มีบทความเกี่ยวกับดีท็อกซ์ดี ๆ เอามาฝาก... ถ้ายาวนักก็ไม่ต้องอ่าน...
การทำดีท็อกซ์ดีจริงหรือ รองศาสตราจารย์นายแพทย์สถาพร มานัสสถิตย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล การทำดีท็อกซ์เป็นอย่างไรเหมือนกับการสวนล้างลำไส้หรือไม่ การทำดีท็อกซ์ เป็นการเอาสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนการสวนล้างลำไส้คือ การเอาน้ำใส่เข้าไปในลำไส้แล้วล้างเอาอุจจาระออกมา ทั้งสองแบบมาเกี่ยวข้องกันคือ คนมีความเชื่อว่าการสวนล้างลำไส้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเอาสารพิษออกจากร่างกาย จึงใช้คำสองคำนี้ใช้ปะปนกันว่า การทำดีท็อกซ์เป็นการสวนล้างลำไส้ ความเป็นมาของการทำดีท็อกซ์ ความเป็นมาของการทำดีท็อกซ์หรือการสวนล้างลำไส้ เป็นวิธีการหนึ่งของแพทย์แผนโบราณที่ใช้รักษาโรคหรือการเจ็บป่วยอะไรก็ตาม โดยทำให้คนไข้มีการถ่ายอุจจาระ เป็นความเชื่อว่าการระบายเอาอุจจาระออกสามารถที่จะให้ไข้ลดลง คนไข้อาการดีขึ้นเหมือนกับเข้าใจว่าเป็นการทำให้สารพิษออกจากร่างกาย จะเห็นได้ว่ายาแผนโบราณหลาย ๆ ตัวจะออกฤทธิ์ทำให้ระบาย สำหรับวิธีที่จะทำให้ระบายออกมาก ๆ ก็ใช้วิธีสวนล้างอุจจาระออกมาเลยจะทำให้อาการดีขึ้น การทำดีท็อกซ์จึงมีการปฏิบัติและทำมายาวนาน แต่ว่ายังไม่มีผู้สนใจที่จะนำมาทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว การทำดีท็อกซ์ทำเพื่ออะไร การสวนล้างลำไส้ที่มีมาแต่โบราณนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีข้อบ่งชี้สารพัน ตั้งแต่ลดไข้ ท้องอืด ท้องเสีย แน่นท้อง แม้กระทั่งรักษามะเร็งได้ คำกล่าวอ้างก็จะพอกพูนมาเรื่อย ๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดศีรษะไขมันสูง ความดันโลหิตสูง ตับอักเสบ นอนไม่หลับ โรคต่าง ๆ ที่กล่าวอ้างอย่างมากมายนั้น โดยตัวโรคของมันเอง บางครั้งอาจทำให้คนไข้ดีขึ้นได้ หรือบางครั้งมาพบแพทย์หรือทำอะไรบางอย่างก็ดีขึ้นได้ แต่จะดีขึ้นได้จริงหรือไม่จะต้องทำการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยการทำการศึกษาแบบชนิดสุ่ม มีการพิสูจน์กับคนไข้ว่าถ้าใช้ยาจริงแล้วดีขึ้น หรือว่าใช้ยาหลอกแล้วดีขึ้นร้อยละเท่าไร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ซึ่งการทำดีท็อกซ์การพิสูจน์อย่างนี้ไม่มี เป็นการทำเหมือนเป็นประเพณีที่ทำกันมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและทำกันต่อมาเรื่อย ๆ บางคนทำแล้วมีความรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้ทำ ซึ่งอาจเป็นความรู้สึกช่วงสั้นๆ ไม่ใช่ระยะยาว มีบางคนบอกว่า แม้กระทั่งไปรักษามะเร็งแต่จะเห็นว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่ไปทำก็ยังคงเสียชีวิตอยู่ดี แต่ว่าในช่วงแรก ๆ อาจจะทำแล้วเกิดความรู้สึกดีขึ้น สบายขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงสั้น ๆ เพราะฉะนั้นวิธีนี้ก็เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความหวังเพื่อให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น ถือว่าเป็นประโยชน์กับคนไข้ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ขั้นตอนการทำดีท็อกซ์ วิวัฒนาการในการทำดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้มีมานานแล้ว มีบางคนพยายามใช้น้ำเปล่า ๆ สวนล้างอุจจาระออกพบว่าไม่ดี อาจจะมีการเอาสารอย่างอื่นเข้ามาในน้ำที่สวนล้างลำไส้ซึ่งก็มีการพัฒนาหลายอย่าง ในอดีตมีการใช้น้ำผึ้ง น้ำชา เหล้า เบียร์ หรือว่าใช้สารสบู่ต่าง ๆ เข้าใจว่าสามารถที่จะสวนล้างเอาสารพิษออกได้ดีขึ้น ทำอย่างนี้เรื่อยมาจนต่อมามีความเชื่อว่า การใช้กาแฟมีฤทธิ์ทำให้มีการขยายตัวของเส้นเลือด ถ้าให้เข้าไปแล้วจะทำให้ตับมีการขยายตัว เส้นเลือดมีการทำงานดีขึ้น ทั้งนี้ ตับเป็นอวัยวะที่ทำลายสารพิษอยู่แล้วในร่างกาย ในการที่ไปกระตุ้นให้ตับทำงานก็จะทำให้สารพิษขับออกจากร่างกายดีขึ้น มีทฤษฎีสนับสนุนในทางปฏิบัติจริง ๆ จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามันสามารถที่จะกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้จริงหรือไม่และสารพิษตัวที่กล่าวถึงอยู่นั้นไม่มีใครรู้ว่าสารพิษที่กำจัดนั้นคืออะไร จึงมีความเชื่อกันว่าการทำดีท็อกซ์จะช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างหรือสะสมในร่างกายโดยการนำกาแฟเข้ามาผสมน้ำทำให้มีถ่ายท้อง ก็คือวิธีการทำดีท็อกซ์
กาแฟที่นำมาทำดีท็อกซ์กับกาแฟที่ดื่มเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่บอกว่ามีการใช้กาแฟเป็นกระบวนการล้างลำไส้เป็นกาแฟที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไปมีสารคาเฟอีน เมื่อกาแฟเข้าไปร่างกายสามารถที่จะดูดซึมเพราะลำไส้มีหน้าที่ดูดซึมสารต่าง ๆ เหมือนกับการดื่มกาแฟ เพียงแต่ว่ากาแฟนั้นมันดูดซึมเข้าไปในส่วนของลำไส้ และจากลำไส้สามารถเข้าสู่ตับโดยตรง ก็เป็นความเชื่อตรงนี้ แทนที่จะดื่มก็เอาไปสวนล้าง สำหรับปริมาณไม่มีใครกำหนดว่าควรจะต้องใช้กาแฟเท่าไร บางคนอาจจะบอกว่าต้องใช้ 1 ช้อนชา 1 ช้อนโต๊ะหรือว่าเท่าไร ไม่มีการศึกษาว่าขนาดที่ถูกต้องหรือจำนวนเท่าไร รวมทั้งการใช้กาแฟได้ผลหรือไม่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะการทำดีท็อกซ์นั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางด้านการแพทย์
ความจำเป็นในการสวนล้างลำไส้ ในทางการแพทย์นั้นมีการสวนล้างลำไส้จริง แต่จะไม่มีการทำกับคนปกติทั่ว ๆไป คนที่ท้องผูก เล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ยาระบายจะไม่ใช้การสวน คนที่ท้องผูกอย่างมากอุจจาระไม่ออก ทางการแพทย์ก็จะทำการสวนล้างลำไส้ หรือในกรณีที่คนไข้จะต้องเอกซเรย์ ไม่ต้องการให้อุจจาระในลำไส้บดบังส่วนที่จะทำเอกซเรย์ จึงต้องสวนเอาอุจจาระออก เพราะฉะนั้น การล้างลำไส้ก็เป็นการเอาอุจจาระออกให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง นอกจากนี้ ยังมีกรณีคนไข้ที่มีลำไส้อุดตัน อุจจาระไม่ออก แพทย์ก็จะล้างออกเพื่อให้คนไข้มีอาการดีขึ้น หรือคนไข้ที่เตรียมผ่าตัด เป็นต้น ในทางการแพทย์จะต้องมีข้อบ่งชี้ในการสวนล้างลำไส้ โดยจะไม่ทำอย่างพร่ำเพรื่อ การทำดีท็อกซ์ควรทำหรือไม่อย่างไร การทำดีท็อกซ์ หากจำเป็นต้องทำจะต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิจฉัยว่าเห็นสมควร หากปกติหรือมีอาการปวดท้องหรือป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะไม่มีประโยชน์ ถือเป็นการทำระยะสั้น ๆ ซึ่งถ้าทำแล้วก็จะต้องทำบ่อย ๆ และจะต้องทำไปตลอดเมื่อมีอาการ การทำดีท็อกซ์เป็นกรรมวิธีทางการแพทย์ จะต้องทำโดยแพทย์หรือพยาบาล เป็นการเอาน้ำใส่เข้าไปทางลำไส้ใหญ่ แล้วบีบไล่น้ำขึ้นไป การไล่น้ำขึ้นไปบางครั้งต้องใช้แรงดัน ฉะนั้นเมื่อน้ำที่เข้าไปก็มีการแลกเปลี่ยน มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ฉะนั้นหากทำไม่ถูกวิธีหรือใส่น้ำที่มีความเข้มข้นไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรืออาจทำให้มีโซเดียมสูงหรือต่ำเกินไปในกระแสเลือดได้ หรือการใส่ปริมาณน้ำที่มากเกินไปจะทำให้ลำไส้มีการโป่งมากขึ้น ลำไส้บางคนที่มีโรคอยู่แล้วและไม่ได้รับการตรวจมาก่อนอาจทำให้ลำไส้แตกหรือทะลุ และอาจมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เพระบางคนอาจมีโรคลำไส้โป่งพองแล้วไปทำอาจเกิดอันตรายได้ เพราะฉะนั้นการทำควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ ไม่ควรจะทำเอง หากทำกันเองโดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมมีผลเสียต่อร่างกายแน่นอน การรับประทานอาหารจะมีผลต่อร่างกายในเรื่องของการขับถ่ายหรือไม่ การที่จะให้ขับถ่ายออกมานั้น นอกจากการทำดีท็อกซ์แล้ว อาหารที่เรารับประทานทุกวันก็มีผลเหมือนกัน อย่างเช่น อาหารพวกชีวจิต ที่เชื่อว่าทำให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้น หรืออาหารจำพวกที่เผาผลาญพลังงานได้ดีและจำพวกผักต่าง ๆ ที่ช่วยดูดซับสารพิษเหล่านี้ เป็นต้น แต่ว่าหลักการต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นความเชื่อทั้งสิ้น แต่หลักการทางการแพทย์เชื่อว่าการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากกว่าที่จะมุ่งเน้นในด้านใดด้านหนึ่ง เพราะจะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ไม่สมบูรณ์ หรือวิธีการง่าย ๆ คือเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปัจจุบันหลาย ๆ แห่งใช้วิธีสวนล้างลำไส้ จะมุ่งเน้นไปทางการค้าค่อนข้างมาก และอาจมีการชักชวนที่มากกว่าความเป็นจริง หากเป็นเช่นนั้น เราควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดูว่าการทำเหล่านี้มีประโยชน์และเป็นจริงตามคำโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ การทำต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ไม่แนะนำให้ทำ ถ้าจำเป็นจริงๆ ควรทำเป็นครั้งคราวมากกว่า 5555555 วันนี้ขี้เกียจพิมพ์ค่ะ ขอมีสาระกับเค้าวันหนึ่งนะ.... ความจริงบทความนี้พี่นิด (Nilz) น่ะคะ เคยลงไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และหนมถ้วยเพิ่งอ่านเจอในนิตยสารน้ำดื่มสปริงค์เคิลน่ะคะ เห็นว่าดี มีประโยชน์ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่านน่ะคะ.... ขออัพเมนูเมื่อวานเลยละกันนะคะ จุ๊ๆๆๆๆ~~~~!!! น้ำหนักไม่ต้องถามนะ... เคือง เมื่อวานเช้า โจ๊กหมูเด้งใส่ตับ 1 ชาม // กาแฟ 1แก้ว // แซนวิชหมูสยอง 1 เบรคเช้า --- เที่ยง ต้มยำไก่ใส่เห็ด(ซะเพียบ) 1 ชาม(เบ้อเร้อ!!!) // มะละกอ // แตงทิเบต // ลูกชิ้น 3 ไม้ เบรคบ่าย มะละกอ 1 ถ้วยกลาง // Tim Tam 1 ชิ้น เย็น แกงส้มแตงโมอ่อน 1 ชาม(เบ้อเร้อ) // ข้าวโพดขาวต้ม 1 ฝัก(เพื่อการขับถ่าย) แตงโม 1/4 ลูก
...เดือนนี้ตั้งใจว่าจะค่อย ๆ ปรับอาหารค่ะ จะพยายามไม่ลืมกินข้าวเช้า ปกติจะเดินดุ่ม ๆ เข้าออฟฟิศเลยเพราะความเคยชิน แต่ต่อไปนี้จะกินข้าวตอนเช้าค่ะ ส่วนมื้อเย็นจะเน้นเป็นจำพวกโปรตีนและวิตามินจากผักและผลไม้ค่ะ..... ...วันจันทร์หน้าหนมถ้วยจะ plan เมนูอาหารในแต่ละวันและจะกินให้ได้ตามที่แพลนเอาไว้ค่ะ.... โดยจะพยายามไม่กินนอกเมนูที่เตรียมไว้....
//www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=129 ขอบคุณแหล่งที่มาค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 14:42:50 น. |
|
11 comments
|
Counter : 860 Pageviews. |
|
|
ทำไม่ได้หรอก 555