ชีวิตคืองาน งานคือชีวิต.....
Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
26 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
ในที่สุดก็ตั้ง ผบ.ตร.ได้..และคุยเรื่องการศึกษาไทย....

เวลาผมไปกรุงเทพ ผมชอบไปเดินตลาดนัดตามสถานที่ต่างๆ คลองถม คลองเตย พาหุรัด สำเพ็งฯลฯ เพราะการเป็นพ่อค้าต้องไปสืบเสาะว่า ที่ไหนขายอะไร ?? ราคาถูกๆจะได้ซื้อมาขายที่อุบล???แม้แต่ตลาดประตูน้ำ...ห้างพันทิพก็เดินบ่อย...

สมัยหนุ่ม(น้อย) ตลาดนัดที่สนามหลวง มีโอกาสที่ไปกรุงเทพเมื่อไร ก็ต้องไปเดินเมื่อนั้น ยังจำได้ว่า ครั้งที่ย้ายตลาดนัดจากสนามหลวงไปสวนจัตุจักร มีปัญหาไม่น้อย เพราะยุคนั้นรู้สึกว่า สวนจัตุจักร ไกลหลายเกิน...

แต่หลายปีต่อมาจนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่า ตลาดจัตุจักร(เจเจ หรือ จ.จ) นับวันเติบโตขึ้น อยู่เมืองไทยอยากได้อะไรต้องไป เจ.เจ.คำกล่าวนี้ไม่เกินจริง???..เค้าจึงมีวลีว่า.."คิดอะไรไม่ออก บอก เจ.เจ"...อิอิอิ

เพื่อนผมคนหน่ึงที่รับราชการบอกผมว่า อยากเติบโตในอาชีพนี้ ต้องมี ดวง ด้วย??? ผมถามว่า ..ดวงแบบไหน??? เพื่อนบอกว่า...ด..เด็กใคร..??? ว..วิ่งใคร??? และสุดท้าย ตัว..ง..??เพื่อนๆคงเดาออก.... ถ้าไม่มี "ดวง" ก็ไม่ต้องคิดเรื่องการเจริญก้าวหน้าใน อาชีพข้าราชการ..??? จริงๆแล้วผมก็เห็นด้วยนะ โดยเฉพาะตำแหน่งระดับสูงๆ ไม่ว่าผลงานจะดีขนาดไหน พอไปถึงซี 7 จะไปต่อก็เป็นเรื่องของดวงแล้ว..???

เมื่อวานนี้ ตำแหน่ง ผบ.ตร.ที่คาราคาชังก็หลุดพ้นคลอดได้เสียที...ผมกดคลิ๊กดูประวัติ ผบ.ตร.คนใหม่..ก็ได้ข้อมูลดังนี้...

พ.ศ. 2518 รอง สว.ผ.5 กก.สส.น.พระนครเหนือ

พ.ศ. 2519 รอง สว.ผ.ศึกษาอบรม กก.นผ.บก.อก.บช.น.

พ.ศ. 2521 รอง สว.ผ.1 กก.สส.น.พระนครใต้

พ.ศ. 2522 ผู้ช่วยนายเวร อธิบดีกรมตำรวจ

พ.ศ. 2524 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า รอง ผกก.)

พ.ศ. 2526 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า ผกก.)

พ.ศ. 2530 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า รอง ผบก.)

พ.ศ. 2533 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า ผบก.)

พ.ศ. 2537 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า ผู้ช่วย ผบช.)

พ.ศ. 2538 นายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า รอง ผบช.)

พ.ศ. 2539 รองหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า ผบช.)

พ.ศ. 2540 รองหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่าผู้ช่วย ผบ.ตร.)

พ.ศ. 2545 หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.)

พ.ศ. 2549 ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่

ก็เลยร้อง...อ๋อออออออออออ....

และตามข่าวเข้าไปอีกนิด...ข่าวบอกว่า..."ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงในที่ประชุมก็ไม่ได้ท้วงติงในเรื่องใด จึงใช้เวลาในการพิจารณาวาระนี้เพียง 15 นาทีและลงมติอย่างราบรื่น ด้วยมติเอกฉันท์ 8:0.."

นายกคงคิดในใจ.."ตรูรู้งี้ เสนอรองวิเชียร ตั้งแต่แรกซะก็สิ้นเรื่อง.."

ทีนี้หลายคนคงหายโง่ว่า ทำไม..นายกตั้ง ผบ.ตร.ได้สำเร็จ???? และต่อไปก็น่าจะเป็นบันทัดฐานว่า..เป็นตำรวจอยากเติบโตจนได้เป็น ผบ.ตร. ต้องไปอยู่ไหน???

..............................................................................................................................

จริงๆวันนี้คิดว่า จะคุยเรื่องการศึกษาไทย โดยจะเอาบทความที่อ่านแล้วชอบ(ปีที่แล้ว) มาแปะให้ทุกท่านได้อ่าน..

วิพากษ์ การศึกษาไทย(1)...การท่องจำไม่ดีจริงหรือ???

สังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหามากมาย ผู้คนต่างคนต่างคิด ต่างก็คิดว่าตนเองคิดถูกคนอื่นคิดผิด และบางคนก็แยกแยะไม่ออกด้วยซ้ำว่า อะไรถูกอะไรผิด ผมคิดว่าส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญยิ่งมาจากการปลูกฝังความคิดตั้งแต่เด็ก หรือมาจากการการให้การศึกษานั่นเอง เราต่างยอมรับว่า เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า เป็นกำลังของชาติในอนาคต แต่ผมรู้สึกว่า เรานอกจากจะปล่อยปละละเลยเด็กๆแล้ว เผลอๆระบบการศึกษาบ้านเรากำลังใส่ปัญหาเข้าไปในสมองเด็กด้วยซ้ำ มีคนเปรียบเทียบว่า เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวอยู่ที่เราจะแต่งเติม เราใส่สีไหนเด็กก็จะออกมาสีนั้น มีสุภาษิตของคนจีนบทหนึ่งที่ว่า “สังคมดี ทำผีเป็นคน สังคมเลว ทำคนเป็นผี” วันนี้เราเคยคิดไม๊ว่า สังคมเรา เป็นสังคมแบบไหน ดีหรือเลว ..???

หลายปีมานี้เราพยายามปรับปรุงและพัฒนาระบบการศึกษาไทย โดยมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งแล้วแต่ว่าจะได้คนไหนเข้ามาบริหารประเทศมีความคิดแบบไหน บางยุคก็เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตร บางสมัยก็เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ซึ่งผมคิดว่า เปลี่ยนแล้วดีจริงหรือ?? ผมจึงใคร่ขออนุญาตผู้ที่เกี่ยวข้องวงการการศึกษา ขอวิพากษ์การศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานีแห่งนี้...

สิ่งแรกที่ผมเห็นและไม่เข้าใจคือ ทำไมเด็กทุกวันนี้ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องท่องสูตรคูณ ไม่ต้องท่องบทอาขยาน จนกระทั่งไม่ต้องสวดมนต์ จนกระทั่งมีผู้รู้บอกผมว่า สิ่งเหล่านี้ที่เลิกไปเพราะไม่อยากให้เด็กท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ไม่อยากให้เด็กอยู่กับสิ่งเก่าๆอยากให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ผมฟังแล้วอึ้งเล็กน้อย ผมคิดว่าคนที่คิดแบบนี้น่าจะเรียนจบจากเมืองนอก(ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย) จึงไม่เห็นคุณค่าของการปลูกฝังให้เด็กคิดเป็นแบบไทยๆในอดีต..

ในความคิดผมแม้ว่าโลกวันนี้จะก้าวไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่สิ่งสำคัญคือ คนต้องรู้จัก “คิด”สมองของมนุษย์สามารถจดจำสิ่งต่างๆได้มากมายกว่าสมองกลที่มีหน่วยความจำสูงๆและที่สำคัญความจำจะสามารถนำมาเรียบเรียงเพื่อให้รู้จักคิด แยกแยะ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้ เรามาดูว่า สิ่งเหล่านั้นช่วยเด็กๆได้อย่างไร,,,

การท่องพยัญชนะทั้ง 44 ตัวมีส่วนสำคัญทำให้เด็กรู้ว่า ภาษาไทยมีพยัญชนะ 44 ตัวอะไรบ้าง ที่สำคัญอะไรก่อนอะไรหลัง หลายๆครั้งเราบอกว่า เด็กไม่เข้าใจภาษาไทย เขียนภาษาไทยก็สะกดไม่ถูกผมว่าส่วนหนึ่ง เพราะเด็กไม่รู้ว่าทำไมต้องใช้พยัญชนะตัวนี้ ตัวนั้นแตกต่างกับตัวนี้อย่างไร? และ เราจะภูมิใจในความเป็น ไทย ได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้มีคนไทยจำนวนมาก จำพยัญชนะไทยได้ไม่ครบทั้ง 44 ตัว..

การท่องสูตรคูณ ทำให้เด็กมีความจำที่มาของตัวเลข สามารถบวกลบคูณหารได้อย่างรวดเร็ว สามารถคิดได้อย่างว่องไว เมื่อถึงเวลาที่ต้องคำนวณตัวเลข แต่วันนี้เราจะเห็นเสมอๆว่า แม้แต่การบวกเลขไม่กี่หลัก คนที่จบระดับปริญญาตรีก็ต้องใช้เครื่องคิดเลข นอกจากนี้คณิตศาสตร์เองก็เป็นพื้นฐานของหลายๆวิชา เช่นวิชาฟิสิกส์ ที่ทำให้รู้และเข้าใจเรื่องของสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงในโลกนี้ เราบอกว่าเราต้องการให้เด็กรู้จักคิดสิ่งใหม่ๆ แต่สิ่งใหม่ๆจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต้องมาจากการมีพื้นฐานที่แน่นและฉลาดเฉลียวจึงจะทำให้รู้จักรวบรวม หรือแยกแยะสิ่งเก่ามาเป็นสิ่งใหม่ได้..ไม่ใช่หรือ??

บทอาขยานหลายบทในอดีต นอกจากจะมีความสละสลวยด้านภาษาแล้ว ยังให้ข้อคิดมากมาย วันนี้แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี ผมยังจำบทท่องจำพระอภัยมณี ตอนฤษีไปช่วยสุดสาคร ในบทที่ว่า”บัดเดียวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว...แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ยังไม่คดเหมือนหนึ่งน้ำใจคน” หรือ บทท่องจำในเรื่องเวนิสวานิส ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่6 ที่ว่า”อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน.......”ผมคิดว่า การที่ให้เด็กท่องบทกวีที่มีความหมายดีๆ นอกจากจะให้ข้อคิดที่ดีแล้ว ที่สำคัญอีกประการหนึ่งเราก็ได้ช่วยกันดำรงเอกลักษณ์ของภาษาไทย ให้เด็กได้รู้จักการนำวิธีใช้คำให้คล้องจองไปคิดไปเขียน..

เราบอกคนทั้งโลกว่าเราเป็นเมืองพุทธ เรานับถือศาสนาพุทธ แต่เด็กวันนี้แม้แต่ระดับจบปริญญาตรีก็ท่องศีล 5 ไม่ได้ อย่าไปพูดถึง อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 ว่าคืออะไร?? หากเด็กขาดหลักยึดทางศาสนาไม่รู้ว่า การเป็นพุทธศาสนิกชนนั้นต้อง คิดอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร? เราจะให้สังคมเราสงบสุขได้อย่างไร??

ผมเชื่อว่า การปลูกฝังสิ่งดีๆด้วยการให้เด็กท่องจำเป็นการสร้างพื้นฐานของการคิดขึ้นมา เหมือนที่เค้าว่า เป็นการสร้างรอยหยักในสมอง วันนี้จึงน่าเสียดายที่เด็กเอาสมองที่ควรจะจำสิ่งดีๆแต่กลับเอาสมองและเวลา ไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น ไปเล่นเกมส์ เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้วันหนึ่งข้างหน้า คนไทยอาจจะลืมภาษาตนเอง ลืมเอกลักษณ์ของตนเอง ที่สำคัญคือ คิดไม่เป็น บวกลบคูณหารไม่เป็น ต้องอาศัยแต่เทคโนโลยีรอบตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้..เพราะแค่เรา(บางคน)ไม่อยากให้เด็ก.มานั่งท่องสูตรคูณ ท่องบทอาขยาน เพราะคิดว่า มันล้าสมัยคร่ำครึ...

ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราต้องการที่สุดคือ ทำอย่างไร ลูกหลานเราจะเป็นคนฉลาด ทันโลกทันคนทันเหตุการณ์ แต่วันนี้ผมคิดว่า เราสอนเด็กอย่างสะเปะสะปะ เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ อยากให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ เรียนคณะดังๆที่จบมาแล้วได้เงินเดือนมากๆ แต่ถามว่าเราเคยเหลียวกลับมาดูไม๊ว่า เด็กทุกวันนี้ได้ใช้ชีวิตในวัยเด็ก ที่ต้องเรียนรู้สิ่งรอบตัว ที่ต้องรู้จักการคบเพื่อน รู้จักเรียนรู้โลกที่มีธรรมชาติมากมาย หรือจะเอาเวลาแต่อยู่ในห้องเรียน เรียนจากโรงเรียนเสร็จแล้ว ก็มาเรียนพิเศษอย่างเอาเป็นเอาตายแบบทุกวันนี้. จนมีผู้ถามเสมอๆว่า วันนี้เราเน้นแต่ปัญญา(ไอคิว) แต่ไม่สอนเรื่อง ความคิดทางจิต(อีคิว).และคนที่มีแต่ปัญญาทางสมอง แต่ขาดปัญญาทางจิตใจ จะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้อย่างไร???

มีผู้รู้บอกว่า ทุกวันนี้ คนไม่ได้เป็นคนกำหนดโลก แต่โลกถูกกำหนดโดยระบบเศรษฐกิจ หลายสิ่งเปลี่ยนไป หลายคนเปลี่ยนไปเพราะเศรษฐกิจ ระบบการศึกษาก็เช่นกัน วันนี้การศึกษาไม่ได้เป็นสิ่งที่ให้แก่กันเพราะ ความอยากให้คนอื่นเป็นคนดี แต่ส่วนใหญ่จะให้กันเพราะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อที่จะมีความสุขสบายมากขึ้น ความผูกพันระหว่าง ครูกับลูกศิษย์ นับวันเสื่อมถอยลง...

อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์ครั้งนี้ก็เป็นความรู้สึกส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินครูบาอาจารย์แต่ประการใด หากมีข้อความใดที่อาจผิดพลาดไปเพราะขาดข้อมูลที่เป็นจริงก็กราบขออภัย ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่หากบทความนี้เป็นผลดีต่อการศึกษาไทยโดยเฉพาะแด่เด็กๆในจังหวัดอุบลราชธานี ผมก็ขอยกความดีนี้ให้กับครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิประสาทวิชาให้กับผมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน... ฉบับหน้าโปรดติดตาม วิพากษ์การศึกษาไทย(2)..อคติบังตา...สวัสดีครับ... ..................................................................................................................................

เมื่อวานนี้ใช้กิ๊ฟอันสุดท้ายหมดไปแล้ว แต่ก็ได้ไปทำข้อตกลงกับ คุณ สุด ที่ รัก เอ๋ย คุณหญ้าสึเขียว และอีกท่าน(ที่วันนี้คงได้คำตอบ)ว่า จะใช้กิ๊ฟร่วมกัน ใครคนใดคนหนึ่งให้ ก็ถือว่าให้ร่วมกันทั้ง 4 คนเพื่อให้มีกิ๊ฟใช้ให้ครบเดือน ...ก็ต้องขอขอบคุณ คุณ สุด ที่ รัก เอ๋ย และคุณหญ้าสีเขียว ที่ได้ยินดีมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้.... ..................................................................................................................................



Create Date : 26 กันยายน 2553
Last Update : 26 กันยายน 2553 16:01:38 น. 0 comments
Counter : 430 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนอุบล
Location :
อุบลราชธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เกิดอุบล.เรียนจบแค่ ปริญญาตรีที่ มข...
ทำงานส่วนตัวเป็นนักธุรกิจที่อุบล....
ที่คิดว่าโลกของตนเอง..คือธรรมะ..
และชอบศึกษา..ชอบอ่าน..ชอบท่องโลก....
คิดว่าจนเองโชคดีที่ได้เกิดที่เมืองไทย..ที่อีสาน..และที่อุบลราชธานี..
"ดินแดนแห่งธรรมะ..และน้ำใจไมตรี..."

free web counter stat counters
New Comments
Friends' blogs
[Add คนอุบล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.