|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
อุบลราชธานี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
เกิดอุบล.เรียนจบแค่ ปริญญาตรีที่ มข... ทำงานส่วนตัวเป็นนักธุรกิจที่อุบล.... ที่คิดว่าโลกของตนเอง..คือธรรมะ.. และชอบศึกษา..ชอบอ่าน..ชอบท่องโลก.... คิดว่าจนเองโชคดีที่ได้เกิดที่เมืองไทย..ที่อีสาน..และที่อุบลราชธานี.. "ดินแดนแห่งธรรมะ..และน้ำใจไมตรี..."
|
|
|
|
|
|
|
|
สิ่งที่นักปฏิบัติต้องระวังอยู่เสมอคือการปฏิบัติด้วยตัณหา โดยเฉพาะภวตัณหา กับวิภวตัณหา จะเด่นขึ้นมาตอนนี้ ภวตัณหานั้นคือความอยากมี อยากเป็น อยากให้จิตสงบ อยากให้มันเป็นอย่างที่เราวาดภาพเอาไว้หรือคาดหวังเอาไว้ อยากเป็นเหมือนอย่างที่เพื่อนเขาเป็นหรือที่อาจารย์ท่านเป็น วิภวตัณหาคือ ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้ ไม่อยากที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอ่างนี้ รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ น้อยใจ และพยายามบังคับไม่ให้เป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติโดยบังคับจิตใจด้วยแรงตัณหา แทนที่จิตจะสงบ จะกลับฟุ้งซ่านมากขึ้น เหมือนเด็กเกเรถูกพ่อแม่ดุแล้วซนมากขึ้น ฉะนั้น ท่าทีที่ถูกต้องต่อนิวรณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนท่าทีของแม่บ้านต่อพวกขายของ ที่มาเคาะประตู แม่บ้านใจดีจะตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยนว่า ขอบคุณแต่ไม่ต้องการ ไม่ต้องไปด่าเขา พ่อค้าทำตามหน้าที่ของเขา จะไปทะเลาะวิวาทกับเขาหรือพยายามไล่เขาตะพึดก็ไม่เหมาะ เพียงแต่ตอบด้วยความสุภาพว่า ไม่ขาดอะไร ไม่ต้องการก็หมดเรื่อง นิวรณ์ต่าง ๆ มารบกวน เราไม่ต้องไปยุ่งกับมันมาก ไม่ต้องไปทะเลาะกับมัน สักแต่ว่าตอบด้วยท่าทีสุภาพอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเด็ดขาดว่า ไม่ต้องการ นิวรณ์จะหนีไปเอง บ้านนี้ไม่เอาจริง ๆ เสียเวลาเปล่า ๆ ไปเถิดอย่างไรก็ตาม การกำจัดนิวรณ์จะได้ผลเร็วเมื่อใช้ปัญญาพิจารณา จะเห็นว่านิวรณ์เป็นของไร้ค่า เป็นของทิ้ง เราจะมัวคิดปรุงแต่งเรื่องเหลวไหลทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ ทั้งกัปทั้งกัลป์ แล้วเราจะได้กำไรอะไร ไม่ได้อะไรเลย เป็นกำไรชีวิตของเราอย่างแท้จริง นี่เป็นคำถามที่ต้องซักตนเองบ่อย ๆ ส่วนมากคนเราจะมองว่าการได้เห็นรูปที่สวยงาม ได้ยินเสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นที่หอมหวน ได้รสที่อร่อย ได้สัมผัสที่นุ่มนวล นั่นแหละเป็นกำไรชีวิต แต่สมมุติว่าเดี๋ยวนี้ เราเกิดไม่สบาย มีทุกขเวทนา เจ็บปวดอย่างรุนแรง ความสุขที่เราเคยได้จากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มันช่วยเราได้ไหม ในขณะนี้ ความสุขทั้งหลายทั้งปวงที่เราเคยได้จากสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีความหมายเสียเลย เหลือแต่สัญญา เหลือแต่ความจำ และเมื่อทุกขเวทนาครอบงำจิตใจ ความจำที่หวานชื่นนั้นก็หายไปเลย ฉะนั้นให้มองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นแค่มายา
ชีวิตที่เป็นจริง โลกที่เป็นจริงมีไว้สำหรับผู้ที่ได้ฝึกให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ชีวิตจะมีชีวาสำหรับผู้ที่รู้จักอยู่ในปัจจุบัน ผู้ที่ไม่รู้จักปัจจุบัน ไม่เคยลิ้มรสชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์ ผู้นั้นไม่มีทางที่จะรู้ถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำว่า สดชื่น เบิกบาน เพราะฉะนั้น การกล่าวหาศาสนาพุทธว่ามองโลกในแง่ร้าย หรือมองชีวิตในแง่ร้ายนั้น จึงเป็นคำกล่าวหาที่ตลก เพราะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ดี ดีกว่าศาสนาอื่นทั้งหมดด้วยซ้ำไป เพราะถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะสามารถเข้าถึงความอิสระได้ โดยไม่ต้องอ้อนวอนพระเจ้าหรือทวยเทพที่ไหน มาดลบันดาลให้เรามีความสุข ชาวพุทธเราไม่เชื่อว่า ชีวิตเป็นไปตามดวง เป็นไปตามพรหมลิขิต แต่มั่นใจว่า ชีวิตของเราเป็นไปตามอำนาจของการกระทำด้วยกาย วาจา ใจ เท่านั้น
การประพฤติปฏิบัติธรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ ที่สมบูรณ์ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จำเป็นต้องมีการกระทำด้วยกาย วาจา ใจ ตลอดเวลา การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ท่านเรียกว่า กรรม และกรรมย่อมมีผลอยู่เสมอ กรรมดีมีผลดี กรรมชั่วมีผลชั่ว เป็นหลักง่าย ๆ แต่ทำไม เราชอบลืมหลักนี้อยู่เรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรม เช่นอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่ใช่ว่าเราไม่ปฏิบัติอะไรเลย เพราะการปฏิบัติคือการกระทำ หยุดไม่ได้ ไม่ปฏิบัติธรรมก็ย่อมปฏิบัติสิ่งที่ไม่ใช่ธรรม คือสิ่งที่เป็นอธรรม การสร้างกรรมมีอยู่ทุกคนยกเว้น พระอรหันต์ จะยอมรับในกฎแห่งกรรม หรือไม่ยอมรับก็ตาม มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้น ผู้ฉลาดจะต้องสนใจการสร้างกรรมของตนเอง และพยายามกำกับการสร้างกรรมของตนนั้นให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติจึงไม่ใช่การนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม อย่างเดียว แต่การปฏิบัติอยู่ที่การพยายามอยู่กับตนเองในปัจจุบัน ความพยายามที่จะทำหน้าที่ของตนโดยไม่เป็นทุกข์ และไม่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้คนอื่น ทั้งผู้ที่เกิดแล้วและยังไม่เกิด ตัวอย่างของการสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่คนที่ยังไม่เกิด คือการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจะมีผลทำให้คนที่ยังไม่เกิดคือลูกของเรา หลานของเรา เหลน โหลน ที่ยังไม่เกิด ต้องทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นความโหดเหี้ยมที่เรามักจะมองข้าม
การฝึกปฏิบัติควรมองชีวิตเป็นการท้าทาย ว่าทำอย่างไรจะได้ทำหน้าที่ของเราโดยไม่เป็นทุกข์ ทำอย่างไร จึงจะไม่ให้การทำหน้าที่ของเราเสียความสมดุลของจิต ทำอย่างไร จึงจะอยู่ด้วยสติปัญญา ท่ามกลางคนที่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ทำอย่างไร เราจึงจะดำรงชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตัว ท่ามกลางสังคมที่เห็นแก่ตัว ทำอย่างไร เราจึงจะได้เข้าถึงความเป็นปกติ ท่ามกลางสังคมที่พอใจและยินดีในความไม่ปกติ ชีวิตคือการท้าทาย ชีวิตที่มีการท้าทาย เป็นชีวิตทีสนุก มีรสชาติ เป็นชีวิตที่มีชีวา เพราะฉะนั้น คนที่วิ่งตามอารมณ์อยู่ตลอดเวลา วิ่งไปหาความสุขนอกตัวอย่างกระเสือกกระสน ดิ้นรน คนอย่างนี้มีชีวิตที่ถูกคุกคามด้วยความรู้สึกซ้ำซากจำเจ อยู่ตลอดเวลา แล้วใจที่สุด เขาได้อะไร เขาได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็วกวนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ จะเลิศ ประเสริฐศรีสักเท่าไร ก็ไม่พ้นจากความเป็นรูป ไม่พ้นจากความเป็นเสียง ไม่พ้นความเป็นกลิ่น มันก็แค่นั้นเอง เราะไปวิ่งกระโดดโลดเต้นอะไรกับมันนักหนา