ชนะคนอื่นเป็นร้อย ยังไม่ยากเท่าชนะตนแค่คนเดียว...
ความรู้สึกและการกระทำ

นพ.มาโนช หล่อตระกูล

    ทุกๆ คนมีความใฝ่ฝันในชีวิต เราอาจใฝ่ฝันอยากเป็นอย่างบางคนที่เราชื่นชม อยากไปอยู่ในบางสถานที่ หรืออยากมีอาชีพบางอย่าง ความใฝ่ฝันของเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยก็พอที่จะช่วยบอกถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละคนได้ และเราคงตระหนักดีว่ายังมีอุปสรรคที่คอยขวางกั้นอยู่ ระหว่างความเป็นจริงกับความใฝ่ฝันของเรา ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่าอุปสรรคนั้นเกิดจากตัวเราเอง เช่น ” ฉันอยากจะรู้จักคนมากๆ แต่ฉันเป็นคนขี้อาย ” ” ฉันคงก้าวหน้าในการงานมากกว่านี้ ถ้าฉันไม่เป็นคนก้าวร้าว ”
    คงต้องยอมรับว่า บางครั้งการกระทำของเรากลับทำให้ดูเหมือนความใฝ่ฝันที่มีนั้นจะห่างไกลออกไปทุกที ในหนังสือเล่มนี้จะช่วยแนะถึงแนวทางที่จะทำให้เราบรรลุจุดหมายตามสภาพเป็นจริง โดยไม่เสียเวลาหรือพลังงานไปกับการพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
    การพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่เห็นกันง่ายๆ ได้แก่ เราไม่สามารถ ทำให้ตัวเองมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรารู้สึกโศกเศร้า เปล่าเปลี่ยว หมดหวังในชีวิต เราคงไม่คิดว่าลำพังเพียงแค่นั่งลงแล้วทำใจให้สบาย เราก็จะมีความสุข ความเชื่อมั่นในตัวเองตามมา ดูจะไม่ฉลาดนักกับการที่จะพยายามให้ตัวเองรู้สึกในสิ่งที่เราไม่รู้สึก พลังความคิดในด้านบวกจะมีได้อย่างไร ถ้าเราแสร้งสนุกสนาน ในขณะที่เราไม่เห็นว่าจะสนุกตรงไหน หรือแสร้งมีความหวังใน ขณะที่เรารู้สึกหดหู่ ท้อแท้ ในทำนองเดียวกัน เราคงจะไปคาดหวังให้ผู้อื่นมีความรู้สึกอย่างที่เราต้องการไม่ได้ ในเมื่อตัวเราเองยังทำไม่ได้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับความรู้สึกและการกระทำ
    สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นหลักการเกี่ยวกับความรู้สึกและการกระทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราประสบในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ไม่ได้สังเกตอย่างจริงจังว่าทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร ขอให้อ่านและค่อยๆ พิจารณาตาม เนื่องจากจะเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะกล่าวถึงในบทต่อๆ ไป
    หลักการในแง่ของความรู้สึกข้อแรกคือ อารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ตั้งใจควบคุมบังคับโดยตรงไม่ได้ เราไม่อาจบังคับให้ตัวเองรู้สึกตามต้องการได้ หากเราควบคุมความรู้สึกได้ ทุกคนคงทำให้ตัวเองมีแต่ความรู้สึกที่ดีๆ อยู่ตลอด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากรู้สึกโกรธ หงุดหงิด ขึ้นมา ก็จะเป็นอย่างนั้นไปตลอด เราทำให้ความรู้สึกนี้เบาบางลงได้โดยวิธีการทางอ้อม ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
    หลักการข้อที่สองคือ จงตระหนักและยอมรับต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามที่มันเป็น ไม่ต้องพยายามปฏิเสธ หรือบิดเบือน ในเมื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ คงไม่มีใครที่อยากจะมีความรู้สึกที่ไม่ดี รวมทั้งตัวเราเองด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญประการแรกคือ การตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร เนื่องจากเรามักทำอะไรออกไปตามความเคยชินจน ลืมที่จะมาสนใจว่าตนเองรู้สึกจริงๆ อย่างไร หากความรู้สึกที่มีเป็นด้านลบ เช่น โกรธ เกลียด ขี้เกียจ อิจฉา ก็ยอมรับอย่างที่มันเป็น เพราะมันเป็นความจริง และเราบังคับไม่ได้ การมีความรู้สึกเช่นนี้มิได้หมายความว่าเราเป็นคนเลว หรือแย่มาก ถ้าเราเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้น ไม่จำเป็น ที่จะต้องรู้สึกผิด แต่ถ้ารู้สึกผิดก็ไม่เป็นไร ขอเพียงให้รู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร และลองคิดดูว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ช่วยเตือนหรือให้บทเรียนอะไรแก่เราได้บ้าง ถ้ารู้สึกกังวลก่อนสอบสัมภาษณ์สมัครงาน ก็อาจต้องเตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมการสัมภาษณ์ แทนที่จะเสียเวลาไปกับการปฏิเสธ หรือเก็บกดความรู้สึกนี้ ถ้ารู้สึกน้อยใจที่หัวหน้างานไม่ส่งเสริม ก็อาจต้องพูดคุยปรึกษากับเพื่อนฝูงหรืออาจจะกับตัวหัวหน้าเองก็ได้ ว่าเรามีจุดบกพร่องหรือควรปรับปรุงตรงไหน
    หลักการข้อที่สามคือ ความรู้สึกทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีหรือไม่ก็ตามจะมีด้านที่เป็นประโยชน์อยู่ด้วยเสมอ ความเจ็บปวดจะดึงเรามาสู่สถานการณ์ในปัจจุบัน ความรู้สึกผิดจะทำให้เราหันมาพิจารณาตัวเอง ความวิตกกังวลทำให้เราต้องมีการเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่สำหรับบางคนความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ อย่างไรก็ตาม การตระหนักว่า เราสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่มักจะคิดกันว่าไม่ดีได้ ทำให้เราหันมาใส่ใจต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าบ่งถึงอะไร จะแก้ไขอย่างไร หาทางเรียนรู้จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นแทนที่จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับ
    หลักการข้อที่สี่คือ ความรู้สึกทุกชนิดจะเบาบางลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากจะถูกกระตุ้นซ้ำอีก นี่เป็นสิ่งที่เห็นกันโดยทั่วๆ ไปอยู่แล้ว เมื่อคนที่เรารักจากไปจะรู้สึกโศกเศร้าสูญเสีย ต้องการให้เขากลับมาอีก ไม่อาจที่จะมีความสัมพันธ์กับใครได้แบบแต่ก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลง สามารถเริ่มมีสัมพันธภาพกับผู้คนได้มากขึ้น ผู้ที่มีอารมณ์เศร้า มีความรู้สึกหดหู่หมดหวัง ขอให้แน่ใจได้ว่าความรู้สึกที่มีมากนี้ จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ความจริงอีกประการหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ ความรู้สึกที่เบาบางลงตามเวลานี้ยังรวมไปถึงความรู้สึกที่ดีด้วยเช่นกัน ความรู้สึกเบิกบานใจ ความสุขสดชื่น จะค่อย ๆ ลดลง นอกจากจะได้รับการกระตุ้นอีก

    อะไรที่ทำให้ความรู้สึกที่เบาบางลงแล้วนี้กลับมามีมากขึ้นอีก เหตุการณ์ที่มากระตุ้นความรู้สึกนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เราพบในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะมีความหมายต่อแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป การทะเลาะถกเถียงกันทำให้ความโกรธขุ่นเคืองซึ่งหายไปนานแล้วถูกกระตุ้นขึ้นมาอีก การชมภาพยนต์บางเรื่องอาจกระตุ้นให้เรานึกถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมี อย่างไรก็ตาม การที่จะมัวรอให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นแล้วจึงจะรู้สึกนั้น ดูจะเป็นการฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาเกินไป ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถที่จะปฏิบัติตนเพื่อให้ส่งผลต่อความรู้สึกของเราอีกทอดหนึ่งได้
    หลักการข้อที่ห้าคือ เราสามารถปรับความรู้สึกของเราได้ทางอ้อมโดยผ่านทางพฤติกรรมการกระทำ เราสามารถใช้พฤติกรรมการกระทำของเราเพื่อส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ต้องการหรือลดความรู้สึกที่ไม่ต้องการได้ โปรดสังเกตว่าเราใช้คำว่า ส่งผล มิใช่ ควบคุมบังคับ ทั้งนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่รุนแรงนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงยาก ต้องใช้เวลาบ้างกว่าจะเบาบางลง อย่างไรก็ตาม การทำอะไรบ้างเพื่อช่วยส่งผลย่อมจะดีกว่าที่จะเพียงแต่รออยู่เฉยๆ
    แดงรู้สึกอับอายที่เพื่อนๆ ล้อว่าเธออ้วน รู้สึกแย่ที่ตัวเองอ้วน การแก้ปัญหานั้น ดูจะไม่ยาก เพียงแค่กินอาหารให้น้อยลง ออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่เธอมักจะบอกว่าไม่มีอารมณ์ที่จะออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังชอบกินจุกกินจิกตามใจตัวเอง จะเห็นว่าปัญหาอยู่ที่แดงปล่อยให้อารมณ์ อยู่เหนือพฤติกรรมของตัวเอง ทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดและยิ่งอับอายในเรื่องความอ้วนของตัวเองมากขึ้น
    การแก้ไขที่ตรงจุดก็คือ แดงจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองใหม่ ในขณะที่ยอมรับความจริงว่าเธอไม่ชอบออกกำลังกาย และชอบกินจุกกินจิก แดงจะต้องควบคุมตัวเองให้มากขึ้นในเรื่องของอาหาร และการออกกำลังกาย นั่นคือถึงแม้เธอจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้
    น้อยกำลังอกหักที่เพื่อนชายไปมีคนอื่น เธอเอาแต่นั่งอยู่ในห้อง ฟังเพลงที่เขาเคยชอบ ดูแต่รูปตอนไปเที่ยวด้วยกัน นึกถึงแต่เรื่องดีๆ ที่เคยมีต่อกัน ร้องให้คร่ำครวญอยู่บ่อยๆ เธอกำลังทำให้ตัวเองตกอยู่ในวังวนของความเศร้า การกระทำแต่ละอย่างของน้อยนั้นล้วนแต่กระตุ้นให้ตัวเองรู้สึกถึงความขมขื่น ความอยุติธรรมที่ตนเองได้รับอยู่ตลอดเวลา เพื่อนฝูงที่หวังดีพยายามชวนเธอออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง แต่น้อยปฏิเสธไปหมด ความรักที่เธอมีต่อเพื่อนชาย ความรู้สึกขมขื่นที่เธอมีอยู่จะเบาบางลง ถ้าเพียงแต่เธอไม่กระตุ้นตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง ยอมรับโอกาสที่เพื่อนๆ หยิบยื่นให้
    สมชายรู้สึกเครียดต่อการสอบที่กำลังจะมาถึง วิชัยบอกกับตัวเองว่าอยากจะเลิก
    สูบบุหรี่ ดำริรู้สึกกังวลต่อความเป็นคนขี้อายของตัวเอง แต่ละคนก็มีปัญหาในตัวเองต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันก็คือ เขากำลังต่อสู้กับตัวเอง สิ้นเปลืองพลังไปกับการแก้ไขที่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้ถึงหลักการทั้งห้าข้อที่กล่าวข้างต้น หากเขาเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ และมุ่งมีพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะสามารถควบคุมชีวิตให้ดำเนินไปตามที่ต้องการได้
    หลักการข้อสุดท้ายคือ เราเท่านั้นที่เป็นผู้ซึ่งรับผิดชอบต่อการกระทำของเรา ไม่ว่าจะมีความรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น ความรับผิดชอบ คือการยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป และเต็มใจรับผลของการกระทำนั้น เรามักได้ยินการใช้ความรู้สึกเป็นข้อแก้ตัวต่อการกระทำของตัวเองอยู่บ่อยๆ เช่น “ฉันตีลูก เพราะตอนนั้นฉันรู้สึกโกรธ” “ผมไม่กล้าบอกอาจารย์ เพราะผมอาย” หรือ “ฉันขับรถไม่ได้ เพราะฉันกลัว” เราไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของเรา โดยการหวังจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราสามารถควบคุมการกระทำของเราได้ ถ้าจะทำ เราเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำตามความรู้สึกของเราที่มีในขณะนั้น ผลที่ตามมาย่อมเป็นจากการกระทำของตัวเราเอง คนส่วนมากมักจะปล่อยตัวเอง ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจหรือการกระทำ ซึ่งผลที่ติดตามมามักจะเป็นความล้มเหลว และบ่อยครั้งที่เราจะกล่าวโทษสถานการณ์หรือผู้อื่น โดยที่ไม่ได้มองเข้าด้านใน ค้นหาข้อบกพร่องของตนเอง
    เราอาจจะรู้สึกว่าหากชีวิตมีแต่การควบคุมการกระทำ โลกนี้ก็คงจะน่าเบื่อ ขาดซึ่งสีสัน ทุกคนกลายเป็นหุ่นยนต์ไปหมด ความจริงกลับตรงกันข้าม เนื่องจากการควบคุมนี้เกิดขึ้นจากส่วนในของเรา มิได้เป็นการบีบบังคับจากสังคมภายนอก การสามารถควบคุมการกระทำกลับจะเป็นการเปิดประตูไปสู่ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก บางคนกลัวต่ออารมณ์ความรู้สึกของตนเองเพราะเกรงว่าจะคุมตนเองไม่ได้ พยายามเก็บกด หลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้น ทำให้ขาดส่วนหนึ่งของชีวิตไป เขามักจะบ่นอยู่เสมอว่า ชีวิตดูน่าเบื่อ อะไรๆ ดูไม่น่าสนใจไปหมด
    สำหรับบุคคลเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องจัดระเบียบชีวิตใหม่ โดยการเข้าศูนย์อบรม ซึ่งมีการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเริ่มต้นจากกิจกรรมง่ายๆในชีวิตประจำวัน เตรียมอาหารในแต่ละมื้อ ออกกำลังกายตามเวลาที่กำหนด มีการพักผ่อนที่เพียงพอ ให้มีความรับผิดชอบในกิจกรรมของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีบางครั้งที่รู้สึกเบื่อไม่อยากจะทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ก็ต้องทำตามที่ได้กำหนดไว้ พบว่าเมื่อเขามีวินัยในตัวเองมากขึ้น อารมณ์ความรู้สึกที่เคยเก็บกดไว้เริ่มกลับคืนมา เขาเริ่มมีอิสระที่จะมีความรู้สึกมีอารมณ์ต่างๆ โดยยอมรับอย่างที่มันเป็น ทั้งนี้เพราะรู้ว่าเขาสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ เราสามารถรู้ถึงความโกรธเกลียดที่มีอยู่มากในตัวเรา เพราะเราแน่ใจว่า เราจะไม่ไปทำอะไรเขาเข้า การคุมพฤติกรรมส่งผลให้เรามีอิสระที่จะรู้สึก มีผู้กล่าวไว้ว่าเราจะเข้าใจถึงความรู้สึกที่มีอย่างแจ่มชัด ก็ต่อเมื่อเราแข็งขืนต่อมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า การคุมการกระทำนั้นทำให้เราต้องหันมาให้ความใส่ใจต่อความรู้สึกที่มี อาจจะในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยตระหนักมาก่อน ซึ่งถ้าเราปล่อยให้ความรู้สึกอยู่เหนือตนเอง ก็อาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
    นอกจากนั้น พฤติกรรมที่ผ่านการควบคุมของเรา ยังจะส่งผลถึงอารมณ์ความรู้สึกอีกโสดหนึ่งด้วยเช่นกัน เราสามารถสร้างความรู้สึกที่เบิกบานได้ โดยการเล่นกีฬา ฟังเพลงที่ชอบ หรือพูดคุยกับเพื่อนที่ถูกใจ ในทำนองเดียวกันถ้าเราต้องการความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น ก็อาจจะนั่งสบายๆ ฟังเพลงเบาๆ ไปพักผ่อนชายทะเล หรือเข้าวัด
    ยังมีอีกหลายๆ วิธีที่จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับเรา คนที่ชอบเขียนหนังสือก็จะรู้สึกชื่นชม พอใจ เมื่อเห็นสิ่งที่เราเขียนได้รับการตีพิมพ์ คนที่ชอบเล่นกล้วยไม้ก็จะรู้สึกเบิกบานที่ได้ เห็นการผลิดอกของมัน การที่ได้เห็นความพยายาม การกระทำของเราส่งผลที่ดีติดตามมา ย่อมจะทำให้ เกิดความชื่นใจ ความพึงพอใจ อันจะเป็นแรงเสริมให้มีกำลังใจที่จะกระทำต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/staycreative/

Smiley ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ Smiley




Create Date : 05 มีนาคม 2556
Last Update : 5 มีนาคม 2556 10:01:56 น. 0 comments
Counter : 1080 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kitpooh22
Location :
ตรัง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]




สวัสดีครับ
..............................
ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม และมาเม้นให้ครับ



ขอบคุณครับ :-)
THX


วันเกิดบล็อก 25/5/2009
Google+
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
5 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kitpooh22's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.