< Main Hoon Na(2004) ควบ Devdas(2002): เมื่อผมได้ดูหนังอินเดีย... >


ในตอนนี้ชีวิตของผมกำลังประสบปัญหารุมเร้า ทั้งจากเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องผู้หญิง(!?!?) มันทำให้ความรู้สึกและความมีชีวิตชีวาแทบจะหดหายไปเลยล่ะครับ แม้เพื่อนยามยากอย่าง หนัง บางเรื่อง ก็ยังไม่สามารถฉุดผมขึ้นมาจากความเบื่อหน่ายเหล่านั้นได้เลย ดังนั้น ผมเลยแก้ปัญหาความเซ็งนี้ด้วยการหาหนังที่คิดว่ามันจะมอบความบันเทิงให้แบบสุดๆ หรือไม่ก็อะไรก็ได้ที่แปลกใหม่แบบไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วบังเอิญเหลือเกินครับ ที่หนังเช่าชุดที่ผมไปเช่ามาครั้งนี้ มันดันมีแต่หนังเพลง หรือไม่ก็เป็นหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยเพลงเป็นหลักแทบทั้งสิ้น
แล้วที่ดันหยิบหนังเพลงเหล่านี้มาดู เหตุผลก็คงมาจากการที่อยากหาอะไรที่แปลกๆตาและคิดว่าหนังเพลงพวกนี้ก็คงให้ความบันเทิงแบบสุดๆให้กับผมได้อย่างที่ผมต้องการ ซึ่งหลังจากที่ดูไป 3 เรื่อง ทั้ง Sweeney Todd:The Demon Barber of Fleet Street(2007), Once(2006), Little Shop of Horrors(1986) แต่ไอ้หนังเรื่องสุดท้าย Main Hoon Na(หรือในชื่อไทย รัก/พริก/ร็อค) มันทำให้ผมแทบจะลืมหนัง 3 เรื่องก่อนหน้านี้ไปเลยครับ เพราะมันทำให้ผมได้รับความบันเทิงแบบสุดๆอย่างที่ผมต้องการ(และเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้ซะอีก!)และหนังยังแปลกหูแปลกตาสมใจอยาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันเป็น หนังอินเดีย นั่นเองครับ

ว่ามันแปลกหูแปลกตาสำหรับผมก็เพราะ ผมแทบจะไม่เคยแตะหนังอินเดียเลยด้วยซ้ำ ที่เคยดูแบบจริงจังก็เรื่อง พระเจ้าอโศกมหาราช(Asoka-2001) เรื่องเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยดูหนังอินเดียอีกเลย แม้จะพอรู้ข้อมูลข่าวสารของหนังอินเดียอยู่ตลอด แต่ผมเองกลับไม่เคยดูหนังอินเดียแบบจริงจังซักที ดังนั้นแล้ว เมื่อผมได้ดูหนังอินเดียเรื่อง Main Hoon Na ของ ฟาร์ราห์ ข่าน ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมจะอุทานได้ตลอดทั้งเรื่องว่า ว้าว! ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ
และที่ผมต้องอุทานเช่นนั้น ก็เพราะ Main Hoon Na มันเป็นหนังแบบอินเดียแท้ๆเลยล่ะครับ ทั้งฉากเต้น,รสชาติของสุข เศร้ารันทด เหงา รัก ก็มีครบถ้วน...อ่ะๆ อย่าเพิ่งทำหน้าเบ้ แล้วคิดว่าหนังมันต้องเชยแน่ๆ...ไม่เลยครับ แม้ว่าองค์ประกอบหลักๆของหนังจะเป็นขนบธรรมเนียมของหนังอินเดียเหมือนเดิม แต่ที่สิ่งที่ต่างออกไปคือ หนังมีความพิถีพิถันในการสร้างองค์ประกอบของหนังอินเดียที่ว่ามาได้อย่างน่าชื่นชมเลยล่ะครับ ทั้งเรื่องมุมกล้อง การต่อตัด และงานสร้างที่ทำออกมาแบบไม่เชยเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ที่เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็อยู่ที่หนังมีอารมณ์ที่หลากหลายมากๆครับ โดยหนังมีพล็อตหลักๆคือ ผู้พันราม(แสดงโดย ซุปเปอร์สตาร์ ชาห์ รุข ข่าน) ที่ต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาในมหาลัยแห่งหนึ่ง เพื่อปกป้องลูกสาวของนายพลจากผู้ก่อการร้าย และยังต้องค้นหาน้องชายต่างมารดาที่อยู่ในมหาลัยแห่งนี้ และยังต้องคอยตามจีบครูสาวคนสวยอีกด้วย

ซึ่งตามปกติแล้ว หนังอินเดียส่วนใหญ่ก็มักจะใส่อารมณ์ที่หลากหลายลงไปในหนัง แต่กับ Main Hoon Na หนังสามารถใส่อารมณ์ที่หลากหลายนั้นลงไปในหนังได้อย่างราบรื่นและ ไม่รู้สึกติดขัด ทั้งฉากแอ็กชั่นที่มันหยดยังกับ MI:2 ผสมกับหนังของ ไมเคิล เบย์(พูดจริงๆนะ ไม่ได้ประชด) ฉากตลกก็ขำมาก(ไม่ฝืดเหมือนหนังตลกไทย) ฉากดราม่าก็ซึ้งกินใจ และยังมีประเด็นการเมืองระหว่างอินเดียกับปากีสถานแทรกเข้ามาอีกต่างหาก และที่เป็นไฮไลท์จริงๆก็อยู่ที่บรรดาฉากร้องรำทำเพลงที่สุดแสนจะเร้าใจ(สุดๆขอบอก) ที่ขนมาให้ดูกันแบบเต็มคราบ ไม่ว่าจะเต้นกันในมหาลัย หรือไปจนถึงห้องเรียนในจินตนาการ เรื่อยไปจนถึงริมน้ำตก ก็ทำให้ผมรู้สึกคึกคักตามไปด้วยจริงๆ
และหลังจากดู Main Hoon Na ผมก็เริ่มติดหนังอินเดียขึ้นมาซะงั้น ผมเลยรีบแจ้นไปหาหนังอินเดียเรื่อง Devdas(หรือในชื่อไทย เดฟดาส ทาสหัวใจ เหนือแผ่นดิน) ของ ซันไจย์ ลีลา บันซาไล ที่เขาว่า เป็นหนังรักรันทดที่อลังการงานสร้างมาก แล้วไหนๆผมก็ติดหนังอินเดียแล้ว ก็ต้องดูเป็นขวัญตาซักหน่อย แล้วเมื่อทันทีที่ดูจบ ความรู้สึกของผมก็ไม่ต่างอะไรกับการดู Main Hoon Na เลย มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับหนังไปตลอดทั้งเรื่อง(เผลอๆจะมากว่า Main Hoon Na ด้วยซ้ำ) ทั้งในเรื่องของ บท,การแสดง,งานสร้าง,การถ่ายภาพ,การดำเนินเรื่อง ที่อยู่ในระดับดีมาก

Devdas เป็นเรื่องของ เดฟดาส (แสดงโดย ซุปเปอร์สตาร์ ชาห์ รุข ข่านเหมือนกัน) ชายหนุ่มจากตระกูลที่ร่ำรวยที่ถูกพ่อแม่จับแยกจาก ปาโร(แสดงโดยอดีตมิสเวิร์ด ไอสวรรยา ไรย์)หญิงสาวจากตระกูลที่โดนดูถูกว่าต้อยต่ำกว่า แล้วเหตุการณ์ก็ยุ่งยากขึ้น เมื่อ ปาโร ต้องแต่งงานกับคนอื่นอย่างไม่เต็มใจ และ เดฟดาส ก็เพิ่งรู้ว่าใจเขานั้นมีแต่ ปาโร เท่านั้น
ดูจากพล็อตแล้ว พาลให้เรานึกถึงละครไทย แต่หนังเรื่องนี้สามารถทำให้พล็อตที่ทำไม่ดีอาจกลายเป็นน้ำเน่าให้กลายเป็นน้ำดีได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งด้วย บท,การแสดง,งานสร้าง,การถ่ายภาพ,การดำเนินเรื่อง ที่ทำออกมาอย่างพิถีพิถัน ก็ช่วยส่งเสริมให้หนังให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งเรื่องบทที่ทำออกมาได้ดีมากๆ,การแสดงที่ถึงอารมณ์ของเหล่านักแสดง (โดยเฉพาะ ชาห์ รุข ข่าน ที่เล่นได้เศร้ามาก),งานสร้างที่อยู่ในระดับเกรดเอ ทั้งอาคารบ้านเรือน หอนางโลม ที่สร้างและออกแบบได้วิจิตรตระการตา และที่เด่นมากก็คือการถ่ายภาพและการวางมุมกล้องที่ทำออกมาสวยงาม จนบางฉากทำให้ผมนึกถึงหนังสวยๆอย่าง Pride&Prejudice ของ โจ ไรต์ขึ้นมาซะงั้น แต่สิ่งที่ Pride&Prejudice ไม่มีแน่ๆคือ ฉากร้องเพลงและลุกขึ้นมาเต้นของตัวละคร ที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้อย่าง สวยงาม สนุกสนาน และน่าประทับใจมาก
หลังจากดูหนังอินเดีย 2 เรื่องนี้จบลง มันย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า โลกของหนัง มันช่างกว้างไกลซะเหลือเกิน โลกใบนั้นในบรรจุหนังหลายรูปแบบกว่าที่คาดคิด และมันทำให้ผมอยากที่จะเดินทางค้นหาและสำรวจโลกใบนั้นตลอดไป และที่สำคัญผมคงต้องขอบคุณความเบื่อหน่ายจากปัญหาที่รุมเร้า ที่ทำให้ผมได้ดูหนังรสชาติแปลกใหม่ และเปิดโลกแห่งการดูหนังของผมให้กว้างกว่าเดิม...สรุป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หนังอินเดียมีดีกว่าที่คิด และเมื่อดูหนังจบก็ต้องรีบทำการบ้านให้เสร็จด้วย ไม่งั้นตก!
kitamura

Create Date : 10 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 5:55:52 น. |
|
1 comments
|
Counter : 4630 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: แสน IP: 118.173.14.127 วันที่: 7 กรกฎาคม 2555 เวลา:2:44:22 น. |
|
|
|
|
|