๏.. ลำนำ รัศมีดาว ..๏
๏ เกลื่อนด้าวดาริกา
ระดะฟ้าไล้ด่ำดื่น ระยิบระยับยืน
. ยิ่งทอแย้มเกินบรรยาย ๚ะ
๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า
.. ดาวราย เฉกยั่วกลั้วยิ้มฉาย
. หยาดชี้- แสงระบัดระบาย
เรื่อบ่ม ไล้เนอ แลชื่นรื่นระรี้
. ปริ่มล้ำหวำไหว ๚ะ
๏ แยงวูบเส้นวิ่งเวิ้ง
วาบเห็น ชนเก่าเล่าบอกเป็น
.. ปากยั้ง ดาวตกตริกระเด็น
.. จุติ ชีพนา ใครทักจักหยุดรั้ง-
. แกว่งเร้าเกิดรอน ๚ะ ๏ ปริศนาห่อนใบ้
บทโหร ทายเฮย เผยใช่ประจักโชน
.. ชัดถ้อย เพียงเปรียบเทียบอย่าโพน-
. ทะนาสรรพ สิ่งนอ ใคร่คิดจิตจ่างร้อย
.. รับแจ้งพิจารณ์ ๚ะ
๏ กี่คืนกี่ค่ำเคล้า
.. คะนึง ถอยร่นก่นความถึง
อดีดครั้ง- ลำดับนับอื้อึง
. อวดแย่ง ชี้แล นี่นั่นพันหมื่นตั้ง
.. มากแต้มแซมหาว ๚ะ
๏ อยากเติมปั้นแต่งฟ้า
.. เต็มฝัน ตรึงภาพขับข่มจันทร์
.. จ่างคล้อย งดงามอร่ามงัน ................ อยู่นิ่ง ชมนา แม้นบ่วงพ่วงดึงร้อย ......... อยู่ยั้งฝังแฝง ๚ะ
๏ ไขแสงแข่งขับด้วย ........ ดับแข พึงปลั่งพลางฉายแปร .......... เปล่งซ้อน จันทร์เสี้ยวส่องกระแส ....... ลับซอก เมฆเฮย ฉานทอดเรื่อสะท้อน .......... ทั่วท้องผ่องสรร ๚ะ
๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า ....... ครู่เเดียว สางลุอุษาเหลียว ................ รุ่งเช้า จิตคืนตื่นรู้เจียว .............. ปัจจุ- สมัยนา จึ่งราบภาพรุกเร้า ........... หลบใต้นัยหลอน ๚ะ
+ กิ่งโศก +
ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงสายน้ำจากฟากฟ้าหลั่งชโลมผืนดินเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำและหล่อเลี้ยงแมกไม้ใบหญ้า จึงเป็นฤดูกาลแห่งความมีชีวิตชีวายิ่ง แต่บางครั้งพระพิรุณก็หล่นเพลิน จนทำให้เกิดอุทกภัยเดือดร้อน กันไปทุกหย่อม และฤดูถัดไปคือฤดูหนาว ถือได้ว่าเป็นช่วงเก็บเกี่ยว อารมณ์สุข สดชื่น เพราะช่วงนั้นพลังชีวิตกำลังฉายฉาน บานเบ่งไปทั่ว ภาวะความเย็นดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตมักจะชอบกว่าความร้อน (ไม่ใช่อุ่น)
ลานผืนป่าขจรขจีด้วยบุปผาชาติ นานาพันธุ์ แมลง สัตว์ทั้งทวิบาท จตุบาทเริงร่า ภมรภู่ผีเสื้อร่อนฟ้าชมผกา แลสบไปท้องฟ้าพบแต่ความสดใส เมฆขาว ฟ้าสีคราม พอทอดต้องสนธยา แดงเรื่อเจือสีแห่งแสงตะวันที่เริ่มยอ... ค่ำคืน เวิ้งฟ้าประดับประดาไปด้วยหมู่ดาริการะยิบ ยิ่งคืนเดือนแรมหมู่ดาวจะจำรัสยิ่งเชียวละครับ
ในห้วงเวลาดึกดื่นสำหรับผู้ที่ดื่มด่ำในภวังค์ ก็จะบรรจงวาดวิมานอันวิจิตร ให้แจ่มชัดในมโน...แลอารมณ์บรรเจิดเพริดพลิ้วให้ทำนองไปกับคีต ดีดคลอกล่อม มนตราดนตรีไพร แก่เหล่าผู้คนให้สู่นิทรารมณ์ พร้อมระเริงร่ำในห้วงฝัน
ยามค่ำคืนเช่นนี้ วัยเด็ก ของกิ่งโศก พร้อมด้วยพี่น้อง พ่อแม่ญาติๆ จะร่วมพูดคุยกันหลังอาหารเย็น เด็กน้อยที่มักจะคอยฟังผู้ใหญ่เล่า พูดคุยกัน พร้อมกับนอนหนุนตักแม่ อยู่กลางชานบ้านที่เป็นพื้นโล่งโปร่ง เวลาลมกลางคืนพัดผ่าน นำพาความเย็นชื่นแล้วยังนำพากลิ่นหอมระรื่นแห่งดอกไม้ราตรี หูฟังผู้ใหญ่พุดคุย จมูกสูดสัมผัสกลิ่นหอมมาลัย ดวงตามองเบิ่งไปบนท้องฟ้า ชวนชมดูดวงดาวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เอ..ดวงดาวหรือจะเป็นดาวแห่งชะตาของแต่ละคน ?....
เราๆ พี่ๆ น้องๆช่วยกันชี้ ว่าดาวอะไร ใช่ดาวไถ ไหม ใช่ดาวศุกร์ไหม ..นั่นกลุ่มดาวลุกไก่ คำถามมักจะถูกตอบจากผู้ใหญ่เสมอ พร้อมตำนานต่างๆ ที่บางทีผุกเรื่องเล่า ...คลุกเคล้าไปด้วยฤทธีแห่งผู้อยู่ฝ่ายดี และฝ่ายร้าย และสุดท้ายก็จะสรุปบน ธรรมะชนะอธรรม คนรุ่นเก่ามักเพาะบ่ม ความเชื่อศรัทธา ที่อยู่ในครรลองธรรมแก่บุตรหลานเสมอ
ครั้นเมื่อมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองร่วมยี่สิบรอบของวงชีวิต แสงนวลแห่งดวงดาวบนท้องฟ้าในเมืองกรุงกลับถุกปิดกั้นด้วยแสงประดิษฐ์... แสงจากไฟฟ้า ที่เวลาตอนเราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีไรมักจะแยงดวงตาให้พร่า ทุกที ท้องฟ้ามักจะหม่นหมองด้วยหมอกควัน หมู่ดาวมักจะถุกกลบ จึงยากนักที่จะเห็น ยกเว้น พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ที่ยังคงสถิตย์ลอยวนให้พอได้เห็นว่าเป็นกลางวันกลางคืนอยู่เช่นเดิม
ชีวิตการทำงานในเมืองหหลวง บางครั้งต้องมีผ่อนคลายอารมณ์ บ่อยๆ ยิ่งกิ่งโศกมีเจ้านายเป็นคนต่างชาติ คือญี่ป่น (แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เราเพ้อมาได้ไหม ฮ่าๆๆ ใกล้แล้วขอรับ) เจ้านายชอบร้องเพลงคาราโอเกะมาก ส่วนมากก็เป็นเพลงสากล ปะกิต และเพลงคุณยุ่น และทุกครั้งต้องมีเพลงเอกของคนญี่ปุ่น คือเพลง ซาบุรุ...เวลาจะไปทานอาหารช่วงเย็นกัน จะโทรสอบถามก่อนว่าที่ร้านมีเพลงนี้ไหม หากไม่มีช่วยหาให้ด้วย จากที่เคยฟังผ่านๆ มาฟังบ่อยๆ จนคุ้นหู หากใครยังไม่รู้จัก ก็ลองฟังเพลงที่นำมาร้องเป็นภาษาไทย โดย แมวเก้าชีวิต ดอน สอนระเบียบ ( น่าสงสัยว่าคุณดอนไปสอนเจ๊เบียบแต่มะไหร่ 55) เพลงที่ขึ้นต้นว่า เหม่อ มองฟ้าคืนนี้แสงดาวริบหร่สวยเด่น...ทำนองเย็นๆๆ
ซาบุรุ ก็ทำนองบทเพลงเดียวกัน ( คุณดอนเอามาร้องทีหลัง) ยิ่งเดี๋ยวนี้มีคำร้องทับศัพท์ ทั้ง อังกฤษ ทั้งไทยเลย เพลงนี้หากฟัง ในตอนกลางคืนกำลังมองดูดาวด้วยแล้ว ผมว่าเราจะเคลิ้ม ยันเช้าเลยละครับ ไม่เชื่อลองฟังดูนะครับ เดี๋ยวผมใส่เสียง พร้อมเนื้อร้อง แบบทับศัพท์ เลยครับ
subaru. (Japan song)
me o to ji te na ni mo mi e zu ka na shi ku te me o a ke re ba ko u ya ni mu ka u mi chi yo ri ho ka ni mi e ru mo no wa na chi
aa.. ku da ke chi ru sa da me no ho shi da chi yo se me te hi so ya ka ni ko no mi o te ra se yo
wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo
i ki o su re ba mu ne no naka ko ga ra shi wa na ki tsu zu ke ru
sa re do wa go mu ne wa a tsu ku yu me o o i tsu zu ke ru na ri
aa...san za me ku na mo na ki ho shi ta chi yo se me te a za ya ka ni so no mi o o wa re yo
wa re mo i ku ko ko ro no me i zu ru ma ma ni wa re mo i ku sa ra ba [su ba ru] yo
aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o
wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo
Create Date : 01 สิงหาคม 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 20:44:58 น. |
Counter : 1402 Pageviews. |
|
|
|
ชอบค่ะชอบ
ลอยล่องในปล่องฟ้า... ..สีเทา
เมฆหมอกคล้อยเคลื่อนเงา ..แทรกซ้อน
ควันจางค่อยบรรเทา........แลชัด พี่เอย
จิตตื่นชื่นโอบป้อน...........อิ่มแท้นาบุญฯ
เสียดายจังค่ะ เข้าบล๊อกหน้าตัวเองไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ยังไม่ได้สมัครใหม่ค่ะ