจ่ายเงินจำนวน 700,000 แรนด์ ให้แก่มันเดลา ซึ่งเอย็อบได้โอนเงินเข้าในกองทุนหลักทรัพย์สำหรับทายาทของมันเดลา และกล่าวขออภัย แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะออกมากล่าวอ้างอีกว่า ตนเป็นเหยื่อความอาฆาตมาดร้ายของมันเดลา ผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่เอย็อบ โดยระบุว่าด้วยสถานะทางสังคมของมันเดลาย่อมไม่อาจทำให้เอย็อบได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมนัก

รายละเอียดของคดี
    เอย็อบ, จอร์จ บิโซส และ วิม เทรนโกฟ เป็นผู้จัดการมรดกของกองทุนมรดกเนลสัน มันเดลา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในการบริหารจัดการเงินจำนวนหลายล้านแรนด์ที่ได้รับบริจาคมาในนามของเนลสัน มันเดลา จากองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง รวมไปถึงตระกูลออพเพนไฮเมอร์ด้วย โดยให้จัดสรรประโยชน์แก่ทายาทบุตรหลานของเนลสัน มันเดลา ในเวลาต่อมาเอย็อบลาออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในปี พ.ศ. 2549 ผู้จัดการมรดกอีกสองคนที่เหลือได้ฟ้องร้องเอย็อบในการใช้จ่ายเงินจากกองทุนโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา เอย็อบอ้างว่าเงินดังกล่าวจ่ายไปให้กับกรมสรรพากรของแอฟริกาใต้สำหรับผลประโยชน์ของทายาทของมันเดลา ผลประโยชน์ของมันเดลาเอง และจ่ายให้สำนักงานจัดทำบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายทางบัญชีเป็นเวลา 4 ปี
    บิโซสกับเทรนโกฟปฏิเสธการอนุมัติจ่ายเงินทั้งในส่วนของทายาทของมันเดลาและส่วนของสำนักงานบัญชี ผลตัดสินของศาลสรุปว่า เอย็อบจะต้องจ่ายคืนเงินจำนวนนี้ (มากกว่า 700,000 แรนด์) ให้กับกองทุนเนื่องจากไม่ได้หารือกับผู้จัดการมรดกก่อนนำเงินออกไปใช้ นอกจากนี้ยังมีการฟ้องร้องว่าเอย็อบหมิ่นประมาทต่อมันเดลาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลตัดสินให้เอย็อบต้องขอโทษ อย่างไรก็ดีเป็นที่สังเกตว่า ลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นที่กล่าวถึงการที่เนลสัน มันเดลา เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากในต่างประเทศหลายบัญชีและไม่ได้จ่ายภาษีจากเงินได้เหล่านั้น มิได้มีต้นเหตุมาจากคำให้การของเอย็อบ แต่มาจากทางฝ่ายของมันเดลาและจอร์จ บิโซสเอง

ความขัดแย้งกรณีเพชรสีเลือด
     บทความใน The New Republic ชุดหนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ได้วิพากษ์วิจารณ์เนลสัน มันเดลา กับการที่เขาให้ความคิดเห็นทางบวกต่อธุรกิจเหมืองเพชรหลายต่อหลายครั้ง ทั้งนี้เพราะความเห็นของเขาเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการเพชรสีเลือด (blood diamond) มันเดลาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเอ็ดเวิร์ด ชวิค ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง เทพบุตรเพชรสีเลือด ใจความในจดหมายตอนหนึ่งว่า
 
    ...จะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างสุดซึ้งหากการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นด้วยความเข้าใจผิดกับข้อเท็จจริง ผลที่เกิดจะทำให้โลกเชื่อไปว่า สิ่งถูกต้องเหมาะสมที่ควรทำคือหยุดการซื้อเพชรจากเหมืองในแอฟริกา... เราหวังว่าความปรารถนาในการเล่าเรื่องราวชีวิตจริงที่สำคัญและน่าจับใจจะไม่ส่งผลบั่นทอนต่อประเทศอุตสาหกรรมด้านเพชรในแอฟริกา และหวังว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของประเทศเหล่านั้น

     บทความใน New Republic ชุดนี้อ้างว่า ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้รวมไปถึงการจุดประเด็นผลักดันและการกล่าวสุนทรพจน์ที่ให้คุณต่ออุตสาหกรรมเพชรหลายครั้งในชีวิตของมันเดลา รวมถึงช่วงที่เขาเป็นประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ด้วย เกิดขึ้นเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเขากับ แฮร์รี่ ออพเพนไฮเมอร์ อดีตประธานบริหารของ เดอเบียร์ส และเป็นการวางแผนล่วงหน้าสำหรับ "ผลประโยชน์อันคับแคบของประเทศ" ของแอฟริกาใต้ (ซึ่งเป็นผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลก)

ซิมบับเว กับโรเบิร์ต มูกาเบ
    แม้ว่าทั้งมันเดลาและโรเบิร์ต มูกาเบ ประธานาธิบดีซิมบับเว จะมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องอิสรภาพของประเทศ มันเดลาและมูกาเบกลับไม่ค่อยถูกมองในแบบเดียวกัน มูกาเบผู้ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่ได้รับอิสรภาพใน พ.ศ. 2523 ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศในเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2520 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน, การคอร์รัปชัน การบริหารประเทศอย่างไร้ความสามารถ การกดขี่ทางการเมือง และการเล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลายในที่สุด
    มันเดลาวิพากษ์วิจารณ์มูกาเบใน พ.ศ. 2543 กล่าวถึงผู้นำในทวีปแอฟริกาซึ่งปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระแต่กลับอยู่ในตำแหน่งนานเกินกว่าจะเป็นที่ยอมรับ หลังเกษียณอายุ มันเดลากล่าวถึงซิมบับเวและปัญหาต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศน้อยลง ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเขาไม่ยอมใช้อิทธิพลในการชักนำมูกาเบให้ดำเนินนโยบายให้เป็นกลางมากขึ้น จอร์จ บิซอส ทนายของเขา เปิดเผยว่ามันเดลาถูกเตือนให้ระวังปัญหาสุขภาพ โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเครียดเช่นปัญหาการเมืองเหล่านี้ ถึงกระนั้นก็ตาม ในปี 2550 มันเดลาได้พยายามที่จะชักจูงมูกาเบให้ลาออกจากตำแหน่งก่อนที่จะถูกขับไล่อย่างออกุสโต ปิโนเชต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งประเทศชิลี แต่มูกาเบกลับไม่ตอบสนองต่อคำเรียกร้องนี้ 

ที่มา : //th.wikipedia.org/wiki

Smiley ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ Smiley




Create Date : 27 ธันวาคม 2555
Last Update : 27 ธันวาคม 2555 10:44:10 น. 0 comments
Counter : 1816 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kitpooh22
Location :
ตรัง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]




สวัสดีครับ
..............................
ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม และมาเม้นให้ครับ



ขอบคุณครับ :-)
THX


วันเกิดบล็อก 25/5/2009
Google+
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kitpooh22's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.