๏ ..ลำนำ น้ำเต้าลอย...ฤาถอยจม.. ๏ (ฉบับกลอนห่อโคลง)
๏ โอ้อกดายอาดูรดุจสูรย์ดับ แรแสงวับรุ้งวายมอดหายหว่าง อหังการ์นรกรั้งตกราง- สู่ขุมกางกรงเล็บตะเข็บคม ๚ะ
๏ อกดายด่าวดับโอ้ ...... อาดูร พ่อเฮย เปลวกรากปลักกองกูณฑ์ .... ก่นไหม้ เมฆดำคล่ำมิดสูรย์.......... สิ้นสว่าง กฤติยามนต์ไล้ .......... ลบแม้นแสนศานติ์ ๚ะ
๏ พุทธพจน์ฝากทั่วถ้วน ..... ทำนาย บัณฑิตย์ปิดเร้นหาย ......... หดหน้า เหลือบ-ริ้นร่านพล่านคาย .... ขึ้งกร่าง ครองภพขบพื้นฟ้า .......... ผงาดคร้ามหยามหยัน ๚ะ
๏ คางคกขึ้นเทียบไว้ ........ เทียมวอ ผงกหัวเยี่ยมหอ ............. กระเหี้ยน- กระหือย่ำเย้ยยอ - ......... ยกอวด เดชาเนอ แลเหยียบเรียบเลาะเมี้ยน .... ดับม้วนล้วนหมาย ๚ะ
๏ ผีห่าเห่าฮ้องกู่ ........... กระหึ่มกาล สรรพครอกขยอกขาน ..... ครึกม้วน ในอุ้งหัตถ์ซาตาน ........... ขย้ำเขย่า โอแหลกรุ่ยผุยถ้วน ........ ถ่มทิ้งเยี่ยงสถุล ๚ะ
๏ ความสัตย์คลายเสื่อมสิ้น..... สื่อทอด อาสัจจ์ฉาดฉายสอด ........... ฉาบท้น อาบัติเบี่ยงธรรมบอด ........... ใบ้ทั่ว เดียรถีย์ท่วมล้น ................. รุกล้วนถ้วนสถาน ๚ะ
๏ พุทธาเทศน์ใช่ถ้อย ........ ถากชน ใดนา เพียงจิตผิดพิกล ............. ผ่าวกลุ้ม ยอใจยิ่งนิ่งสนน ............ สู่มรรค ธารแฮ ยั้งพล่านยั่นขยุ้ม ........... ยอบใต้สายธรรม ๚ะ๛
+ กิ่งโศก+
|
|
..บทเทศนาแห่งองค์ตถาคต บัญญัติบอกไว้อันวัฏจักรแห่งชีวิตว่า อันมนุษย์ ย่อมเวียนว่าย ใน การเกิด การแก่ การเจ็บการตาย นั่นคือความจริงอันที่ไม่ต้องพิสุจน์ เพียงทุกผู้เห็นแจ้งตามนั้น ..วงล้อชีวิต
คำรบนี้ ยิน อ่าน เห็นจำเรียงเสียงสะท้อน เพลงยาวอยุธยา ลอยร่อนในทุกทั่วอณู โลกาใบนี้ โดยเฉพาะ วรรคติดลมบน....จารเป็นบทกวีว่า
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ......... นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย ..........น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
โดยเราเราอาจ จึงแปรเปลี่ยนเป็น ..กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม มันสะท้อนถึงการพลิกกฟ้าปลิ้นดิน เข้าสู่ยุคผู้ทรงศีลจะละลาซึ่งการแผ่ธรรมกระนั้นหรือ?
นัยต่างๆ เริ่มโชนชัดขึ้น(ในความรู้สึก) ไม่ว่านัยทางสังคมที่เปลี่ยนให้ความสำคัญทางวัตถุสำคัญยิ่งกว่าชีพ คือสามารถขายชีวิตเพื่อวัตถุนิยม นัยทางเศรษฐกิจ คงไม่อาจเห็นความเอื้อาทรเห็นอกเห็นใจ กลายเป็นใครมีเล่ห์ฉลาดกลับฉกฉวยผลักดันตัวเองให้ผงาดเด่นในสังคม แม้นวิธีการนั้น จะล้ำเส้นแห่งศิลธรรม คุณธรรม ความดี และนัยยะทางการเมือง ที่ฉกฉวยประโคมคำ ที่จูงใจคน แล้วรวมกันเป็นข้างเป็นฝ่าย ประหัตหารกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
โลกปัจจุบันคือตัวชี้วัด ความจำเริญคือ ความล้ำหน้าแห่งวิทยาการวัตถุ (วิทยาศาสตร์) นับหน้าถือตาว่าคือความมีอารยะธรรม โลกปัจจุบันใบนี้ หรือจน โลกหน้า แลโลกอนาคต ความกังวลคงมีเพียงเรื่องคุณธรรม (ไม่ใช่คุณนะทำ) ที่จะจางหายไป เน้นความสำคัญในการดำรงค์ชีพสำคัญที่สุด ส่วนมันจะผจญอุปสรรคใดๆ ในการแสวงหาความจำเริญแห่งชีวิตที่จะต้องเต็มไปด้วย ทรัพย์ศฤงคาร นานา ที่พึงหามาด้วย ทุกยุทธวิธี ( คงไม่มีวีธีถูกผิดอีกแล้ว มีวิธึเดียวคือได้มา)
ศรัทธาแห่งจิตใจ ต่อความดี ต่อความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คงมลายหายไป เทพ แล เหล่าสัมภวเสี คงไร้ซึ่ง สิ่งบวงสวง หรือบัดพลีสังเวย
ดังนัยที่กล่าวมา กิ่งโศก คาดว่า คงไม่เกิดหรอก ในช่วงชีวิตของชาวเรา พึงร่วมภาวนา ว่าอย่าได้เกิด เพราะหากค่านิยมเหล่าวัถุนิยม ที่มองถึงเครื่องวัดความมั่งคั่งแห่งบารมีแล้ว ความนิยมแห่งธรรมคงเลือนหายไปเพราะไม่สามารถเสพได้หรือประชันถึงความเป็นผู้เรืองแห่งอำนาจได้.....ขอเถิดอย่าบังเกิดเลย สาธุ..
ลำนำ บทนี้จักนำบทเพลงสรรเสริญองค์พระศาสดา และไตรรัตน์ เพลง องค์ใดพระสัมพุทธ ที่ขับร้อง ถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ คล้ายดั่งดิ่งไปในธรรมจิตปานนั้น โดยบทที่ถือเป็นสัจธรรมคือ บทนี้
สัตว์โลก ที่โศรกตรม ดับระทม ด้วยพระธรรม นั่นถุกประจุ ตราให้เห็น ว่า สรรพสิ่งใดๆในโลกที่วุ่นวาย พิโยคหาอาลัย นั้น เพียงหันหารสพระธรรม ก็บรรลุดับความทุกข์นั้นได้เพียงบัดดล สดับเถิด
ขับร้องโดยคุณสุเทพ วงค์กำแหง
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
องค์ใดพระสัมพุทธ ธ วิสุทธิ์ ผุดผ่องใส
ตัดมูลกิเลสไกล หลีกละในสิ่งเริงรมย์
ธรรมใด ท่านตรัสแล้ว เหมือนดวงแก้ว น่าชื่นชม
สัตว์โลก ที่โศรกตรม ดับระทม ด้วยพระธรรม
ธรรมนั้น พวกท่านทั้งหลาย จงเปล่งวาจา ว่า สาธุสะ
ภาวนา ดุจสรณะ คือพระ รัตนตรัย