ธันวาคม 2556

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
นิยายจบแต่คนอ่านไม่จบ
บทส่งท้ายเพชรพระอุมา ตอนมงกุฎไพร 1 / 4

2 ปีผ่านไป ภายหลังจากที่จอมพรานเสร็จสิ้นภารกิจติดตามหาเครื่องบินบี52 รพินทร์ได้นำคณะของเชษฐาพร้อมพรานคู่ใจและพวกลูกหาบรวม 31ชีวิต เดินทางกลับหนองน้ำแห้ง โดยมุ่งเข้าทางหล่มช้างเพื่อส่งคะหยิ่น อูถะและพะโต้ กลับคืนสู่ครอบครัวและพักค้างคืนอยู่ที่บ้านหล่มช้าง 1 คืน เพื่อมีเวลาพบปะเยี่ยมเยียนลูกบ้านชาวหล่มช้าง ซึ่งคณะของเชษฐาและอนุชารู้จักเป็นอย่างดี ต่อจากนั้นทั้งหมดที่เหลือจึงออกเดินทางต่อมุ่งสู่หนองน้ำแห้งทันที โดยตั้งแต่ออกจากดงดำมาได้นั้น มีเจ้าด้วนช้างคู่บุญของดารินเป็นสมาชิกร่วมคณะเดินทางมาด้วยตลอดเส้นทาง กระทั่งถึงหนองน้ำแห้งโดยไม่แยกทางจากไปไหนเลย
ทันทีที่ถึงหนองน้ำแห้งในเวลาบ่ายของวันหนึ่ง พวกลูกบ้านหนองน้ำแห้งต่างพากันออกมาต้อนรับส่งเสียงตะโกนร้องเรียกกันอื้ออึง วิ่งกระโดดกอดกันกลมทั้งเด็กผู้ใหญ่เพราะต่างก็คิดว่าคงจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว ฝ่ายของคณะเชษฐาก็ถูกชาวบ้านเข้ารุมล้อมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะดารินถึงกับถูกชาวบ้านผู้หญิงบางคนโผเข้ากอดตัวไว้น้ำตาไหลด้วยความดีใจ ที่เห็นนายหญิงของตนกลับคืนมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนรพินทร์นั้นยิ่งแล้วใหญ่ถูกพรานคู่ใจทั้ง 4 พร้อมกับบรรดาลูกบ้านช่วยกันรุมจับตัวเขาโยนตัวลอย โดยมีบุญคำเป็นต้นเสียงโห่ร้องไชโยพร้อมลูกบ้านทุกคนตะโกนกึกก้องพร้อมๆกัน ดังไปทั่วทั้งหนองน้ำแห้ง

เชษฐา อนุชา และไชยยันต์ พักค้างคืนร่วมกับรพินทร์และดารินที่เรือนหลังใหญ่ 1 คืน จากนั้นรุ่งเช้าคณะของเชษฐาวางแผนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพเนื่องจากเห็นใจไชยยันต์ที่ต้องการจะกลับเข้ากรุงเทพโดยเร็วเพื่อพบหน้าภรรยาและลูกน้อย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มีรพินทร์และดารินร่วมคณะไปด้วย เนื่องจากรพินทร์ถูกขอร้องแกมบังคับจากแม่ดอกฟ้าสุดที่รักของเขา ให้เดินทางเข้ากรุงเทพด้วยเหตุผลใหญ่ 2 ประการ คือ ประการแรก รพินทร์ต้องไปรับขวัญ เด็กชายไพรวัลย์ อนันต์ตรัย ในฐานะพ่อทูนหัวตามที่รพินทร์ได้เคยให้สัญญาไว้ แต่เขายังไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่นั้น และอีกประการหนึ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่ดารินหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ (ถึงแม้จะได้รับการบ่ายเบี่ยงยกสารพัดเหตุผลมาอ้างอย่างไรจากรพินทร์ก็ตาม แต่พอสบกับสายตาพิฆาตของแม่ดอกฟ้าของเขา รพินทร์ก็ต้องคอตกยอมจำนนแต่โดยดี ซึ่งนั่นเป็นที่มาของเสียงหัวเราะจากบรรดาพวกพี่ๆของดาริน ในวงสนทนาก่อนเข้านอนในคืนนั้น) นั่นก็คือ การนำตัวรพินทร์เข้าโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจเช็คสุขภาพร่างกายชุดใหญ่ โดยเฉพาะการเริ่มต้นเข้ารับการรักษาโรคมาลาเรียของเขาอย่างจริงจังกับโรงพยาบาลที่มีชื่อ โดยแพทย์เฉพาะทางท่านหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ของดาริน

ครั้นเมื่อเดินทางออกจากหนองน้ำแห้งโดยมีคุณอำพลเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดพาหนะเพื่อการเดินทาง เชษฐาสั่งให้ทั้งคณะอันประกอบด้วยอนุชา ไชยยันต์ รพินทร์ และดาริน แวะเยี่ยมกราบนางรำเพยมารดาของรพินทร์ก่อน เพื่อให้รพินทร์ได้แนะนำลูกสะใภ้ดารินอย่างเป็นทางการกับมารดาของเขา ซึ่งนำความปลาบปลื้มยินดีมาสู่นางรำเพยยิ่งนัก พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมในตัวลูกสะใภ้ด้วยเคยพบกับดารินมาก่อนหน้านี้แล้ว หญิงชราลูบหน้าลูบหลังดารินอย่างรักใคร่ตามประสาคนแก่ ในวันนั้นนางรำเพยได้รับไหว้ลูกสะใภ้ด้วยสร้อยคอทองคำโบราณซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ของนาง โดยมอบให้รพินทร์เป็นผู้สวมใส่คอให้แก่ลูกสะใภ้ รพินทร์และดารินก้มลงกราบเท้าของมารดาพร้อมกันและรับพรจากมารดาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตคู่ของทั้งสอง (ซึ่งต่อมาดารินได้นำพระ 2 องค์ คือ หลวงพ่อโตพรหมรังสี และหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่รพินทร์เคยให้ไว้เมื่อครั้งเดินป่ามาแขวนกับสร้อยทองที่ได้รับนี้อย่างไม่เคยถอดให้ห่างกายเลย จากนั้นทุกคนกราบลานางรำเพยเพื่อเดินทางมุ่งสู่กรุงเทพ ฯ ทันที


รพินทร์ เลิกอาชีพพรานอย่างเด็ดขาดตามที่ได้ให้สัจจะปฏิญาณไว้กับนาคเทวี ไม่ออกป่าล่าสัตว์อีกเลยและจากการยอมทำตัวเป็นคนไข้ที่ดีโดยการพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอที่กรุงเทพฯ อีกทั้งยอมอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของคุณหญิงหมอของเขาเมื่ออยู่ ณ หนองน้ำแห้ง ทำให้สุขภาพและอาการของโรคประจำตัวของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา หลังจากเสร็จภารกิจค้นหาเครื่องบินบี52 เขาไม่มีอาการป่วยไข้ของมาลาเรียให้เห็นอีกเลย ขณะเดียวกันทั้งเขาและดารินได้ร่วมกันพัฒนาหนองน้ำแห้งเป็นแหล่งให้ความรู้แก่ผู้สนใจศึกษา ขอคำแนะนำเกี่ยวกับธรรมชาติป่าเขา ต้นน้ำ ลำธาร ตลอดจนธรรมชาติชีวิตของสัตว์ป่า เพื่อการอนุรักษ์ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนตลอดไป

ดาริน ทิ้งชีวิตสุขสบายและสังคมในกรุงเทพโดยย้ายมาอยู่ที่หนองน้ำแห้งอย่างถาวรด้วยความรู้สึกอย่างสนิทใจว่าหนองน้ำแห้งคือบ้านของเธอ โดยจะกลับเข้ากรุงเทพก็แต่เฉพาะที่ต้องพารพินทร์ (หรือเรียกว่า ควบคุมตัว จะถูกต้องกว่า)ไปพบแพทย์ตามนัด หรือในบางคราวที่ต้องมีธุระเกี่ยวข้องกับบรรดาพี่ๆของเธอ ก็จะต้องหนีบตัวรพินทร์ไปด้วยทุกครั้งไม่ยอมให้ห่าง ซึ่งก็เป็นภาพอันชินตาของชาวบ้านหนองน้ำแห้งตลอดไปจนถึงอำเภอ กระทั่งในตัวจังหวัด ที่จะได้เห็นนายรพินทร์และนายหญิงของชาวหนองน้ำแห้งไปไหนมาไหนด้วยกันเปรียบดังดาวคู่เดือน เป็นที่กล่าวขานชื่นชมแก่ผู้พบเห็นโดยทั่วไป

เชษฐา อนุชา ไชยยันต์และครอบครัว ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพอย่างเป็นปกติสุข และมักจะหาเวลาและโอกาสมาเยี่ยมทั้งน้องสาวและน้องเขยอยู่เสมอ ๆ ไม่เคยให้ขาดหายทิ้งช่วงไปนาน


ครูพรานหนานอิน ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับแงซาย คือ ไม่บุกป่าฝ่าดงเร่ร่อนไปไหนอีกเลย โดยปักหลักอยู่กับนายรพินทร์และนายหญิงดารินที่หนองน้ำแห้ง ซึ่งรพินทร์ได้สร้างเรือนพักชั้นเดียวยกพื้นสูงเป็นที่พักอย่างสะดวกสบายให้ครูพราน และเรือนพักนี้ก็อยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับเรือนพักของพรานคู่ใจทั้ง 4 ของเขานั่นเอง และดารินก็คอยดูแลครูพรานอย่างดีที่สุดตามที่ได้เคยรับปากกับแงซายไว้ทุกประการ

พรานคู่ใจทั้ง 4 ของรพินทร์ เลิกอาชีพพรานตามรพินทร์และให้สัตย์สัญญาต่อรพินทร์ว่าจะเลิกล่าสัตว์อย่างเด็ดขาด โดยหันมาช่วยนายรพินทร์และนายหญิงดารินอย่างแข็งขัน เพื่อพัฒนาหนองน้ำแห้งให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนายทั้ง 2 และสามารถดำรงชีพได้อย่างสบายพอเพียงด้วยเงินค่าจ้างที่ได้รับจากนายจ้างฝรั่งในครั้งนั้น

……………………………………………………….
(cr.)
//www.nabaanwannagum.com/webboard/posts_index.php?cat_id=7&forum_id=10&topic_id=2077

ตอนที่ 2 / 4


จิ๊บแลนด์โรเวอร์คันเดิมเก่าคร่ำคร่าเลี้ยวแล่นมาจอดข้างรถยนต์โฟร์วีล 7 ที่นั่งคันเอี่ยมที่จอดอยู่ก่อนแล้วใต้ร่มไม้ใหญ่ รพินทร์เอื้อมมือไปบิดกุญแจดับเครื่องยังไม่ลงจากรถ เขาสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของรถโฟร์วีลคันที่จอดสนิทอยู่ข้างๆ พลันสายตาก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างเพรียวงามร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเบื้องหน้าไกลออกไป ในชุดกางเกงยีนส์ขายาวสีซีด สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาวพับปลายแขนเสื้อ รองเท้าผ้าใบขาว ผมดำยาวถูกรวบมุนง่ายๆ ไว้บนศีรษะภายใต้หมวกแก๊ปสีดำ หล่อนยืนกอดอกหันหลังให้เขา เบื้องหน้าของหญิงสาวคือ งานก่อสร้างอาคารคอนกรีต 2 ชั้น 2 หลัง มีรั้วเป็นแนวแบ่งเขตกันอยู่ ซึ่งความจริงแล้วมันก็คือ อาคารโรงเรียน และ โรงพยาบาล ที่แม่ดอกฟ้าดารินของเขาตั้งใจพัฒนานำความเจริญมาสู่บ้านหนองน้ำแห้งแห่งนี้นั่นเอง โดยสถานที่ก่อสร้างอยู่ห่างจากตัวอำเภอก่อนถึงหนองน้ำแห้ง 3 กม. เสียงตะโกนสั่งงานของพรานเฒ่าบุญคำจอมแก่นของเขาดังแว่วมาให้ได้ยิน ซึ่งนั่นก็แสดงให้รู้ได้ว่าทั้งครูพรานหนานอิน เกิด เส่ยและจัน (ซึ่งรพินทร์สั่งให้จันทำหน้าที่ขับรถให้นายหญิงเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขาและได้กลับมาแล้ว) ต้องอยู่รวมกันครบในสถานที่ก่อสร้างเบื้องหน้าแน่นอน

            รพินทร์ยังคงนั่งอยู่ในรถจี๊ป สายตาที่ทอดมองไปจับนิ่งอยู่ที่ด้านหลังของหญิงสาวผู้เป็นสุดที่รักนั้นฉายแววเปี่ยมด้วยความรัก ความภูมิใจ และความสุข เขานั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวเงียบๆในรถ กระทั่งร่างงามนั้นเอี้ยวตัวหันมาเห็นเขา จากการชี้บอกหญิงสาวของใครคนหนึ่งในฝั่งงานก่อสร้างให้ทราบถึงการมาของเขา ดารินถอดหมวกแก๊ปออกมาถือไว้ยืนเขย่งปลายเท้าขึ้นลง พร้อมกับโบกหมวกอยู่ไปมาให้เขาและส่งยิ้มมาให้ ผมยาวดำขลับที่ถูกรวบมุนไว้ภายใต้หมวกแก๊ปนั้นตกลงมาสยายเต็มแผ่นหลังของหล่อนปลิวไสว

รพินทร์ในชุดเดินป่าสีกากีสะอาดสะอ้าน สวมบู๊ทและหมวกปีกใหญ่คาดหนังสือดาวใบเก่งก้าวลงจากรถ เขายกมือขึ้นเป็นการทักทายตอบหญิงสาวและเดินไต่เนินซึ่งเป็นลานกว้างของบริเวณก่อสร้างตรงเข้าไปหาหล่อน ดารินยังคงหันหน้ามายืนยิ้มให้คอยเขาอยู่กับที่ กระทั่งเขาเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหล่อน รพินทร์ยกแขนขึ้นโอบไหล่หญิงสาวและดึงร่างนั้นเข้ามาชิดกับไหล่ของเขาพร้อมกับเอื้อมมือเบาๆ ไปฉวยหมวกแก๊ปจากมือหญิงสาวแล้วนำไปสวมไว้ให้คืนที่ศีรษะของหล่อน

" มายืนตากแดดอยู่นี่ทำไมล่ะครับคุณหญิง หรือคิดจะไปช่วยคนงานแบกปูนที่งานก่อสร้างนั่น ทำไมไม่ไปยืนหลบแดดใต้ร่มไม้ทางฝั่งโน้น " เขาทำเสียงดุยังคงโอบไหล่หญิงสาวไม่ปล่อย พร้อมกับพาหล่อนเดินตรงไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ครึ้มที่อยู่ด้านข้างสถานที่ก่อสร้างไกลออกไป

" โธ่ อย่าดุซิคะ ยืนตากแดดแค่นี้เรื่องเล็ก ลืมแล้วหรือคะว่าดารินคนนี้เคยตะลุยดงดำมาแล้ว ทั้งบุกป่า ฝ่าดง ฝ่าพายุฝ่า..."

            " พอ...พอแล้วครับคนเก่ง ผมเชื่อและรู้ซึ้งดีในข้อนั้น แต่ช่วงนี้เห็นคนเก่งของผมซูบๆไป เมื่อเช้ามืดได้ยินเสียงเหมือนอาเจียนในห้องน้ำ พอถามก็บอกไม่เป็นอะไร ผมเลยอดห่วงไม่ได้ "

                รพินทร์รีบขัดขึ้นพร้อมกับโบกมือหัวเราะเบา ๆ ดารินลอบอมยิ้มหลบตาต่ำไม่พูดอะไร ขณะนี้ทั้งคู่เดินเข้ามาหยุดยืนนิ่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่แล้ว รพินทร์ยังคงโอบไหล่หญิงสาวไว้อย่างแสนรักไม่ยอมให้ห่าง
ดารินโอบแขนไปด้านหลังเขามือของหล่อนเกาะเกี่ยวอยู่ที่ข้างเอวเขา
ทั้งสองยืนหันหน้ามองตรงไปยังอาคารที่กำลังก่อสร้างอยู่เบื้องหน้า ซึ่งมีแนวเขตของป่า และทิวเขาธรรมชาติสวยงามเป็นฉากอยู่เบื้องหลังงานก่อสร้างนั้น

            " อีกไม่นานชาวหนองน้ำแห้งและชาวบ้านใกล้ไกล ก็จะได้มีโรงเรียน โรงพยาบาลกันแล้วนะคะ คิดถึงเวลานั้นแล้วชื่นใจจังเลยค่ะ "

            รพินทร์เอียงหน้ามองหญิงสาว พูดขึ้นยิ้ม ๆ อย่างรู้สึกภูมิใจว่า    

            " ทั้งหมดนี้ ก็ด้วยความเมตตาจากนายหญิงของพวกเขาโดยแท้ ผมขอบคุณคุณหญิงแทนพวกชาวบ้านด้วยครับ "

            ดารินสั่นศีรษะเบาๆ ลมพัดเส้นผมยาวดำขลับของหล่อนปลิวพลิ้วไปด้านหลังแลดูสวยซึ้งมีเสน่ห์ชวนมอง

            " ก็ถ้าไม่มีนายพรานไพรใจฉกาจคนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าเรานี้ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน " หญิงสาวพูดพร้อมกับชี้นิ้วจิ้มเข้าไปที่แผงอกของเขา

            ทั้งสองมองประสานตาและยิ้มให้กันอย่างรักและเข้าใจกันในทุกความหมายของคำพูดนั้น แล้วรพินทร์ก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาถามขึ้นมาว่า

            " วันนี้ไปเยี่ยมคุณแม่มา ท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ "    ดารินเอียงหน้ามองเขาชำเลืองหางตาคล้ายจะค้อน พร้อมกับพูดยิ้ม ๆ

            " ท่านสบายดีค่ะ มีปวดหัวเข่าบ้างและหมอดารินได้ตรวจดูเบื้องต้นแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็เป็นไปตามวัยของผู้สูงอายุ แต่ท่านฝากบ่นมาถึงพ่อลูกชายตัวดีของท่านว่า ไม่เห็นหน้าเห็นหนวดมาร่วม 2 อาทิตย์แล้ว จะมีก็แต่ลูกสะใภ้คนสวยและแสนดีของท่านที่หมั่นแวะเวียนไปกราบเยี่ยมท่าน ซึ่งวันนี้ฉันก็เกือบจะถูกยึดจับตัวไว้เป็นตัวประกันให้ค้างคืนกับท่านที่บ้านซะแล้ว เผื่อพ่อลูกชายจะได้บุกเข้าไปชิงตัวประกันพอให้ท่านได้เห็นหน้าซะบ้าง "     รพินทร์เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับพูดว่า

            " โธ่ ก็ผมติดงานบรรยายให้คณะนักศึกษาจากต่างจังหวัดฟัง ไม่ได้ว่างเลย คุณหญิงได้เรียนให้ท่านทราบหรือเปล่าครับแต่เอือมม...ถ้าท่านจะยึดตัวคุณหญิงไว้จริงผมก็จะแถมเจ้าด้วนไปให้ท่านเลี้ยงด้วยอีกตัว ขี้คร้านคุณแม่จะรีบปล่อยตัวประกันคืนให้ จนผมตามไปรับตัวประกันกลับคืนมาไม่ทันเสียอีก "   ดารินหันมาทำตาเขียวแยกเขี้ยวใส่เขา

            " นี่...นายพราน.."

" โอ๊ะโอ๋.....อย่าเรียกผมอย่างนั้นซิครับ เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เป็นพรานไพรใจฉกาจเหมือนก่อนแล้ว ถ้าจะเป็นก็เป็นได้อย่างเดียวเท่านั้น...." รพินทร์แกล้งยั่วพูดทิ้งช่วง ทอดเสียงออกไป

            " เป็นอะไร พูดให้ดี ๆ นะ " ดารินแกล้งตวาดเสียงดัง

            " ก็...เป็นสามีที่ดีของคุณหญิงและขอรักคุณหญิงคนเดียวตลอดไปเท่านั้น น่ะซิครับ " รพินทร์พูดลดเสียงลงเหมือนกระซิบบอกให้สัญญา ดารินเอียงหน้าหรี่ตามองล้อๆ ยิ้มยั่วเขา

            " เอือมพูดได้น่าฟัง......ว่าแต่ขอให้มันจริงเหอะ.."

            รพินทร์โอบรั้งร่างหญิงสาวแนบกระชับเข้าไปอีก พร้อมกับก้มลงบอกเสียงแผ่วตาซื้ง

           " จริงที่สุดในชีวิตของคนที่ชื่อ รพินทร์ ไพรวัลย์ เลยครับ "

...........................................................................

        ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปซึ่งบ่อยครั้งที่...................................

โปรดอ่านตอนต่อไป 3 / 4

//www.nabaanwannagum.com/webboard/posts_index.php?cat_id=7&forum_id=10&topic_id=2078

อนที่  3 / 4 

            ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปซึ่งบ่อยครั้งที่ทั้งรพินทร์และดารินจะลงจากเรือนหลังใหญ่มานั่งรับประทานอาหารล้อมวงร่วมกับครูพรานหนานอินและพรานทั้ง 4 ของเขา ณ บริเวณลานข้างล่างใต้ร่มไม้ครึ้มด้านข้างเรือนพักของทั้งสอง เหมือนอย่างในสมัยที่เคยเดินป่าฝ่าดงด้วยกัน และในวันนี้ก็เช่นกันเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ทั้งหมดก็ยังคงนั่งร่วมวงสนทนากันต่อ พูดคุยกันด้วยเรื่องราวระลึกถึงการผจญภัยในอดีต ตลอดจนเรื่องราวประจำวันต่าง ๆ แล้วรพินทร์ก็เอ่ยถามบุญคำขึ้นมาว่า

                " เอ้อบุญคำ เห็นว่าวันนี้มีลูกบ้านจากหล่มช้าง 3 คนมาถึงนี่ ฉันยังไม่เห็นเลยไปไหนเสียล่ะ "

                " มันติดรถชาวบ้านเข้าไปเที่ยวตลาดในอำเภอน่ะนาย ยังไม่กลับกันเลยบุญคำเห็นนายยุ่งๆ
ก๊ะพวกนักเรียนอยู่ก็เลยยังไม่ได้บอก " บุญคำนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่มวนยาควันฉุย
ทำท่าประกอบการบอกเล่า

                “ แล้วเขามีเรื่องเดือดร้อนอะไรอื่นอีกหรือเปล่าบุญคำ ” ดารินถามขึ้นอย่างเมตตาห่วงใย

                "ไม่มีอะไรอื่นร็อกนายหญิง ไอ้ยักษ์คะหยิ่นมันส่งคนมาขอเกลือกับพวกหยูกยารักษาโรค
เหมือนตะก่อนโน่นแหละ ไอ้ยักษ์มันฝากความคิดถึงมาถึงพวกเราทุกคนด้วย เห็นไอ้พวกที่มาวันนี้บอกว่าคราวหน้าไอ้คะหยิ่นมันจะลงมาเองเลย น่ะนายหญิง "

                " จริงรึนี่ จะได้เจอกันพร้อมหน้าอีกครั้ง ดีใจจังค่ะรพินทร์ "     ดารินทำตาโตหันมาพูด
ส่งยิ้มกว้างกับรพินทร์ เขาหันมาพยักหน้ายิ้มรับ
อย่างเอาใจ แล้วหญิงสาวก็พูดต่อไปว่า

                " เมื่อครั้งออกติดตามคณะของนายฝรั่ง ทางฝ่ายฉันโชคดีมากๆ ที่ได้ลุงอินกับคะหยิ่นไปร่วมคณะด้วย ลำพังพรานชดคนเดียวก็คงลำบากเหมือนกัน ทางคณะของนายฝรั่งคงสนุกกันซินะเพราะบุญคำร้องลิเกให้ฟังตลอดทาง ทางฝ่ายคณะฉันกับพี่ใหญ่นี่เครียดหนักเลย เพราะพรานชดน่ะ ดีแต่ทำหน้าเคร่งและก็ดุยังกับกระทิงโทนแน่ะ " ดารินแยกเขี้ยวทำหน้าประกอบ ทุกคนหัวเราะรวมทั้งรพินทร์

                " คุณชายอนุชาต้องดุซิครับคุณหญิง เพราะมีน้องสาวแสนสวยจอมดื้อ "

                รพินทร์เอียงหน้าพูดยิ้มยั่วมาทางดาริน หญิงสาวโยกตัวกระแทกชนด้านข้างไหล่เขาแล้วทำจมูกย่นพร้อมส่งเสียง " ฮึ "  มาทางเขา แต่ไม่พูดโต้ตอบอะไร บุญคำส่งเสียงพูดตามมาอย่างชักเริ่มรู้สึกมันส์ในอารมณ์ว่า

                "โอ๊ย..นายหญิง ทางฝ่ายคณะนายฝรั่งบุญคำร้องยี่เกไม่ค่อยจะออกร็อก ไม่เหมือนอีตอนเดินก๊ะคณะนายหญิงน่ะ หนุกกว่าเยอะ "

                " อ้าวทำไมล่ะบุญคำ มีอะไรรึ " ดารินเลิกคิ้วถามสงสัย พรานอื่นๆในวงสนทนาไม่รู้อิโหน่
อิเหน่ไปกับ
บุญคำพากันตั้งใจฟัง รวมทั้งรพินทร์ที่พลอยสนใจฟังไปด้วยขณะเดียวกันเขาก็คอยระแวงว่าพรานเฒ่าจอมแก่นจะมาไม้ไหน

                " เอ๊า...เอ๊า....อ๊าว.. นายหญิงนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ววววววว " บุญคำลากหางเสียงยาว ชวนให้ฟังว่า
มีเลิศนัยแฝงอยู่ พร้อมกับยักคิ้วชำเลืองหางตาไปทางรพินทร์ผู้เริ่มจะรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวอยู่ข้างๆ
แม่ดอกฟ้า
ดารินของเขา เพราะเขารู้สึกได้แล้วว่ากำลังจะถูกบุญคำทรยศให้แล้วซึ่งๆหน้าด้วยรู้ทางกันดี
ไอ้ครั้นจะด่าหรือห้ามไม่ให้แกพูดต่อหรือเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะแม่ดอกฟ้าดารินเริ่มหันมาทำตาเขียวจ้องกำกับให้เขานิ่งไว้ พรานอื่น ๆ เริ่มไหวตัวเหมือนกันนั่งอมยิ้มรอฟังอย่างรู้เชิงตาเฒ่า
บุญคำ

                " ไม่รู้อะไรล่ะ บุญคำ " ดารินถามต่อ

                " เฮ้อออ... "   บุญคำทำหน้าละห้อย คอตก ถอนใจยาวหนัก ๆ แล้วว่าต่อ

                " พรานรพินทร์ที่ว่าเหนื่อยหนัก ไหนจะเหนื่อยก๊ะหนักใจสู้พรานบุญคำได้ " บุญคำทำท่า
ส่ายหน้าระอาใจประกอบ

                " ยังไงหรือ บุญคำ " ดารินจี้ถามตามติด

                " ก๊อ บุญคำน่ะ ไหนจะต้องคอยรับคำสั่งจากพรานใหญ่ ไหนจะต้องคอยระแวงระวังภัยให้พวกนายจ้างฝรั่งสารพัด แต่ไอ้ที่หนักใจนี่น่ะคือ บุญคำต้องคอยทำตัวเป็นทศกรรณ์ห้ามทัพ กลัวแม่ทัพใหญ่ของเราจะเสียทีเพลี่ยงพล้ำให้แก่ข้าศึกฝรั่งผมสองสีที่ขยันเข้าตีประชิดติดพันด่านหน้าแม่ทัพของเราไม่เว้นแต่ละวัน นี่ละมันงานสำมะคัญเลยแหละนายหญิง "

                พูดจบบุญคำทำส่ายหัวช้า ๆ หนักใจ ชำเลืองหางตาไปทางรพินทร์อีก รพินทร์แยกเขี้ยวชี้หน้า แล้วตวาดเสียงดังว่า

                " ทะลึ่งแล้ว ตาคำ ปะเดี๋ยวเหอะ "

                พรานอื่นพากันหัวเราะครืน ดารินทำตาเขียวถลึงใส่เขา หยิกหมับโดยแรงเข้าที่แขนข้างที่นั่งติดอยู่กับหล่อน รพินทร์นิ่วหน้าร้อง " โอ้ยยย "    แล้วหันมาโอบไหล่หญิงสาวไว้แน่นอย่างประจบ พร้อมกับหัวเราะพูดแก้ตัวมาว่า

                " ไม่มีอะไรน่าคุณหญิง ตาบุญคำแกทะลึ่งพูดไปเรื่อยเปื่อย คุณหญิงอย่าหลงกลตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เชียวนะครับ "

                " อ้ออออ.......อย่างนั้นหรอกเหรอฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ใครกันแน่ที่เจ้าเล่ห์ชักไม่แน่ใจซะแล้ว รึคุณจะกินปูนร้อนท้องเป็นตุ๊กแก หือ " ดารินทำหน้าบึ้งส่งเสียงข่มขู่สำทับเขา

                " โอ๊ะ โอ๊ะ ไม่นะครับ "   รพินทร์รีบพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโบกปฏิเสธอยู่ข้างหน้าหล่อน
เป็นพัลวัน สายตาของเขาแอบชำเลืองไปทางบุญคำอย่างจะ
กินเลือดกินเนื้อ ก็เห็นตาเฒ่าบุญคำทำคอย่น
เอามือปิดปากตัวเองไว้ส่งเสียงหัวเราะเล็ดลอดดัง " ฮิ ฮิ " มาทางเขา จากนั้นตาเฒ่าจอมทรยศก็เผาต่อ
ไม่เลิก

                "ไอ้คำน่ะ...มันคนเปิดเผยเห็นยังไงก็พูดบอกนายหญิงอย่างนั้น ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยม อย่างก๊ะใครเขาร็อก " บุญคำพูด ทำเสียงให้ดูน่าสงสาร

                เกิดได้ยินบุญคำพูด ก็หัวเราะชี้นิ้วมาที่บุญคำพร้อมกับพยักหน้าทำทีเห็นด้วยกับคำพูดของบุญคำแล้วว่า

                " ใช่ ใช่นายหญิง ลุงคำน่ะแกคนเปิดเผยจริงๆแหละ เปิดเผยให้เห็นแม้กระทั่งงูลิ้นสองแฉก
ที่ส่ายด็อกแด็กอยู่บนหัวแกนั่นด้วยไง"

                ทุกคนขำปล่อยหัวเราะก๊าก ไม่เว้นแม้กระทั่งดารินที่กำลังเริ่มรู้สึกกรุ่นๆอยู่ ยกเว้นตาเฒ่า
สัปโดกบุญคำ

                " ชิชะ ไอ้ฉิบหายเกิด หนอย..เห็นนิ่ง ๆไม่พูด เห่าออกมาทีมึงกัดกูซะเหวอะเลยนะมึง
วอนถูกถีบซะแล้วมึงนี่ "

ทุกคนยังคงหัวเราะในขณะที่เกิดตั้งท่าจะลุกกระโจนหนี เมื่อเสียงหัวเราะคลายลง รพินทร์
รีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา ( เพราะกลัวใจแม่ดอกฟ้าดารินของเขาจะคุกรุ่นขึ้นมาอีก ) เขาถามหญิงสาว
ขึ้นมาว่า

                " อาทิตย์หน้านี้แล้วใช่ไหมครับ ที่คณะคุณชายใหญ่จะมา "

                ดารินตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงบรรดาพี่ๆ ลืมอารมณ์กรุ่นๆเมื่อสักครู่สนิท ตอบเสียงใสกลับมาว่า

                " ใช่ค่ะ มากันชุดใหญ่ครบเลย แล้วยังมีแถมมาด้วย "

                " ชุดใหญ่ขนาดไหนล่ะ นายหญิง " บุญคำถามแล้วเกาหัว ทำหน้างง ๆ

                " อ้าว ก็มากันครบทุกคนไง มีนายใหญ่ พรานชด นายทหาร นายแหม่ม แล้วก็ยังหนูน้อย
ไพรวัลย์ แถมด้วย เชิดวุธ อีกคน "

                " บ๊ะ ชุดใหญ่จริง ๆ เชียวนายหญิง คราวนี้เราได้จัดงานระทึก เอ๊ยย ... ระลึกฟามหลังกัน สนุกแหละโว้ย "

                ทุกคนหัวเราะอย่างเห็นด้วยไปกับบุญคำ แล้วตาเฒ่าก็ทำท่ารำพึงขึ้นมาอีกว่า

                " เห็นคุณหนูไพรวัลย์แล้ว แกเก่งและซนจริงๆไม่ผิดพ่อตะหาน ก๊ะแม่แหม่ม มาครั้งก่อนวิ่งจับกันแทบไม่ทัน เฮ้อ เห็นลูกเขาแล้วให้มานึกถึงคนของเรา นะพี่อิน..."   บุญคำพูดเสียงละห้อย พลางหันไปทางครูพรานหนานอิน ซึ่งนั่งยิ้มฟังอยู่

                " คนของเราเป็นไงวะไอ้คำ พูดให้ดีๆ นะโว้ย ข้าว่าวันนี้ดวงเอ็งไม่แคล้วถูกเตะ "   หนานอินหัวเราะถาม

                " เอ๊าก๊อ ไอ้คนของเราน่ะ เก่งแต่ยิงปืนเหนี่ยวไรเฟิลงี้ ตูม ตูม นัดไหนนัดนั้น หยั่งก๊ะจับวาง " บุญคำทำท่าเหนี่ยวไกประกอบคำพูด

                " แล้วยังไงล่ะ พี่คำ " เสียงจันกับเส่ยถามขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

                ดารินยังคงนั่งฟังยิ้ม ๆ ส่วนรพินทร์เตรียมตั้งท่ารับเพราะคิดได้แล้วว่าตาเฒ่าลูกน้องจอมทรยศต้องหักหลังอะไรเขาอีกเป็นแน่ บุญคำทำท่าตบหัวเข่าตัวเองเสียงดังฉาดแล้วว่าต่อ

                " บ๊ะ พวกเอ็งไม่เห็นรึไง ไอ้ที่นายเอ็งยิงแม่นซะนักหนานั่นนะ มันปืนไรเฟิลจุด458 โว้ย
แต่ไหงไอ้ปืนติดก๊ะตัว จุด2ห้อย น่ะ ข้าเห็นยิงมา 2 ปีก่า ๆ แล้วยังเช้ยเฉยอยู่เล้ยย สงกะสัยจะเป็น
สิงห์ปืนฝืดไม่มีน้ำยาล่ะข้าว่า ไม่งั้นป่านนี้พวกเราคงได้มีนายตัวน้อยๆขึ้นขี่คอวิ่งไล่จับกันไม่ทันแล้วละโว้ย จริงไหมวะ "

                ว่าแล้วตาเฒ่าบุญคำจอมหักหลังก็รีบลุกพรวดหนีรพินทร์ที่ยืดตัวยกขาข้างหนึ่งแหย่ผ่าวงเข้ามาพร้อมแยกเขี้ยวใส่ ทุกคนหัวเราะกันครืนแม้แต่ครูพรานหนานอินคงมีแต่ดารินที่นั่งก้มหน้าอมยิ้มอยู่ พร้อมกับดึงยึดตัวรพินทร์ไว้ไม่ให้ยืดไปถึงบุญคำ

              วงสนทนานั้นยังคงดำเนินต่อไป กระทั่งความมืดโรยตัวเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ
หนองน้ำแห้ง พร้อมกับสายลมพัดโชยชายเขายามค่ำทำให้อากาศโดยรอบเย็นลง ดารินขอตัวขึ้นเรือน
หลังใหญ่เพื่ออาบน้ำและพักผ่อน ส่วน
รพินทร์ยังคงนั่งสนทนารวมกลุ่มอยู่พักใหญ่ เพื่อพูดคุยกับลูกบ้านหล่มช้าง 3 คน ที่กลับมาแล้วกระทั่งน้ำค้างลงทั้งหมดจึงแยกย้ายไปพักผ่อน ก่อนก้าวขึ้นบันไดเรือนรพินทร์ยังคงได้ยินเสียงบุญคำตะโกนร้องลิเกของแกเจื้อยแจ้ว

                " แล้วชักชวนกันไปนอน เอ๊ยยย....ไปนอนในทันใด อย่าชักช้า มัวร่ำไร เจ้าเพื่อนยา...เต๊ง...เตง...เต่ง...เต๊ง..."

               รพินทร์อมยิ้มส่ายหัวแล้วก้าวขึ้นบันไดเรือน ถึงชานพักกว้างบนเรือนทุกสิ่งรอบกายเงียบสงัด เขาเดินตรงไปเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเปลี่ยนชุดนอนที่แม่ดอกฟ้าดารินของเขาจัดเตรียมวาง
ไว้ให้แล้วในห้องน้ำเหมือนเช่นทุกวัน เสร็จแล้วเดินจรดฝีเท้าไปที่ห้องนอนใหญ่ ค่อยๆผลักบานประตู
ห้องนอนเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน เนื่องจากเข้าใจว่าแม่ดอกฟ้าของเขาคงจะหลับไปแล้ว หากแต่เมื่อก้าวพ้นประตูห้องนอนเข้าไป.....

                    ...............โปรดติดตามตอนอวสาน  4 / 4   ................

ตอนที่ 4 / 4 (อวสาน)

หากแต่เมื่อก้าวพ้นประตูห้องนอนเข้าไป.....

                จากแสงจันทร์นวลที่สาดเข้าถึงในห้องนอน สายตาจึงแลเห็นแม่ดอกฟ้าดารินของเขาซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดนอนงามพลิ้ว ยืนหันข้างอยู่ที่หน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับที่เขายืนอยู่ มือทั้งสองข้างของหล่อนจับอยู่ที่ขอบล่างของหน้าต่าง หล่อนยังคงยืนนิ่งเงยหน้าเล็กน้อย ทอดสายตาสู่ท้องฟ้ากว้างไกล แสงนวลของจันทร์ในคืนนี้ส่องกระทบใบหน้างามของหญิงสาวให้แลดูงามซึ้งยิ่งขึ้นปานภาพวาด ก่อให้เขาเกิดความรู้สึกรัญจวนป่วนปั่นภายในด้วยแสนรักเสน่หา เขาตะลึงมองภาพงามนั้นอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะเดินจรดฝีเท้าแผ่วเข้าไปสวมกอดเบาๆจากด้านหลังของภรรยา รพินทร์แนบหน้าลงกับศีรษะของหล่อนชิดจนกระทั่งได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆจากร่างที่กอดอยู่นั้น ดารินเงยหน้าเอียงมองยิ้มสบตาเขายกแขนทั้งสองข้างของหล่อนกอดประสานทับไว้กับอ้อมแขนของเขาที่กอดอยู่ด้านหน้าหล่อน พร้อมกับเอนศีรษะแนบซบอยู่กับแผ่นอกแกร่งของสามี ทั้งสองยืนประคองกอดกันนิ่งเช่นนั้นต่างไม่พูดสิ่งใดต่อกัน แหงนหน้ามองบน
ฟากฟ้า แสงเดือน แสงดาวเกลื่อนงามระยิบตา เสียงหริ่งเรไร ของธรรมชาติรอบกาย เสมือนเสียงดนตรี
แห่งไพร ลมยังพัดโชยพลิ้วแผ่ว   ณ ราตรีนี้ภายใต้แสงจันทร์นวล บรรยากาศรอบกายของทั้งสอง
ดวงใจรัก งดงาม.....สุข....สงบ...

                จันทร์ กระจ่างฟ้า นภา ประดับ ด้วยดาว

                โลก สวยราว เนรมิต ประมวล เมืองแมน

                ลม  โชยกลิ่น มาลา กระจาย ดินแดน

                เรียม นี้แสน คะนึง ถึงน้อง นวลจันทร์

                งาม ใดหนอ จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง

                เจ้างาม ต้อง ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน

                ถ้า หากน้อง อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน

                โลก จะเหมือน เมืองแมน แม่นแล้ว นวลเอย.

หมายเหตุ บทเพลง " คิดถึง " ประพันธ์เนื้อร้องโดย ท่านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี 
                 (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)

..................................................................

                " คิดอะไรอยู่คะ" ดารินกระซิบถาม

                " คิดถึง คุณหญิงครับ" รพินทร์กระซิบตอบ

                ดารินยิ้ม กอดกระชับท่อนแขนแกร่งของสามีที่กอดประสานกันอยู่กับหล่อน

" คืนนี้ดาวบนฟ้าสวยจัง นะครับ "

" ไม่เฉพาะคืนนี้นะคะ เดือนและดาวที่หนองน้ำแห้งสวยทุกๆคืน เลยค่ะ "

                ดารินบอกเสียงแผ่วมาเหมือนฝัน รพินทร์ยิ้มรับคำบอกนั้นอย่างสุขใจ

                " แต่ผมว่า...คนที่ผมกอดอยู่นี่สวยกว่า ทั้งยังหอมอีกด้วย "

                รพินทร์กระซิบบอกข้างหูภรรยา พร้อมก้มลงจูบที่ผมยาวสลวยของหล่อนแผ่วเบา ดารินยิ้ม
เอียงหน้าเงยขึ้นจูบเบาๆที่ปลายคางสามี รพินทร์ยิ้มตอบพร้อมกับถามขึ้นมาเบาๆ ว่า

                " เอือม....จันบอกผมว่า วันนี้หลังจากคุณหญิงออกจากบ้านคุณแม่แล้วยังให้จันขับรถไปส่ง
ที่โรงพยาบาลคุณหมอทิพย์ด้วย มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับทีมแพทย์ที่จะมาประจำที่โรงพยาบาลของคุณหญิงหรือเปล่า เห็นว่าเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือครับ "

                คุณหมอทิพย์ที่รพินทร์พูดถึงคือเพื่อนของเชษฐา ซึ่งดารินรู้จักเธอเป็นอย่างดีและบังเอิญมาเป็นแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งดารินมักจะเข้าไปพบที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อปรึกษาหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเปิดโรงพยาบาลของหล่อนที่หนองน้ำแห้งอยู่เสมอ และก็ได้รับคำ
แนะนำช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากคุณหมอทิพย์ท่านนี้ ดารินยังไม่ตอบคำถามสามี แต่แกล้งทำเสียงค่อนขอดเขามาว่า

                " อ้อ... ที่ให้จันขับรถให้ฉันนี่นึกว่าเป็นห่วง ที่แท้ก็ให้เป็นสายสืบคอยติดตามส่งข่าวให้คุณทุกเรื่องนี่เอง เดี๋ยวจะจัดการทั้งเจ้านาย ทั้งสายสืบเลย ฮึ "

                รพินทร์หัวเราะ โยกตัวกอดหญิงสาวอยู่ไปมาเบาๆอย่างเป็นสุข แนบแก้มของเขาเคลียอยู่กับ
ผมยาวของภรรยา

                  " โธ่ ผมก็หวงห่วงภรรยาแสนสวยของผมนั่นแหละครับ วันนี้ขับรถตามดูอยู่ที่งานก่อสร้าง
สองเที่ยวแล้ว ยังไม่เห็นกลับมาสักที คิดถึงจัง " 
ดารินหัวเราะส่ายศรีษะตอบมาเบาๆว่า

                " เรื่องโรงพยาบาลของเราไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ฉันไปหาพี่หมอเพื่อ....ให้แน่ใจ..."

                " แน่ใจ....ในเรื่องอะไรครับ "  รพินทร์ชิงถามก่อนที่ภรรยาจะทันพูดจบยังคงกอดหล่อนนิ่งรอฟัง

                ดารินค่อยๆ เคลื่อนกายออกจากวงแขนของสามี หันหน้าตรงจ้องประสานสายตาเขา หล่อน
ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบคอรพินทร์พร้อมกับค่อยๆโน้มคอเอนหน้าเขาลงมา แล้วแนบริมฝีปากกระซิบแผ่วเบาข้างหูเขาว่า

                " แน่ใจ...ว่าคุณกำลังได้เป็น คุณพ่อ ยังไงล่ะคะ"

                อย่างฉับพลัน รพินทร์เงยหน้าขึ้นโดยเร็วยังรู้สึกอึ้งๆ กึ่งงงๆ ตาเบิกจ้องประสานดวงตาคู่สวยเบื้องหน้า ลักษณะเหมือนยังไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง มือของเขาจับอยู่ที่เอวทั้งสองข้างของภรรยา ละล่ำละลักถามกลับ

                " คุณ...คุณหญิง ช่วยพูดให้ชัดๆ อีกสักครั้งซิครับ ผม..."

                " คุณได้เป็น...คุณพ่อรพินทร์แล้ว ยินดีด้วยค่ะ... "

                คราวนี้ชัดเจนเต็มสองหู รพินทร์ดึงร่างนั้นเข้ามากอดแนบแน่นประทับไว้ที่อก ดารินกอดตอบเขา ในเวลานี้เขาไม่อาจเปล่งเสียงใดให้หลุดรอดออกมาได้ ด้วยกลัวว่าหากเปล่งเสียงอะไรออกไปเสียงของเขาจะกลายเป็นตะโกนลั่นด้วยความยินดีเลือดในกายเขาสูบฉีดจนรู้สึกร้อนวูบด้วยความปลาบปลื้มขีดสุด ความปิติ ตื้นตันแน่นอก เขาหลับตาแนบแก้มลงที่ศีรษะของภรรยานิ่งอยู่ชั่วครู หากพอจะสะกดความรู้สึกตื้นตันท่วมท้นลงได้บ้าง เขากระซิบพูดพร่ำบอกภรรยาที่ยังคงกอดแน่นอยู่กับอกแต่เสียงยังไม่วายสั่น

                " ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณคุณหญิง ขอบคุณที่มอบรักแท้ตอบให้แก่ผม ขอบคุณที่มอบรางวัลสูงสุดอีกครั้งให้แก่ รพินทร์ ไพรวัลย์ คนนี้ "

                รพินทร์คลายอ้อมกอดดันร่างหญิงสาวห่างกายเล็กน้อยเบาๆจ้องประสานสายตาภรรยา เขาจูบแผ่วที่หน้าผาก จมูกข้างแก้ม แล้วมาหยุดนิ่งจุมพิตหวานแผ่วที่ริมฝีปากของหล่อนเนิ่นนาน เมื่อถอนริมฝีปากจากภรรยาเขาหมุนกายหล่อนเบาๆให้เอนหลังพิงประทับแผ่นอกแกร่งของเขาอีกครั้ง แขนของเขากอดอยู่ด้านหน้าหล่อน ดารินกอดประสานทับแขนทั้งสองข้างของเขาอีกที ทั้งคู่มองออกไปยังฟากฟ้า
สะพรั่งดาวเบื้องบน

                " ลูกของเราหากเป็นหญิงเธอจะต้อง งดงาม แสนดี มีเมตตา ดั่งแม่ของเธอ "

                รพินทร์พูดพลิ้วแผ่ว

                " และหากเป็นชายเขาจะต้องยิ่งใหญ่ เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เยี่ยงพ่อของเขา "

                ดารินพูดกระซิบต่อเสียงซึ้ง

                " รพินทร์คะ " ดารินเรียกเสียงแผ่ว

                " ผมอยู่นี่ครับ " รพินทร์พูดพร้อมกับก้มลงจูบเบา ๆ ที่ข้างผมของภรรยา

                " หากลูกของเราโตขึ้นมา คุณจะเล่าเรื่องราวของเราให้ลูกได้ฟัง ไหมคะ"

                " แน่นอนครับ เราต้องเล่าให้ลูกฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อที่เขาจะได้รู้จักกับใครคนหนึ่ง
ที่มีบุญคุณต่อพ่อแม่เขา หากไม่มีซึ่งใครคนนั้น พ่อของเขาคนนี้
คงต้องตรอมใจตายไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยความคิดถึงคนรักที่พลัดพราก "

                " แงซาย " ดารินเอ่ยนามนั้นอย่างสำนึกและระลึกถึงซึ้งใจ

                " ครับ ลูกของเราจะต้องรู้จัก อาแงซายของเขา จากคำบอกเล่าของเรา แม้ชาตินี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วก็ตาม แต่ชื่อนี้จะอยู่ในความทรงจำของเรา พ่อ แม่ ลูก ตลอดไป ”

......................................................................................

                " ต่อนี้ไปคุณหญิงต้องดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ผมห้ามไม่ให้ขี่หลังเจ้าด้วนเที่ยวไปทั่วเหมือน
เมื่อก่อน เพราะอาจเกิดอันตรายถึงลูกของเราได้ "

                ดารินชำเลืองสายตามองค้อนสามีพร้อมกับหัวเราะเบาๆอย่างขำๆ หากแต่พยักหน้าลงอย่าง
ว่าง่าย

                " ตกลงเจ้าค่ะ ยังไม่ทันไรคุณพ่อก็เห่อคุณลูกซะแล้ว ว่าแต่เมื่อไหร่คุณจะเลิกเรียกฉันว่าคุณหญิงเสียทีล่ะคะ เดี๋ยวนี้ฉันเป็นดาริน ไพรวัลย์ เป็นแม่ของลูกคุณแล้ว ไม่ใช่หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ"

                รพินทร์กอดกระชับภรรยาแนบแน่น พร้อมกับก้มลงกระซิบบอกข้างหูหล่อนเสียงแผ่วหวานซึ้ง

                " ขอให้ผมได้เรียกของผมอย่างนี้ตลอดไปเถิดครับ คุณหญิง...เจ้าหญิงผู้สวมมงกุฎไพรของผม ผู้ซึ่งรพินทร์ ไพรวัลย์ คนนี้ จะขอรักมั่นนิรันดร์ทุกชาติไป "

                ดารินหลับตาลงด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข หล่อนเชื่อมั่นในคำกระซิบบอกนั้นของเขา เพราะได้ประจักษ์แล้วด้วยอสงไขยแห่งการเวลาที่พิสูจน์ในวิญญาณรักแท้มั่นคงสองดวง
เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดทั้งสองมิอาจรู้และคงไม่อยากรับรู้ บัดนี้ สองดวงใจรักผูกพัน
รู้แต่เพียงว่า ณ ที่แห่งนี้ ในอ้อมกอดของกันและกันเวลาได้หยุดเดินลงแล้ว เบื้องหน้านอกหน้าต่างไกลออกไปบนฟากฟ้า แสงเดือน แสงดาวกระพริบระยิบงามจับตา แต่ยังมิอาจเทียบได้กับ
ดวงดาวในดวงใจสองดวงที่ทอแสงเปล่งประกายแห่งความสุข อิ่มเอม สมหวัง ในสัจจะสัญญารักที่มีต่อกันนับจากนี้ไปทุกชาติทุกภพ.

                                    ...........................................................................................

อวสาน




Create Date : 16 ธันวาคม 2556
Last Update : 18 ธันวาคม 2556 8:24:17 น.
Counter : 4754 Pageviews.

7 comments
  

ทำออกมาดีมากครับ อยากอ่านตั้งแต่ตอนแลก
โดย: vichaiaue@yahoo.com IP: 171.96.27.172 วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:15:20:25 น.
  

ทำออกมาดีมากครับ อยากอ่านตั้งแต่ตอนแลก
โดย: vichaiaue@yahoo.com IP: 171.96.27.172 วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:15:44:32 น.
  
ขอบคุณจากใจจริง ที่ช่วยเติมแต่งจินตนาการ ทำให้การอ่านเพชรพระอุมา สมบูรณ์มากขึ้นไปอีก มีความสุขนะคะ แอบมีน้ำตาซึมเล็กๆ ด้วยนะเรื่องอาแงซาย ชอบค่ะ
โดย: Mukom IP: 110.171.220.168 วันที่: 19 มีนาคม 2558 เวลา:23:17:07 น.
  
โห...อ่านแล้วเต็มตื้นเลยคะ....ชอบๆจบจริงๆ แล้วสินะ...หรือจพใหคิดต่อรุ่นลูก ฮ่าๆ😆😊😄
โดย: Tigger IP: 27.55.132.193 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2558 เวลา:11:36:05 น.
  
น่าจะมีต่ออีกสักนิดครับ อยากมีแบบ ให้ทุกคนรู้ว่า ดาริน ท้อง มีงานเลียงฉลอง อีกสัก 2-3ตอนผมว่า จะออกดีมากเลยครับ
โดย: You know IP: 171.4.148.116 วันที่: 15 ตุลาคม 2560 เวลา:23:54:11 น.
  
ต่อจากคืนนั้น ประมาณว่าเช้าวันต่อมา คณะจากกรุงเทพเดินทางมาถึงหนองน้ำแห้ง มีการพูดคุยกินเลี้ยงกัน ในตอนเย็น และรพิณได้บอกข่าวดีกับทุกคน เรื่องดารินท้อง ประมาณนิครับ รบเขียนต่อได้ไหมครับ
โดย: You know IP: 171.4.148.116 วันที่: 15 ตุลาคม 2560 เวลา:23:58:39 น.
  
อยากให้เขียนต่อว่าได้เจอะเจอกับอาแงซาย..อ่านแล้วชอบมากไม่อยากให้จบเลย..ขอให้มีต่อไปอีกคุณเขียนได้น่าอ่านมากๆค่ะ
โดย: นิด IP: 49.229.142.115 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2560 เวลา:11:10:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

madamphone
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments