ช่วงนี้มีหลายคนทักว่า "ฟุ้งซ่าน" บ้างก็ว่าเราน่ะ "เพ้อเจ้อ" "คิดมาก"ขนาดจิ้งจกร้องทัก เขายังต้องหยุดฟัง แล้วนี่คนตัวยักษ์ๆ มาทักตั้งหลายคน งานนี้ก็คงเป็นอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ หลายคนบอกว่า เอ็งก็อย่าคิดถึงแต่สิ่งที่เศร้าๆสิ(ฟระ) เลือกเอาแต่เรื่อง แต่ตอนที่มีความสุขมาคิด พูดน่ะพูดง่าย แต่ทำจริงๆน่ะยากมากกกกกกกกกก การจะกำหนดใจเลือกให้คิดแต่เรื่องดีดี ทั้งที่ใจจริงมันเศร้า สุดท้าย มันก็แวบเข้าสู่เรื่องที่เศร้าอยู่ดี หนทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากการบ่นกรอกหูเพื่อน (ซึ่งไม่แนะนำ ถ้าเพื่อนคนนั้นไม่สนิทจริง) ก็คือ หาอะไรทำให้มันดูยุ่งๆ วุ่นวายๆ เราก็เลยเลือกไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นๆแทน ซึ่ง...(ก็ไม่ขอแนะนำอีก เพราะคุณจะโดนเพื่อนตัดออกจากกองมรดกอย่างเด็ดขาด) ซึ่งก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะฉะนั้น ก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการออกไปตระเวนหาเรื่องยุ่งๆที่อื่นแทน
ซึ่งก็คือแถวๆท่าพระจันทร์ถิ่นฐานเก่าของอะฮั้นนั่นเอง จะว่าไปแล้ว ชีวิตของเราผูกพันกับท่าพระจันทร์นานพอจะเรียกว่าบ้านหลังที่สองได้อย่างเต็มปากเต็มคำ อยู่มาตั้งแต่ยุคที่ท่าพระจันทร์ยังเต็มไปด้วยแผงเช่าพระ (ทั้งพระจริง พระปลอม พระเก่า พระบวชใหม่) ยุคที่ของกินล้นท่า จนมาถึงยุค KFC สเวนเซ่น ได้ไปฉลองวันเปิดร้านนายอินทร์สาขา 1 ผ่านท่าพระจันทร์ล่มเพราะน้ำท่วม ยุคกวาดล้างของกินตรงทางเดินไปโป๊ะเรือ จนมาถึงปัจจุบัน ยุคตลาดนัดหลังห้าโมงเย็น ดีที่ว่า เกิดไม่ทันเห็นท่าพระจันทร์ในยุคเดือนตุลา เอิ้กๆๆๆๆการที่อยู่มานาน เลยทำให้สนิทสนมกับท่าพระจันทร์ไปโดยปริยาย ตั้งแต่ของกินไปจนถึงพ่อค้าแม่ขาย และคนอาชีพอื่นๆ
ท่าพระจันทร์เต็มไปด้วยคนหลายกลุ่ม มากหน้าหลายตา สิ่งนี้ช่วยให้พวกเราได้คุ้นเคยกับคนในหลายชนชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้าน คนธรรมดาๆ ถึงกับมีบางคนบอกว่า สิ่งแวดล้อมเช่นนี้เอง ที่ทำให้พวกเราคุ้นเคยและเข้าใจคนทุกระดับชั้นของสังคม (ดูเป็นนางงามไปมั้ยเนี่ย)ช่วงนี้ เวลาเดินผ่านท่าพระจันทร์ จะเห็นคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่ง นั่งอยู่ใต้เงาไม้ พร้อมกับทำ กังหันกระดาษสีสวยกับ "จั๊กจั่น" มาขายให้กับคนที่ผ่านไปผ่านมา
อันที่จริงแล้ว สินค้าของคุณลุงคุณป้าคู่นี้ มันคงเทียบไม่ได้กับสินคาประเภทอื่นๆ ทั้งในแง่ประโยชน์การใช้สอย และราคา กังหันกระดาษเอง ก็ไม่ใช่ของที่ทำยากอะไรมาก เราเองก็คงเคยผ่านหลักสูตรทำกังหันกระดาษกันมาแล้วในสมัยเด็ก
ส่วนจั๊กจั่น อาจจะยากไปหน่อย เนื่องจากต้องใช้ความสามารถขั้นสูงกว่า จั๊กจั่น เป็นของเล่นของเด็กไทยในอดีต เป็นของเล่นที่เลียนแบบเสียงจั๊กจั่น ที่มักจะร้องกันในเวลากลางคืน เกาะกลุ่มกันตามพุ่มไม้ ประสานเสียงกันเป็นจังหวะ (จะว่าไปก็ละม้ายคล้ายวงคอรัสได้เลยทีเดียว) จั๊กจั่นที่คุณลุงทำมาขายนั้น ทำด้วยดินเหนียว ปั้นเป็นทรงกระบอก เปิดปลายทั้งสองด้าน ด้านบนปิดด้วยกระดาษ ตกแต่งข้างนอกด้วยกระดาษสีสวยงาม มีเชือกร้อยจากปลายไม้ เจาะผ่านกระดาษที่ขึงไว้คล้ายหน้ากลอง แล้วขมวดทำปมกันหลุด
ความลับของเสียงสะท้อนกังวานแบบเสียงจั๊กจั่นก็อยู่ตรงนี้นี่เอง ที่ปลายไม้ตรงที่ร้อยเชือก จะมียางสนทาไว้อยู่ มันจะทำให้เกิดแรงเสียดทานในยามแกว่งเจ้าจั๊กจั่นมือถือชิ้นนี้ ตัวดินเหนียวที่เป็นทรงกระบอกก็ทำหน้าที่เป็นลำโพงขยายเสียงให้ดังยิ่งขึ้นด้วยภูมิปัญญาของคนยุคเก่า จากอุปกรณ์พื้นบ้านง่ายๆ หาได้ตามบ้าน ก็กลายมาเป็นของเล่นที่จำลองเสียงของธรรมชาติมาไว้ในมือได้อย่างน่าอัศจรรย์
เราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะรอดูว่า จะมีใครที่เดินผ่านไปผ่านมา ได้แวะหยุดดูหรือช่วยซื้อกังหันกับจั๊กจั่นของคุณลุงคุณป้าหรือเปล่าแต่สำหรับเรา...ทุกครั้งที่มีโอกาส ก็จะแวะไปอุดหนุนอยู่เสมอเงิน 10 บาท กับกังหัน 3 อันเงิน 10 บาท กับจั๊กจั่น 2 ตัวหลายคนอาจมองว่า เงิน 10 บาทอาจจะไม่มีค่าอะไรมากมายนักอีกหลายคนอาจมองว่า จะเสียเงินไปทำไม 10 บาท แลกกับของพวกนี้ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร สำหรับเราแล้ว 10 ที่ยื่นให้คุณลุงคุณป้า มันทำให้เรารู้ค่าของเงินมากขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยที่สุด เราก็ได้ กังหันสีสวย กับจั๊กจั่นปลอมๆ มาล้อลมเล่น กับแกว่งเล่นให้เกิดเสียงกังวาน
อันนี้ถือเป็นยาแก้ฟุ้งซ่านได้มั้ยจ๊ะ เพื่อนๆ ทั้งหลาย
คิดถึงตอนเด็ก ๆ เวลาที่มีจั๊กจั่นอยู่ในมือ แล้วโลกทั้งโลกก็เหลือแต่เสียงจั๊กจั่น
อยากกลับบ้าน คงต้องขอยาแก้ฟุ้งซ่านจากคุณกิมจูบ้างแล้ว