A King's penguin story





Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
โอปปาติก หนังที่ใครๆ ว่าห่วยแต่ตูชอบว่ะ!!



โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) เกิดอมตะ

หนังที่ใครๆ ว่าห่วยแต่กูชอบว่ะ!!


ขออนุญาตใช้คำว่า "กู" เพื่อแสดงความสะใจ
บางประการนะคะ จากกระแสที่ว่าห่วยเหลือเกิน
บวกกับไม่ค่อยเชื่อถือหนังไทยเลยคิดว่าดูแผ่นละกัน
(หรืออาจจะไม่ดูเลยเหมือนอีกหลายร้อยเรื่องที่ผ่านมา)
บังเอิญวันนี้ชอปปิ้งเสร็จเร็ว คุณเจ๊ ต (นามสมมุติ)
บอกว่าเพิ่งสามทุ่มเองเลยชวนไปดูหนังต่อ เจ๊แกว่า
อยากดูเรื่องนี้แหละ เอาก็เอาตามใจเจ๊ คนดูมีแห้งแล้ง
มีไม่กี่คนหรอกรอบนั้นมันดึกแย้วนี่ แถมรำคาญอีเปรต
ข้างหลังที่เอาตีนถีบเก้าอี้ตูอยู่ได้ หล่อนมาดูหนัง
หรือมาเต้นแอโรบิคกันแน่ยะ?

เข้าเขตสปอยล์….โคตรๆ อยากไปดูไม่ต้องอ่าน

คำเตือนก่อนไปดู หากคิดจะไปดูหนังบู๊มันส์
ในอารมณ์อย่าฝัน มันคือหนังปรัชญาที่มี
ฉากบู๊เป็นภาพประกอบการเล่าแนวคิดไป
ตลอดเรื่อง ถามตัวเองก่อนไปดูจะได้
ไม่ผิดหวัง


หนังเริ่มเรื่องด้วยความมืด...และมืดๆ ไป
เกือบทั้งเรื่อง(ไฟไม่ได้ดับนะ)

เปิดตัวมาว่า “เตชิต(ลีโอ พุฒ)” นักสืบผู้อยากรู้
ความลับของ “ศดก(ลุงนิรุตติ์)”ซึ่งในเรื่องไม่ได้
บอกว่าศดกเป็นใครมาจากไหน เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า
ศดกเป็นโอปปาติกอาวุโสที่มีบารมีมาก ตรงนี้คนดูต้อง
จินตนาการตามผูกเรื่องเองให้เร็วสักนิด ศดกล่อลวงให้
เตชิตซึ่งอยากรู้ในความลับของพลังฆ่าตัวตายแล้วเกิดเป็น
โอปปาติก ที่มีความสามารถพิเศษอ่านใจคนได้ แต่แลก
กับการที่ต้องเสียสัมผัสทั้ง 5 ไปทีละอย่าง กระนั้นเตชิต
ก็ยังใช้มันและภูมิใจกับพลังนี้เหมือนไม่ค่อยรักชีวิต

จากนั้นศดกก็ใช้งานเตชิตให้ไปตามหาโอปปาติก
คนอื่นๆ ร่วมกับธุวชิต(ป๋าพงศ์พัฒน์)ไปตามหา
พวกนั้นเรื่องดำเนินไปท่ามกลางการตามล่าฆ่า
ล้างโคตร ใช้ฉากบู๊ฟุ่มเฟือย ประหนึ่งกำลังดู
หนังเรื่องต้มยำกุ้ง มีไอ้ตัวใส่ถุงครอบหน้าดำๆ
ออกกุ้งๆ เอ้ย ตายๆกันอยู่นั่นแหละ สลับกับการ
เล่าเรื่องของธุวชิตจุดนี้มีคนบอกว่ารำคาญเล่าอยู่ได้
ส่วนเราคิดว่าถ้าไม่เล่าแหละจะไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลย
ต่างหากล่ะ

หนังดำเนินเรื่องไปเสมือนคนดูกำลังอ่านหนังสือ
มีธุวชิตเป็นตัวเล่าเรื่องและมีฉากกุ้งเต้นเหล่านั้น
เป็นภาพประกอบ ซึ่งโหดมาก เลือดสาดตายกัน
อย่างกะกุ้งเทมปุระก็ไม่ปาน นึกภาพกุ้งผ่าครึ่ง
แล้วทุบๆ ก่อนชุบแป้งทอดออกไหม? เละแบบนั้นเลย
แหละตัวเองศพจึงตายไม่สวยเน้นความโหดร้าย
จนไม่แนะนำให้เอาลูกเล็กเด็กแดงไปดู เพราะมัน
โหดแบบเห็นๆ มีปักคองี้ ทิ่มมือทะลุ คอขาด แขนขา
กระเด็น กะบาลแยก โอ้ย...เลือดโชกอย่างกะปลาซาดีน
ในน้ำมะเขือเทศ(เห็นภาพนะคะ) ตายกันฟุ่มเฟือยมาก

เรื่องค่อยๆ เล่าไปถึงโอปปติกแต่ละคน เริ่มที่
"ไปศล (ชาคริต)"โอปปติกที่มีอาชีพนักฆ่า เขามีความ
สามารถพิเศษเห็นจุดตายฆ่าได้ในหนเดียว ทว่า
ทำร้ายใครไปแผลนั้นก็จะปรากฏบนร่างของเขา
เช่นเดียวกับศพนั้นๆ ทำให้จินตนาการไปว่าหน้า
ไปศลน่าจะยับเยินกว่านี้ แต่ดูแล้วก็ยังหล่ออยู่
แผลบนหน้าก็เป็นๆ หายๆเป็นระยะ แต่ไม่เป็นไรมัน
ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ไปศลมีความหลังภรรยาถูก
คนร้ายพยายามข่มขืนและฆ่าเธอตาย ไปศลมา
เห็นเหตุการณ์เขาฆ่าฆาตกรตาย และขมขื่นกับ
การมีชีวิตโดยไม่มีคนรัก จึงใช้กริชปักหน้าผาก
ตัวเองตาย นอกเรื่องสักนิด...เอ่อ..กะโหลก
คนเรามันบางขนาดทิ่มทะลุโดยที่เจ้าตัวยังมีสติ
พอจะกดกริชจนมิดเล่ม หรือออกจะโหดร้ายและ
โอเวอร์ไปสักนิด แต่พี่แกก็ตายนั่นแหละแต่ที่
ไม่สมใจนึกคือดันไม่ได้ไปหาเมีย แต่ดันเจือกได้
เป็นโอปปาติกแทนจึงไม่สามารถตายได้ เลยทำ
อาชีพนักฆ่าทั้งที่รู้ว่าตัวเองต้องเจ็บปวดไปด้วย
คล้ายอาการทางจิตที่ต้องการใช้ความเจ็บปวด
ชดเชยบาดแผลทางใจ เหมือนคนที่ชอบเชือด
ข้อมือซ้ำๆ บ่อยๆ แล้วไม่ตายห่าไปสักทีนั่นแหละค่ะ
ไปศลรู้ตัวแต่หมกมุ่นเกินไปจึงใช้ชีวิต
ซังกะตายแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบปราณ
ผู้หญิงลึกลับที่ทำให้เขาเกิดมีความรักอีกครั้ง
ในส่วนของการแสดงนักแสดงหนุ่มๆ ทั้ง 5 คน
ชาคริตแสดงได้ดีที่สุดค่ะมันดูเศร้ากับรักเดียว
ที่ฝังใจจนเจ็บปวดไม่อาจลืมได้ มีชีวิตอยู่ก็เหมือน
ตายทั้งเป็น...ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ผู้ชาย
หลายใจของเขาเลยเล่นถึงบทดี

คนต่อมาคือ "รามิล(อธิป)" รามิลเป็นคนใช้ชีวิต
เสเพลไปวันๆมีความสามารถพิเศษคือมีเจตภูต
หรือที่เราเรียกกันจนชินในภาษาการ์ตูนว่าแสตน
(เหมือนในเรื่อง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ) รามิล
สามารถเรียกเจตภูตออกมาจากร่าง ให้สู้แทน
และปกป้องตัวเอง รวมถึงทำอย่างอื่นด้วย แต่มี
ข้อแม้ว่าทุกครั้งที่เขาใช้เจตภูต ร่างกายจะเริ่ม
แปรสภาพเป็นอมนุษย์เหมือนเจตภูต รู้ทั้งรู้แต่
รามิลยังคงใช้พลังนี้แบบเปล่าประโยชน์ เหมือน
อยากให้ตัวเองดับสูญไปเร็วๆ เอฟเฟคเจตภูต
ของรามิลเนียนดีค่ะ เวิร์กค่ะเวิร์ก เรื่องของ
รามิลไม่มีแบล็คกราวด์เล่าความเป็นมาว่าทำไม
เขาถึงเป็นอย่างนี้ บอกแต่เพียงว่าเขาเป็น
เพื่อนรักกับอรุษเท่านั้น

มาดูอรุษกันบ้าง "อรุษ(เรย์)" เป็นโอปปติกได้ยังไง
ก็ไม่รู้หนังไม่ได้บอกและไม่ได้บอกว่าทำไมมากิ๊ก
กับรามิลด้วย ระหว่างดูแอบ Yคู่นี้เป็นระยะ
อรุษเป็นคนสองบุคลิกกลางวันเป็นคนอ่อนโยน
อ่อนไหว ออกจะขี้เหงาเสียด้วยซ้ำ แต่พอตะวัน
ตกดินอรุษกลายเป็นหนุ่มขาโจ๋ที่สามารถจะฆ่าใคร
ก็ได้แบบไม่รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่า...เรย์
ไม่สามารถเล่นให้ อรุษ กลางวัน กับกลางคืนต่างกัน
มากซึ่งมันน่าจะต่างกันแบบเห็นได้ชัดกว่านี้ นี่แทบ
ไม่รู้สึกอะไรเลยแค่รู้ว่ากลางคืนมีพลังคนม้าบิน วิ่งเร็ว
ประหนึ่งเติมแก๊ซโซฮอล แล้วก็ตัดสินใจได้เฉียบขาด
กว่า ระหว่างนั้นก็บ่นๆ กับรามิลว่า

อรุษ : กูกลัว....ความอ่อนแอในตอนกลางวัน
กูจะรอดหรือเปล่า?

รามิล : กูไม่รู้ แต่กูไม่ทิ้งมึงหรอก

อ๊ากกกกกก Y เว้ยยยยยยยยย!!
ประโยคข้างต้นเราเชื่อว่ามนุษยชาติสามัญธรรมดา
ดูแล้วไม่รู้สึกว่า Y ตรงไหน แต่เนื่องจากเรามีความหื่น
ใหญ่กว่าคนปกติ...ดูไปก็คิดลึกไป
ซึ่งเราอยากให้ขยายความสัมพันธ์ของทั้งสองคน
มากกว่านี้ ไม่เกี่ยวกะอิชั้นชอบ Y นะคะ แต่ว่าไม่
ขยายแล้วหนังมันขาดๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีแบ็คกราวด์
ก็ไม่สมบูรณ์ทางอารมณ์ว่างั้นเถอะ

นอกจากคู่ Y เอ้ย 2 ซี้นั่นแล้ว มาถึง "จิรัสส์(เต๋า)"
จิรัสส์เป็นตัวละครปริศนาไม่มีที่มาอะไรนอกจาก
แสดงออกว่าเป็นโอปปาติกที่มีพลังอมตะ ถ้าตายแล้ว
จะเกิดใหม่ทุกครั้งด้วยการลอกคราบเหมือนงู แต่การ
ลอกคราบแต่ละครั้งเจ็บปวดปางตาย ชีวิตวนเวียน
ไปไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีวันตายเดียวดายอยู่บนโลกมนุษย์
ด้วยความเศร้าใจ

จิรัสส์ตามหาโอปปาติกคนอื่นๆ เพื่อเตือนเรื่องการ
ถูกตามล่า โดยขู่ทิ้งท้ายไว้ว่าถ้าไม่ฟังจะฆ่าทิ้ง
คนที่จิรัสส์เป็นห่วงที่สุดคือไปศล เขาเตือนไปศล
ว่าอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงชื่อปราณ แต่ไปศลไม่ฟัง
คำเตือนและหลงรักปราณไปจนได้ ในส่วนของ
การแสดง....ง่า....พี่เต๋าไม่ถึงบทอย่างแรง คือจิรัสส์
จะต้องเป็นตัวละครที่มีความลึกลับยิ่งกว่าโอปปาติก
ตนใด ซึ่งตอนท้ายหนังจะเฉลยว่าเพราะอะไร
นอกจากลึกลับแล้วยังต้องทรงอำนาจ มีเสน่ห์
แต่พี่เต๋าแกติดภาพเต๋าหัวโจก แสดงออกมาแล้ว
ละหม้ายคล้ายนักเลงหัวไม้มากกว่าโอปปาติก
ซึ่งกำความลับของศดก ระหว่างดูคิดถึง
ฉัตรชัย เปล่งพาณิชย์ เป็นอย่างยิ่งคิดว่าบทนี้
เหมาะกับเขามาก แต่ฉัตรชัยอาจจะดูสูงวัยไป
สำหรับบทจิรัสส์ซึ่งดูอมตะดูเอ๊าะๆ ประหนึ่ง
วัยรุ่นรุ่นเดียวกับอีก 4 หนุ่มน่ะค่ะ

แล้วพอเต๋าไปเข้าฉากกับลุงนิรุตติ์...โอ้ว...อยากจะ
บอกว่ากระดูกคนละเบอร์กันชัดๆๆ ลุงนิรุตติ์
การแสดงอย่างเทพอ่ะกินเรียบเต๋าจืดสนิทไปเลย
ไม่สูสีว่าอำนาจทัดเทียมกันอย่างแรง ขอคนอื่น
แทนพี่เต๋าได้ป่ะ...จะดีมากเลย

พี่เต๋าแสดงฉากบู๊ได้ดีนะคะ ยอด..ขอชมเลย แต่ฉาก
อารมณ์เหมือนเฮียเล่นเป็นตัวเอง เหมือนหนังทุกๆ
เรื่องที่ผ่านมานั่นแหละ ลักษณะการแสดงของเต๋า
เหมือนแบรด พิตต์อ่ะกี่เรื่องแบรด ก็เล่นเป็นแบรด
ไม่แย่แต่...ไม่ได้เป็นตัวละครนั้น พอเข้าใจที่เรา
อธิบายใช่ป่ะ? ไม่งงนะตัวเอง?

ก็คุยกะเพื่อนว่านอกจากฉัตรชัยแล้ว ใครเหมาะ
กับบทจิรัสส์อีกพี่ตั้ว ศรัญญไม่ได้ รุ่นเดียวกะ
ฉัตรชัยแก่ไป งั้นพี่เบิร์ดดีไหม? พี่เบิร์ดเล่นได้น้า
ถ้าไม่ใช่บทบู๊ แต่เพื่อนบอกให้พี่เบิร์ดไปเล่นเป็น
ปราณเถอะรุ่งแน่ๆ...ปู๊ด ไปว่าเขา...ถ้าเคยดู
พี่เบิร์ดเล่นนิรมิตล่ะก็จะรู้ว่าพี่เบิร์ดแกแสดงเก่งนะเอ้อ
เล่นเป็นคนลึกลับทรงอำนาจบารมีได้ แต่นึกภาพ
พี่เบิร์ดในบทบู๊ไม่ออกไม่รุ่งอย่างรุนแรง ถ้าให้พี่เบิร์ด
ไปวิ่งสู้ฟัดเหมือนพี่เต๋าล่ะก็นึกภาพไม่ออกเลยง่ะ
เลยข้ามพี่เบิร์ดไปดีกว่า นึกถึงแอนดริว เกร๊กสัน
ขึ้นมาอีกคนแอนดริวดูลึกลับดี แต่คงไม่ทรงอำนาจ
ได้เท่าลุงนิรุตติ์ แต่ขานั้นชั้นครูช่วยไม่ได้นี่เนอะ
ลุงเขาเก๋าอ่ะ

มาถึงสาวคนเดียวในเรื่อง "ปราณ(เชอร์รี่)"
โอ้วพระเจ้าจอร์จซาร่า...ไปขายกระดาษซับมัน
ให้เธอทีเถอะ หน้ามันแผล่บเลย เราคิดว่า
ความมันแผล่บจนแทบเอาน้ำมันบนหน้าไปทอดไข่
ได้เนี่ย มันเป็นการเจตนาแต่งหน้าแบบนั้นนะ
แต่มันผิดอิมเมจชอบกล ปราณมีอิมเมจของ
เทพธิดาในชุดขาว น่าจะแต่งหน้าเธองามเช้ง
สวยเด้งราวนางฟ้าเดินดินไปเลย แต่นี่แต่งแล้ว
เธอดูครึ่งผีครึ่งคนมากสวยไม่เสร็จ เห็นแล้วจอร์จ
กลุ้มใจฮ่ะ ซาร่าไม่ต้องขายกระดาษซับมันแล้ว
ก็ได้ ยกให้หล่อนไปฟรีๆ 2 กล่องเลยแล้วกัน

คุณลักษณะพิเศษของปราณ เข้าใจไปหมด
ทุกเรื่อง ราวกับแม่คุณทำงานที่กรมสุขภาพจิต
รับปรึกษาปัญหาความเครียดของโอปปาติกทุกคน
ทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นที่อยู่กับเธอจนเกิดเป็น
ความรัก โดยเฉพาะไปศลเป็นเอามากกว่า
ใครเพื่อน จิตใจของเขาเหมือนได้รับการเยียวยา
หัวใจอันแห้งผากมีน้ำทิพย์หยดลงมา แต่ปราณ
แสดงออกราวเป็นตุ๊กตามีชีวิต มีไว้แค่ให้ศดก
เชิดเท่านั้น....มีแค่จิรัสส์กับรามิลเท่านั้นที่
ไม่หลงรักปราณ เพราะจิรัสส์นั้นรู้ความจริงว่า
เธอเป็นใคร ส่วนรามิลนั้นสนใจแค่คู่กิ๊กอย่าง
อรุษไม่สนคนอื่น(บอกแล้วว่า Y)

มาถึง "ธุวชิต(พงศ์พัฒน์)" นักรบผู้ต่อสู้กับ
โอปปาติก เป็นมนุษย์คนเดียวในเรื่อง(ไม่นับบรรดา
ลูกน้องกุ้งเต้น) ตัวหนังไม่ปูเรื่องว่าทำไมธุวชิตถึง
จงรักภักดีกับศดกนัก ทั้งที่ลึกๆ ในใจแล้วธุวชิต
ชิงชังโอปปาติกยิ่งนัก ถึงขั้นเคยคิดจะฆ่าศดก
เพื่อปลดปล่อยด้วยซ้ำ บทที่แสดงความเป็นมาใน
ความสัมพันธ์ของธุวชิตกับศดกมีแค่ฉากเดียว
เป็นบทพูดชวนจิ้นเสียด้วย...

ธุวชิต : ถ้าไม่มีท่านผมคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้

ศดก : เช่นกันธุวชิต ถ้าไม่มีท่านเราคงมิอาจอยู่มา
จนถึงวันนี้...ขอบใจในความภักดีที่มีแก่เรามาก....
ธุวชิตผู้ชนะตลอดกาลของข้า (ว่าแล้วธุวชิตก็เอาเสื้อ
มาคลุมไหล่ให้ศดก ด้วยเกรงว่าจะหนาว)

โอ้ววววว...ว Y รุ่นดึก ฟังแล้วสยิวกิ้วจริงๆ นะ
คำเตือน : เหมือนข้างบนเมื่อกี้ “มนุษยชาติ
สามัญธรรมดาดูแล้วไม่รู้สึกว่า Y ตรงไหน ท่านต้อง
เกิดมามีไวรัส Y อยู่ในร่างเท่านั้นถึงจะรู้สึกได้ นี่เป็น
ความสามารถพิเศษของเรา”


มาถึงคนสุดท้ายโอปปาติกที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง
ทั้งหมด"ศดก(นิรุตติ์)" โอปปาติกรุ่นเดอะ
ที่กำลังจะหมดอายุไข หลังจากหยุดอายุมา
ได้ 100 ปี (น่าเสียดายมาเป็นโอปปาติกตอนแก่
ไม่งั้นคงหน้าเด้งได้ 100 ปีแบบจิรัสส์) เขาต้องกิน
หัวใจโอปปาติกด้วยกันเพื่อต่ออายุขัย จึงใช้
ธุวชิตและปราณไปหลอกโอปปาติกคนอื่นๆ
มาให้กินนั่นเอง โดยพลังของศดกคือการ
สร้างมายานิมิต ให้คนอื่นเห็นได้อย่างใจตัว
และเมื่อกินหัวใจโอปปาติก ตนใดไปก็จะได้พลัง
ของโอปปาติกตนนั้นมาไว้ที่ตัวด้วย

สุดท้ายหนังที่เลือดสาดก็ยังคงสาดเลือดไปเรื่อยๆ
ไม่กลัวสิ้นเปลืองน้ำแดง(เข้าใจว่ามีแฟนต้าน้ำแดง
เป็นสปอร์นเซอร์ )ตัวละครก็ทยอยตายห่ากันไป
ทีละคนสองคน....อะไรที่ฝืนไม่ได้มันก็ฝืนไม่ได้
วันยังค่ำนี่คือคำตอบสำหรับศดก ส่วนคนอื่น
จะบอกว่าหลุดพ้นก็ได้นะตายแล้วนี่ ยกเว้น
พี่เต๋าแกยังเป็นอมตะของแกต่อไป ส่วนธุวชิต
เมื่อเจ้านายก็เป็นอิสระเสียที

แก่นของเรื่องบอกว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่การ
หนีพ้นปัญหาการเป็นอมตะไม่ใช่การมีความ
สุขนิรันดร์ แต่อาจเป็นทุกข์นิรันดร์ หากต้อง
อยู่เดียวดายไปตามลำพังอย่างไรที่สิ้นสุดไป
เพื่ออะไรการเป็นอมตะที่เป็นสุขนิรันดร์ คือการ
สั่งสมความดีเท่านั้นหนทางเดียวแห่งสุขนิรันดร์
ชั่วกาลนานนั่นคือ “นิพพาน”หนังบอกว่าแบบนี้แหละ
แต่มันจะทำให้คนเขวสิ่งที่สื่อจนเข้าใจผิดว่าคน
ที่ฆ่าตัวตาย บางคนเป็นคนพิเศษถูกเลือกให้เป็น
โอปปาติกหรือเปล่าเนี่ย? ไม่มีท๊าง...ขอบอก
ตายห่าแล้วแล้วก็ตายห่าไปนั่นแหละ ไม่มีทาง
ได้เป็นสิ่งพิเศษอะไรนั่นหรอก ในความคิดเรา
การเป็นคนพิเศษ หรือเป็นสิ่งพิเศษนั้นทำได้
ต่อเมื่อมีชีวิตเท่านั้นแหละ เมื่อหมดชีวิตก็
สูญเปล่าไร้คุณค่าและความพิเศษอีกต่อไป
เว้นแต่คนๆ ทำความดีจนเป็นอมตะในใจทุกๆ คน
คนพิเศษและอมตะแบบนั้นเรียกว่า... ”คนที่เป็น
ตำนานค่ะ”
แบบนี้ค่อยเป็นไปได้หน่อยเนอะ
แต่ตอนมีชีวิตสร้างตัวเองให้เป็นตำนานยังยาก แล้ว
ตายไหม หวังว่าจะได้เป็นโอปปาติกก็ตลกรับประทาน
แล้วล่ะ จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้บิดเบือนความหมายของ
โอปปาติกไปครึ่งหนึ่งเชียวนะ แต่เพื่อนำมาสร้าง
เรื่องราวนับว่าเข้าใจหยิบมาเล่นค่ะ

จุดเด่นและคำเยินยอสรรเสริญที่มีให้

เราชอบชื่อตัวละคร ชื่อแต่ละชื่อมีความนัยสื่อไปถึง
พลังของทุกคน ตรงนี้คนเขียนบทเอาใจใส่ตัวละครดี
ชอบพล็อตแปลกดีแม้จะไม่แปลกสำหรับคนที่อ่าน
การ์ตูนมามากก็ตามแต่แปลกสำหรับหนังไทย
เรียกว่าเปิดประเด็นใหม่ได้แทรกปรัชญาคำสอน
ทางพุทธศาสนาไว้เป็นระยะ ถ้าบอกว่าหนังเรื่องนี้
ห่วยแตกไม่ได้อะไรจากหนังเลยก็เกินไปหน่อยล่ะ
ถ้าคุณดูอย่างตั้งใจ อย่าสักแต่ว่ากูอยากดูหนังที่
เขาสร้างมายัดลูกตาไม่ต้องคิดตาม แล้วมาแหก
ปากว่าไม่เข้าใจหนังเชี่ยอะไรวะดูไม่รู้เรื่อง!! ถ้าใช้
รอยหยักในสมองสักหน่อย คุณจะได้อะไรเยอะแยะ
หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่มีสาระดีทีเดียว คิดว่าไป
ฉายให้ฝรั่งดูคงจะได้รับคำชมมากมาย ฝรั่งชอบ
หนังแนวปรัชญามากกว่าคนไทย เพราะคนไทย
ชอบดูหนังเพื่อผ่อนคลาย ดูง่ายไม่ซับซ้อนนัก
แต่ถ้าหนังเรื่องใดฝรั่งชมมา พี่ไทยเราก็พร้อมจะ
กลับลำหันมาสรรเสริญเยินยอหนังเรื่องนั้นๆ
ทันที ดูรู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่เป็นไรกูขอยออินเทรน
ไว้ก่อน

นอกจากนี้เราชอบมุมกล้อง กับโลเกชันที่ถ่ายหนัง
เรื่องนี้มากมันทำให้รู้สึกว่าเมืองไทยสวย ชอบฉาก
ฝนตกแล้วมีพระเดินเข้าแถวมาเหลืองอร่าม ในขณะ
ที่ไปศลในชุดดำเดินสวนทางมา และมีจิรัสส์เดินมา
ทางเดียวกับพระสวนกับไปศล มันบอกรหัส
ในเรื่องมาก การทิ้งความนัยในฉากต่างๆ ทำได้ดี
นอกนั้นก็ชอบความ Y เป็นระยะถึงแม้คนสร้างจะ
ไม่ตั้งใจ Y ก็เหอะ

***นอกเรื่อง : ว่าแต่ใครรู้บ้างว่าวัดที่ใช้เป็นฉากนั่น
ที่ไหนอ่ะ? ****


จุดติด่าสับโขก

1.ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ไม่ได้สร้าง
แบ็คกราวด์ในจุดนี้ทำให้ดูโดดไม่มีที่มาที่ไป
สรุปขาดบทนำล่องทำให้ความดราม่าของหนัง
ขาดไป จะขยายอีกหน่อยไม่ได้หรือท่าน

2.เนื้อเรื่องบางส่วนหายไป ควรขยายเพิ่มถ้า
ขยายเพิ่มนายทุนจะฆ่า ผกก.ตายหรือเปล่า?
เลยไม่ขยาย มันทำให้ความต่อเนื่องหายไป
เหมือนหนังที่เล่าเอื่อยๆมาทั้งอยู่ๆ หนังก็ห้วน
ขึ้นมากะทันหัน

- อย่างที่บอกหนังมันเอื่อยๆ โชว์ฉากฆ่าโหดๆ
มาตลอดอยู่ดีๆช่วงท้ายอยู่ๆ ก็ฉับๆๆๆ ยิ่งตอน
ธุวชิตตัดคออรุษ อะไรวะ?มันตัดเมื่อไร ตูดูไม่ทัน...
เฮ้ยกลับมาก่อนเด้!!

- ฉากที่หัวอรุษขาดแล้วนัยน์ตากลับมาเป็นอรุษ
ตอนกลางวันค่อยๆ หลับตาลง ฉากที่เป็นฉาก
อารมณ์น่าแช่ซีนไว้อีกหน่อยให้ธุวชิตพูดอะไรบ้าง...
เช่น หลุดพ้นเสียที หรืออะไรประมาณนั้นเพื่อเพิ่ม
ความซาบซึ้งให้คนดูน่ะ

- ข่าวลือเรื่องโอปปาติก อมตะมาจากไหนศดก
ถึงอยากเป็น

- จิรัสส์เป็นใคร มีจุดหักเหอะไรให้หยุดยั้งกิเลส
ของศดก

- ความสัมพันธ์ของอรุษกับรามิล ซี้กันได้ไง?
และที่มาสาเหตุการเกิดเป็นโอปปาติกของ 2 คนนี้
น่าจะเกริ่นสักนิด

- กริช ของไปศลมันพิเศษยังไง?

จากข้อ 2 แสดงให้เห็นว่ามันขาดการปะติดปะต่อ
ระหว่างตัวละคร ทำให้ความต่อเนื่องของเรื่องราว
ขาดวิ่นไปถ้าคนดูไม่คิดตาม ขี้เกียจคิด หัวช้า
เลยดูไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ความผิดของคนดูเลยนะ
ถึงเราจะไม่ชอบคนดูที่ออกมาตั้งกระทู้ด่าว่า
หนังห่วยแบบเอะอะก็ด่าไม่มีเหตุผลก็เถอะ
แต่เรื่องนี้มันเป็นความผิด ผกก.และทีงานที่
สร้างล้วนๆ แล้วก็ไม่ชอบบางกระทู้ที่มีตัวแทน
ของทีมงานออกมาบ่นถึงปัญหาต่างๆ ในการ
ถ่ายทำ

เช่น คิวทองของดารากว่าจะลงตัวยากเย็น
ไม่กระจายบทให้ก็ไม่ได้เพราะเขาดังเดี๋ยวไม่ยอม
งบและอื่นๆ เหนื่อยยากสารพัด ทำไมเอาแต่ว่า
ห่วยไม่เห็นใจบ้าง

เราก็ว่าคนที่พูดว่าห่วยสำหรับหนังเรื่องนี้มันแรงไป
เพราะคนชอบก็มีเช่นเราเป็นต้น แต่...แต่ มัน
ไม่ใช่เรื่องที่คนดูมีหน้าที่ต้องมารับรู้และเห็นใจ
พวกคุณนี่หว่าการสร้างออกมาแล้วมีจุดบกพร่อง
จะมาแก้ตัวแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันอยู่ในความ
รับผิดชอบของทีมสร้าง ไม่ใช่คนดูคนดูเขาเสียเงิน
เขามีสิทธิ์พูด มีสิทธิ์วิจารณ์ แก้ตัวแบบนี้ดูไม่ดี
เลยนะคะ

3. จำนวนนักแสดงมีมาก ทำให้บทกระจายเกินไป
คนที่ควรเด่นบางทีก็โดนลดบท หรือตัวนำมันเยอะไป
บางฉากก็หายไปเฉยๆ เสียงั้น อย่างอรุษอยู่ๆ มันก็
หายไปมาโผล่ก่อนโดนตัดหัว แล้วก็อะไรวะตาย
ง่ายๆ เงี้ย?กระจายบทไม่สม่ำเสมอ ไม่เลือกตัวเด่น
เลยทำให้บทกระจาย ถ้าไม่อยากตัดออกก็ควรเพิ่ม
แบ็คกราวด์ให้ตัวละครต่อความยาวของเนื้อเรื่อง
ออกไปอีกหน่อย

4.ฉากจบ...ที่ธุวชิตบอกว่า โอปปาติกเป็นพวก
ไม่เห็นคุณค่าชีวิตมนุษย์....เราจะบอกว่ามันสอน
อะไรใครได้เหรอ?ในเมื่อธุวชิตเองก็พรีเซ้นต์ว่าเอา
ลูกน้องไปตาย แบบไม่ได้เห็นคุณค่าพอๆ กัน
ก็คือพลีชีพลูกน้องเพื่อศดกที่มีบุญคุณกับตัวเอง
แถวบ้านเรียกกตัญญูไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ะ แบบนี้ก็
ไม่เห็นต่างกันเลยยังจะมาสอนอีกแน่ะ

พอศดกตายธุวชิตที่อยากเลิกสู้มาตลอดก็เลิก
(ตรงนี้ไม่แปลก) แต่เลิกแล้วเจือกโทษแต่โอปปาติก
หมายความว่าไงฟะ? จะอธิบายทั้งทีก็อย่าให้
บทพูดมันขัดแย้งกับการกระทำนักสิ เราเข้าใจ
ที่พยายามสื่อนะแต่มันวิ่นแหว่งเหลือเกิน สรุปว่า
ขาดๆ เกินๆ ชอบกล กับบท

5. ระหว่างที่ดู...เผลอคิดว่าธุวชิตเป็นโอปปาติก
แล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่าฟะ แม่งอึดเกินมนุษย์ แขนขาด
โดนยิง โดนแทงพุง แต่เสือกต่อยเอาๆๆ กับจิรัสส์
ได้หน้าตาเฉย ถึกยิ่งกว่าโอปปาติก5 ตัวรวมกัน
กรี๊ดดดดดดดด...ด สารภาพมานะว่าเฮียเป็น
โอปปาติก รุ่นยิ่งเจ็บยิ่งเพิ่มพลัง และมีความ
สามารถขยายกองทัพได้ไม่สิ้นสุด ขบวนการ
กุ้งเต้นตายๆ ไปเหอะเดี๋ยวลุกมาเต้นได้ใหม่...
ยอมรับมาเถอเค่อะว่าเฮียเป็นโอปปาติกชิมิเคอะ
มนุษย์บ้าอะไรวะถึกโอเวอร์ปานนี้

6.มันจะฆ่ากันตายอะไรนักหนา...เกือบนึกว่าดู
ต้มยำกุ้งภาคใช้อาวุธแล้วนะเนี่ย?

สรุปแล้ว....ชอบหนังเรื่องนี้ล่ะ ก่อนจะอัพบล็อก
น้องแอมถามว่าพี่คิงฯ ว่าไปฉายเมืองนอกฝรั่ง
จะชมไหมคะ? น่าจะชมนะคะแต่ถ้าให้ดีช่วย
ตัดต่อใหม่อีกรอบเถอะค่ะ แล้วถ่ายซ่อมฉากที่
ควรจะมียัดเข้าไปในเรื่องเสียด้วย แบบนี้มันห้วน
ไปหน่อยเหมือนว่าคนดูต้องมีพื้นเรื่องย่อก่อนมา
หรือเป็นลูกอีช่างคิดมันแบบว่าเหมือน ผกก.
ธนกร พงษ์สุวรรณ อ่านเนื้อเรื่องไปเกินร้อยรอบ
เข้าใจทุกอย่างซึมทราบในกะบาล พอสร้าง
ออกมาตัวเองเข้าใจ แต่ดึงออกมาจากหัวไม่หมด
คนอื่นเลยงงบ้างๆรู้สึกขาดๆ เกินๆ แบบที่เรา
รู้สึกบ้าง

แต่เอาเป็นว่า “เราไม่เสียดายเงินค่าตั๋ว” และไม่คิดว่า
มัน “ห่วย”เราชอบความสร้างสรรค์ของหนังเรื่องนี้
แล้วก็ได้สิ่งที่หวังก่อนดู มันก็โอปปาติกตามเนื้อเรื่อง
นั่นแหละ เพียงแต่หักคะแนนสิ่งที่ติไปบ้าง ให้ 8
เต็ม 10 อ่ะ สรุปว่าชอบนั่นแหละ แล้วก็คิดว่า
ถ้าโอปปาติกออกมาเป็นหนังสือนิยาย ตูจะซื้อมา
อ่านเผื่อจะได้ขยายฉากที่อยากรู้ซึ่งมันไม่มีในหนัง
และถ้าเขียนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนเราว่าน่าสนุกมากนะ

*** จบการวิจารณ์....แต่ยังไม่จบบล็อก
ก็ยังอยากคุยต่อนี่!! ***

เราคิดว่าการดูหนังไม่ได้มีมุมเดียว รสนิยมคนเรา
ต่างกัน หนังห่วยสำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นหนัง
สนุกสำหรับอีกคนค่ะ


ต่อมรับรู้การเสพหนังของแต่ละคนใหญ่ไม่เท่ากัน
เวลาที่ดูหนังผีจะกลัวไม่เท่ากัน อย่างเราดูหนังผี
แล้วกลัวขี้แตกขี้แตนเลยหรือต่อมตลกก็รับรู้ไม่เท่ากัน
เราเป็นคนดูหนังตลกแล้วหัวเราะยากสำหรับหนังไทย
ซึ่งใครๆ มักจะบอกว่าหนังตลกที่ตลกสร้างมัก
จะไม่ตลก มีแค่คนรากหญ้าที่ดูแล้วตลก คนมีการ
ศึกษาดูแล้วฝืดถึงขั้นไล่คนสร้างไปตายซะ

กาลหนึ่งเมื่อปีที่แล้วดูหนังแผ่นที่บ้านเพื่อน
ซึ่งอีเพื่อนเนี่ย เป็น สพ.ญ.(ย่อมาจาก สัตวแพทย์
หญิงแห่งโรงพยาบาล...ตู๊ดๆ)มันเป็นต้องหมอ
เชียวนะ... เราดูเรื่อง “หลวงพี่เท่ง” กันล่ะ
ผ่านไปประมาณ 20 นาที อีเพื่อนหัวเราะงอหาย
เราหันไปถามมันว่า “ตลกตรงไหนเหรอแก?”
อีเพื่อนทำตาเหลือก แล้วถามว่า”ไม่ตลกเลยเหรอ?
ขำจะตาย”


เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าต่อมตลกไม่ขึ้นอยู่กับการ
ศึกษาย่ะแต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลต่างหาก หมอ
เพื่อนบอกว่าอาชีพของเขาเครียดเลยอยากพักผ่อน
ดูอะไรแล้วไม่ต้องคิดมากหัวเราะไปกับสิ่งที่หนัง
ให้มา ไม่ต้องมาคิดว่ามันควรจะดีเลิศแค่ไหน
เพราะนั่นไม่ใช่อาชีพของหมอ และตอนนี้ก็เป็น
แค่คนดูเราว่าเพื่อนเราพูดถูก...เพราะในขณะ
เดียวกันอาชีพเราไม่เครียดเราเลยอยากหาอะไร
ที่มันซับซ้อนกว่านั้นในความตลกมาเพื่อตอบสนอง
สิ่งที่ขาดไปของตนเอง ก็แค่นั้นแหละคนเรา

ต่อมาหนังผีไปดูหนังกะเจ๊มัฟฟิ่นเรื่อง “ศพ(อาจารย์
ใหญ่)”
ตูกลัวขี้แตกวิ่งออกไปก่อนหนังจบ
ก็อีผีแป้งจูออนในชุดนักศึกษามันน่ากลัวนี่หว่า...แง
มันทำให้ตกใจอ่ะ ในขณะที่เจ๊มัฟบอกว่า...
หนังเรื่องนี้ไม่มีความน่ากลัวเลยนะแก เสือกวิ่ง
ออกนอกโรงทำไมหา? ก็เค้ากลัวนี่ตัวเอง...กระซิก
กระซิก

ต่อมความกลัวมันไม่เท่ากันนี่ยะ....การดูหนังผี
แล้วทนฉากน่ากลัว ฉากแหวะๆ อ้วกแตกไม่ได้
ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนขี้ขลาดสักหน่อย เพราะ...
เรากลัวแต่ผีในหนังแต่ดันไม่กลัวผีจริงๆ ว่ะ
มีคนถามเหมือนกันว่าทำไมกลัวผีสมมุติ ก็ผีใน
หนังมันติดตานี่หว่า ดูแล้วหลอนทำให้ฝันร้ายได้
ในขณะที่ผีจริงๆไม่เคยมาแหวะไส้แหวะพุงให้ดู
แล้วชวนไปตายสักหน่อยอย่างมากแค่มาชวน
ทอดกฐิน เอ้ย! ขอรบกวนทำบุญให้หน่อย แล้วก็
ไม่ได้ออกมาให้เห็นง่ายๆ ด้วย ไม่ทำอะไรโอเวอร์
ไม่เคยทำสกปรก ไม่เคยเอาเลือด หรือน้ำหนอง
สาดหน้าคนที่ตัวเองมาขอส่วนบุญ แต่ผีในหนัง
มันไร้มารยาทเป็นผีอันธพาลชอบรีดไถ...น่ากลัวออก

ผลจากหนังผี...ทำให้หมั่นไส้ไอ้พวกดูหนังผีแล้ว
มาอวดว่าโด่เอ้ย...ไม่เห็นน่ากลัวเลย เดาได้ตั้งแต่
เห็นชื่อหนังแล้วงั้นมึงไปดูหาพ่อมึงทำไมน่ะ?
ไปเพื่อวัดความกล้าหาญ แม่มึงสอนว่าความ
กล้าหาญคือการดูหนังผีแล้วกลับมา อวดว่ากูเก่ง
กูไม่กลัว กูจับผิดหนังได้ตั้งเยอะว่าลอกเรื่องไหนมา
กูเดาพล็อตออกตั้งแต่ 3 นาทีแรกที่ดักหลอก
อยู่มุมตึกแล้ว ไปเกิดใหม่ซะนะพวกเอ็ง...
กูหมั่นไส้ว่ะ!! เก่งขนาดนั้นไปนอนป่าช้า ไปเรียน
ผ่าศพเสียไป๊!

การดูหนังไม่ได้พิสูจน์ความเก่ง ความกล้าหาญ
หรือความฉลาดสักหน่อย
ที่บ้านไม่ค่อยมี
คนชมเหรอคะถามจริง เลยต้องมาอวดเอากับคนอื่น
ด้วยการตั้งกระทู้น่ะ?

ไหนๆ ก็บ่นยาวแล้วขอต่อหนังอีกสัก 2 เรื่อง
จำได้ว่ามีหนังสือฉบับหนึ่งวิจารณ์เรื่อง mrs.Doubtfire
ของโรบิน วิลเลียมว่าเป็นหนังที่น่าเบื่อที่สุดในจักรวาล
เพราะว่าไอ้คนเขียนคอลัมน์มันเดาเรื่องออกตั้งแต่
15 นาทีแรกมันเลยเบื่อสุดๆ นึกไปว่าเมื่อไรจะจบ
สักทีวะ หนังตลาดไม่มีอะไรดี...ตลาดสุดๆ บลาๆๆ
อิชั้นเคืองมากมาย หนังวอลดิสนีย์นะเว้ย! คนดูเค้า
ตรัสรู้ก่อนดูแล้วว่า หนังสำหรับครอบครัวลูกเล็ก
เด็กแดงดูกัน เป็นหนังอบอุ่นยิ่งตรายี่ห้อวอลฯ
เค้าก็ประกาศอยู่โต้งๆ ว่าไม่เห็นศพ ไม่เห็นเลือด
ไม่มีสิ่งอันเป็นมลพิษอยู่แล้ว เราดูหนังเรื่องนั้น
ด้วยความอบอุ่น สนุกสนาน และชอบทำให้เกิด
ความคิดว่าตกลงนี่กูมันตลาดใช่ไหม?...มันด่า
คนที่ชอบ ไม่เหมือนมันทุกคนว่ากระจอกใช่ไหม?

เฮ้ย! โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณนะเว้ย!! แหกตาดู
ไปรอบๆ ตัวมั่งเซ็งค่ะ...ขอบอก เราไม่เข้าใจคนที่
จำกัดคนอื่นด้วยรสนิยมตัวเอง คนแบบนี้มีเพื่อน
ไปดูหนังด้วยไหม? ท่าทางคงต้องไปดูคนเดียว
บ่อยแล้วๆ ล่ะ ไม่งั้นทะเลาะกับคนอื่นแย่เลย

ไม่ใช่เราไม่เคยด่าหนังว่าห่วย...เคยตั้งทู้ด่าเลยแหละ
ในเรื่องรสนิยมที่แตกต่าง แต่ถกกันด้วยเหตุผล
น่าจะดีกว่าตะโกนด่ากันปาวๆ ด้วยการเอาตัวเอง
เป็นที่ตั้งนะค้า

ขอยกหนังที่แสดงความต่างด้านรสนิยมอีกเรื่อง
หนึ่งค่ะมือปืน/โลก/พระ/จันทร์ กับ
กระสือวาเลนไทน์ ผลงานของ ผกก. คนเดียวค่ะ
ยุทธเลิศ สิปปภาค จะบอกว่า...มือปืนฯ ดูแล้ว
แบบว่า...เหรอ..เออ..แล้วทำไมเหรอ? จบแล้ว
จบเลย ไม่รู้สึกว่าสนุกตรงไหนเลย ในขณะที่
กระแสชื่นชมเยอะมาก หรือว่าตูไม่อาร์ตพอวะ
ดูแล้วเฉยมากถึงขั้นไม่น่าไปดูเลย...
แต่กลับชอบกระสือฯ มากกว่า แล้วกระสือฯ เนี่ย
เห็นรุมด่ากันสะบั้นหั่นแหลก ว่าห่วยมั่ง ว่า ผกก.
ฝีมือตกมั่ง คือ...เราก็สงสัยหนังสนุกนะ หลอนดี
ยิ่งฉากจบนะหลอนไปหลายวัน สงสารกระสือ
หลอนอีผีเด็กนั่น หนังมันก็สรุปทุกอย่างลงตัว
ดูแล้วเข้าใจง่าย บันเทิง....ทำไมคนด่าล่ะ?
หรือตูมันรสนิยมตลาดๆ พวกไม่ทนทานต่อหนังผี
เลยเห็นว่าแค่นี้เจ๋งเกี่ยวไหม?

คิดว่า....แล้วแต่ความชอบนะ รสนิยมของ
แต่ละคนชอบไม่ชอบดีไม่ดีไม่ได้มีอะไรเป็น
ตัวกำหนดได้...เพราะต่อมรับความบันเทิงของ
แต่ละคนโตไม่เท่ากันว่ะ คุณคิดว่าคนดูหนัง
ต้องการอะไร? เราว่ามนุษย์ทั่วๆ ไปนะ ต้องการ
ความบันเทิง ความเต็มสิ่ง และหวังจะได้
บางอย่างจากหนัง สิ่งนั้นเรียกว่าความสุข
ถ้าได้ตามที่ต้องการ หนังเรื่องนั้นก็เป็นหนังดี
แม้ว่าใครจะด่ามันเป็นหนังเบๆ (เบสิค) หนัง
ตลาดหนังโหลๆ หนังเดาได้ หนังห่วยๆ ก็ตามที

หรือคุณต้องการอะไรมากกว่านี้เหรอคะ?




*** กรุณาล็อคอินก่อนเม้นท์นะคะ...บล็อกนี้
ไม่ต้อนรับสัตว์สองขาค่ะ****




Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 8:09:45 น. 10 comments
Counter : 11796 Pageviews.

 
โห..เล่นเอาเหนื่อย..5555

เขียนได้มันมากนะคร้าบ..

ดูหนังเก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ ..สงสัยคงเป็นสไตล์ที่ชอบ ผมเองต่อให้ชอบแค่ไหนคงไม่สามารถลงลึกได้ละเอียดขนาดนี้

เรื่องโอปปาติกนี้ เห็นหน้าหนังแต่แรกก็ยังนึกชมว่าช่างคิดดี และมีสิทธิ์ทำให้สนุกได้ แต่พอเห็นตัวอย่างแล้วก็พอเดาทางได้ว่า ปัญหาจะเจออะไร...

ส่วนเรื่องรสนิยมความชอบของคนดูแบบไทยๆ เรายุคนี้ ก็เห็นด้วยอยู่ไม่น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี คนทำหนังก็ต้องก้าวล้ำคนดูไปก้าวหนึ่งอยู่เสมอ ต้องรู้จัก educate คนดูให้เรียนรู้ที่จะสัมผัสมิติใหม่ๆ ของหนัง

หากแต่ผู้สร้างบ้านเรามักจะเป็นอ่อนประสบการณ์ชีวิต วิธีการเล่าเรื่องถึงขาดๆ วิ่นๆ อยู่เป็นประจำ หนังไทยที่ดูแล้วลื่นไหลลงตัวสมเหตุผลถึงหาดูยากซ้า...

ส่วนโอปปาติกนี้คงหามาชมตอนลงแผ่นอะคับ..


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:8:56:19 น.  

 
เห็นด้วย..และ เอ่อ เธอช่างเป็นคนที่สามารถเก็บรายละเอียดของหนังได้ขั้นเทพ.. คือเรานี่นะ เดินออกจากโรงมาก็แทบจะลืมหมดละว่าเรื่องมันเริ่มต้นได้ยังไง

เราอยากดูหนังเรื่องนี้ ดีไม่ดี ไม่สนอะ แต่อยากดู เพราะชอบภาพมัน ดูเอฟเฟคเข้าท่าดี อีกอย่างดาราแต่ละคนที่เอามาเล่นก็น่าสนใจดีด้วย


โดย: Ninniko วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:9:24:23 น.  

 
อีกนิด

และเธอ..เขียนได้ขำมาก


โดย: Ninniko วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:9:25:46 น.  

 
เหอๆ
อยากรู้จริงๆ
ว่าใครตั้งชื่อตัวละคร
แหวกและแปลกจริง

อืมม
ยังไม่ได้ดูค่ะ
แต่คิดว่า
ที่มีกระแสห่วยเยอะ
เพราะมันไม่ตอบสนองแนวของคนดูมากกว่า
อาจเป็นเพราะว่า
หนังมันแนวเกิน
คนส่วนใหญ่อาจจะชอบแบบ
มีอะไรก้พูดกันตรงๆ
จะมาให้กุคิดนั่นนี่ทำไม
กุมาดูหนังนะ
ไม่ได้มาเรียนวิชาปรัชญา
หรือเทววิทยา
อะไรแบบนี้
ขำๆ ต่อไป
อย่าสนกระแส
ทำอะไรพอใจเรา
มีความสุขก้โอเคแล้ว
วิถีที่แตกต่าง
แสดงจุดยืนที่ชัดเจนของเราแล้ว
don't care anyone.



โดย: บัวลอย (newzapg ) วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:12:26:56 น.  

 
55 ไปดูมาเหมือนกัน คอมเม้นท์คุณสะใจมาก
ละเอียดยิบ
ชอบคอนเซ็ปท์เรื่องนี้ แต่ไม่ชอบที่เป็นหนังแอคชั่นอ่ะ ไม่ชอบหวาดเสียว


โดย: Too Optimistic วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:18:22:39 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชมครับ



โดย: joblovenuk วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:23:18:59 น.  

 
เห็นคุณคิงเพนกวินขอบดูหนัง และมีมุมมองที่น่าสนใจดี เลอยากให้ลองไปดูหนังเรื่อง "The Songs of Eh Doh Shi" ใน International Film Festival ที่เอสพลานาท วันพฤหัสบดีที่1 พฤศจิกายนนี้ เวลาบ่ายโมงตรง หนังพูดภาษากะเหรี่ยง ซับอังกฤษดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.worldfilmbkk.com/


โดย: Mayim วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:8:48:50 น.  

 
ข้าพเจ้าละอยากให้พี่เบิร์ดมาเล่นเป็น ศดก ซะจริงๆ น่าจะเหมาะ เพราะเวลาสร้างภาพลวงตาเป็นปราณมันจะได้ดูไม่ขัด

คิดดูลุงหนิงสร้างภาพลวงตาเป็นผู้หญิง
กับพี่เบิร์ดสร้างภาพลวงตาเป็นผู้หญิง

อย่างไหนมันจะเนียนกว่ากัน

ส่วนอื่นน่ะชอบนะเรื่องนี้ แต่งงว่า ทำไมปืนมันทำด้วยอะไรฟะ ลูกโม่ของเตชิตมันทำไมยิงได้มากกว่า 12 นัดอีก ถ้าเป็น .22 ใส่ให้เต็มที่ก็ได้ 8 นัด แต่นี่ปืนมันขนาด 357 แล้วนะ แล้วมันไม่ใช่ปืนออโต ทำไมยิงกันเข้าไปได้ไง 15 นัด ทำเอาคนชอบปืนอย่างอิชั้นงงไปเลย


โดย: รำเพย วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:10:00:43 น.  

 
ดูเพราะเห็นว่ามีเรย์ ลีโอ พุต เอ๊ะ และยังมีเต๋า คิดว่า เค้าคิดอะไรแปลกๆ อยากรู้ทำไมเค้ารับเล่นเรื่องนี้...
แต่ทั้งๆที่เค้ายิงปืนกันเสียงดังมาก .. น้องเราดันนั่งหลับ


โดย: amoderndog (amoderndog ) วันที่: 30 ตุลาคม 2550 เวลา:15:13:14 น.  

 
สวัสดีครับคุณคิงฯ

"โอปปาติก" ผมยังไม่ได้ดูเลย คงรอแผ่นแหละ พอดีว่าเกลียดคุณบอล อธิปเป็นการส่วนตัว เลยทำให้ไม่อยากดูหนังเรื่องนี้

เพื่อนผมไปดูมาก็มีเสียงออกมาเป็นสองอย่างนะ กลุ่มแรกก็ว่าสนุก แต่กลุ่มที่สองบอกว่าไม่สนุก

แต้ก็ดีนะที่หนังไทยมีอะไรใหม่ๆออกมาบ้าง ไม่ใช่ย่ำอยู่กับหนังผีหนังตลกบ้าบอแบบที่เคยทำมา

แล้วจะแวะมาใหม่ครับ โชคดี มีความสุขด้วยนะ


โดย: yibby วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:25:24 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

คิงเพนกวิน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




เป็นเพนกวินตัวน้อยๆ ดุร้ายเป็นบางโอกาส
มักจะถูกชาวบ้านในเน็ตเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชาย
ประจำ ไม่ก็กะเทย เกย์ พอเจอตัวจริงก็ถูก
อุทานใส่หน้าว่า "อ้าว?!! ทำไมเป็นผู้หญิงล่ะ?"
<---ฉันมันแมนมากหรือไงยะ? แรกก็ขำๆ อ่ะนะ
แต่พอมีครั้งที่ 2-3-4-5--->800 ชักเครียดว่ะ



A King's penguin story
Friends' blogs
[Add คิงเพนกวิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.