Day 4 อีกหนึ่งวันสุขสันต์ในเกียวโต (์Nijo-Kinkakuji-Arashiyama)

เป็นอีกหนึ่งวันที่ยังเที่ยวในเกียวโต และก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ใช้ Kyoto bus pass เป็นหลักในการเดินทางค่ะ
เริ่มโปรแกรมด้วยอาหารเช้าที่ร้าน Yayoiken อยู่เยื้องกับที่พัก
อารมณ์เหมือนทานร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีหลายสาขาในเมืองไทย
ต่างกันที่ตอนสั่งอาหารต้องไปกดเมนูจากตู้สั่งหน้าร้านแล้วเอาให้พนักงาน พอทำเสร็จเค้าจะมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะค่ะ
รสชาติธรรมดาๆ ไม่ต่างกับที่กินเมืองไทย แต่เครื่องเคียงเปลี่ยนจากกิมจิเป็นเต้าหู้ ผักดอง หรือนัตโตะแทน


จากนั้นก็เริ่มเที่ยว..
ปราสาทนิโจ ทางเข้าดูหนักแน่น จริงจัง ขึงขัง ประตูเข้าปราสาทชั้นนอกสุด Higashiote-mon


เข้ามาต่อสู่บริเวณปราสาทชั้นที่ 2 ผ่านอีกประตูนึง สวยงามกว่าประตูด้านนอก มีชื่อว่า Kara-mon


รู้สึกว่าที่นี่จะเจอนักเรียนมาทัศนศึกษาเยอะ สงสัยมาพร้อมกันทั้งชั้นเรียนแน่เลย


ปราสาทนิโจ สร้างขึ้นในสมัยโชกุน Ieyasu Tokugawa เป็นโชกุนที่มีความสำคัญมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
เพราะเป็นโชกุนคนแรกในยุคสมัย Tokugawa หรือที่เราจะคุ้นหูกันมากกว่าในยุคสมัยเอโดะ (Edo) นั่นเองงง
ถ้าใครเคยไปเที่ยวนิกโกะ แล้วได้ไปดูรูปสลักลิงน้อยปิดหูหิดตาปิดปากที่ศาลเจ้าโทโชคุ ที่นั่นก็สร้างเพื่อโชกุนท่านนี้เช่นเดียวกันค่ะ

บริเวณด้านหน้า Ninomaru palace ที่นี่เปรียบเสมือนออฟฟิศของท่านโชกุน ด้านในห้ามถ่ายรูป


มีความมหัศจรรย์อย่างนึง เวลาเดินเข้าไปด้านใน พื้นไม้จะส่งเสียงดังเหมือนเสียงนกร้องค่ะ ไม่ได้ดังแบบเอี๊ยดๆอ๊าดๆธรรมดานะจ้ะ
เดินออกมาต่อที่สวน Ninomaru อาจจะสวยสู้สวนญี่ปุ่นตามวัดทั้งหลายไม่ได้นะคะ


ข้ามคูน้ำชั้นในเพื่อเข้าสู่ส่วนในสุดของปราสาท


Honmaru palace


สามารถไต่ขึ้นไปบนกำแพงปราสาทเพื่อชมวิวมุมสูงได้นะ


ช่วงเดินกลับออกมาจะผ่าน Plum grove หรือสวนดอกบ๊วยซึ่งบานในช่วงนี้พอดี


มีคนมานั่งวาดรูปถ่ายรูปกันพอประมาณ สังเกตว่ามีแต่ผู้สูงอายุ


สถานที่ต่อไป...วัดทอง หรือวัด Kinkakuji
วัดนี้สร้างขึ้นในยุค Muromachi เก่าแก่กว่าสมัยเอโดะประมาณ 300 ปี
ในตอนแรกสร้างเพื่อเป็นบ้านพักของโชกุนท่านหนึ่ง แต่ต่อมาหลังจากโชกุนเสียชีวิตลงภายหลังถึงเปลี่ยนเป็นวัดเซน
โดยโชกุนท่านนี้เค้าว่ากันว่า เป็นโชกุนคนเดียวกับที่อยู่ในเรื่องอิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา คนที่ชอบหาปริศนามาให้อิคคิวซังแก้ปัญหาอยู่เป็นประจำนั่นแหละค่ะ


จริงๆแล้วตัวตำหนักสีทองที่เห็นกันอยู่เนี่ย เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ไม่กี่สิบปีนี่เอง ส่วนอาคารเดิมนั้นถูกเผาไปเมื่อปี 1950
เดินสวนของวัดนี้แล้วไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจซักเท่าไหร่ แบบว่า...คนเยอะเกิ๊นนน
ทั้งๆที่สวนของวัดทองนี่ถือว่าเป็นสวนที่จัดวางภูมิทัศน์ให้เดินชมได้อย่างเพลิดเพลินอีกแห่งนึงในเกียวโต


เรียกว่านักท่องเที่ยวเดินกันจนฝุ่นตลบจริงๆค่ะ สำหรับที่นี่ แนะนำให้ไปตั้งแต่เก้าโมงตอนเปิด หรือไม่ก็ไปใกล้ๆเวลาปิด คนน่าจะซาลงกว่านี้

มุมสำหรับตกปลา (Fishing deck) สร้างยื่นออกไปในสระ Kyoko-chi เกาะเล็กๆที่เห็นใกล้ๆกันมีชื่อว่า Dekame-jima


สวนญี่ปุ่นที่นี่เป็นแบบ Strolling garden หรือสวนที่มีไว้เดินชมแลนด์สเคปจากมุมนู้นมุมนี้ ทางวัดก็จะจัดให้เราเดินวนขึ้นเขาลงห้วยจนมาถึงทางออก
เป็นวันเวย์นะคะ เดินมากะว่าเห็นตำหนักทองแล้วเดินกลับเลย เกรงว่าจะไม่ได้นะ

จากนั้นเราก็กลับมากันที่โรงแรมที่เกียวโตเก็บข้าวของที่ฝากไว้ที่ลอบบี้ เพื่อจะไปเชคอินโรงแรมใหม่กัน
ซึ่งโรงแรมที่เราจะไปนอนพักกันในคืนนี้ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริป คือเราอยากให้ทุกคนที่บ้านได้ลองประสบการณ์ออนเซนบ้างไรบ้าง
แต่คิดว่าถ้าไปออนเซนแบบห้องรวม แม่เราคงไม่มีวันยอมลงแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจนอนโรงแรมที่มีออนเซนส่วนตัวซักคืนเพื่อจุดประสงค์นี้

ที่นอนใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลค่ะ Arashiyama Kadensho Hotel อยู่ที่อะราชิยามะ หาง่ายสุดๆอยู่หน้าสถานีรถไฟ Hankyu Arashiyama เลยจ้า
แต่ยังไม่รีบเข้าโรงแรมนะ ขอไปเที่ยวกันก่อน


ชิวมาก เดินผ่านสวนสาธารณะ ในอีกไม่กี่วันแถวนี้ก็จะมีซากุระบาน


แค่ได้มานั่งดูผู้คนก็เพลินแล้ว


บ่ายสองกว่าแล้ว แต่ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลย -_-"
เดินสุ่มๆเอาร้านที่คิวไม่ยาว และยังเปิดขายอยู่
(หาร้านอาหารช่วงบ่ายสองบ่ายสามค่อนข้างยากเพราะเป็นช่วงปิดร้านแล้วค่ะ ก่ำกึ่งระหว่างร้านขายอาหารกลางวันและอาหารเย็น)
เราได้ข้าวหน้าไข่มาทาน ไข่ล้วนๆราดไปบนข้าว รสกลางๆค่ะ ไม่ประทับใจเป็นพิเศษ
(วันท้ายๆอาหารธรรมดาขึ้นเรื่อยๆ ลิสต์ร้านอร่อยที่เตรียมมาเริ่มไม่ได้ใช้ --)


เดินไปเที่ยวป่าไผ่กันก่อนเลย
(ตอนแรกจะไปวัดเทนริวจิด้วย แต่ดูจากเวลาจะเที่ยวได้แค่แป๊บเดียวก็จะถึงเวลาปิดเลยยกยอดเป็นวันพรุ่งนี้ดีกว่า)


มีสาวแต่งตัวเป็นไมโกะหรือเกอิชาก็ไม่รู้ เดินนำหน้าช่วยสร้างบรรยากาศ นึกถึงหนังเรื่อง Memoirs of a Geisha ขึ้นมาเลย


ที่นี่ไม่มีข้อมูลอะไรในหัว หามุมถ่ายรูปอย่างเดียว มุมสวยแบบแปลกๆลึกลับๆเยอะเลยค่ะ




บรรยากาศอะราชิยามะยามเย็น วันนี้อากาศดีมาก อากาศแค่เย็นๆ




ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว เราจองห้อง twin ให้สำหรับสามีและแม่ของสามี ส่วนบ้านเรา 4 คนก็นอนห้องสำหรับสี่คนค่ะ
ตอนแรกนึกว่าห้องสี่คนจะดูธรรมดาๆกว่านี้ เพราะหารเฉลี่ยต่อคนแล้วถูกกว่าห้อง twin เปิดห้องพักแล้วถึงกับกรี๊ดเล็กๆ ห้องสวยมาก ไม่เคยได้นอนดีๆแบบนี้อ่ะ




ไว้จะมารีวิวที่พักเต็มๆแยกไปอีกบลอกเลยนะคะ (เพราะแค่นี้บลอกก็ยาวมากกกแล้ว)

ที่นี่มีบ่อออนเซนทั้งแบบห้องรวม หรือจะนั่งรอห้องส่วนตัวก็ได้ เปลี่ยนเป็นชุดที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ เตรียมไปแช่ออนเซน


แบบบ่อส่วนตัวมีอยู่ 5 ห้อง อาจจะต้องนั่งรอห้องว่างกันซักพัก
ดูจากป้ายไฟนี้ ถ้าห้องไหนไฟสัญญาณดับก็เดินไปเข้าได้เลยค่ะ


ขนาดว่าเป็นบ่อให้ลงส่วนตัว เรายังต้องกล่อมแม่พักใหญ่กว่าจะยอมไปลง (ถ้าไม่ยอมลงจริงๆ เราคงแอบเสียดายตังเหมือนกัน จองตั้งแพง)
อาจจะไม่ใช่ออนเซนแบบจริงๆแบบของดั้งเดิมซักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ประทับใจกลับไปทุกคนนะ ^^

มาถึงอาหารเย็น มื้อนี้ทานกันที่โรงแรมค่ะ รวมกับค่าที่พักไปแล้ว
ต้องลงมาทานที่ห้องอาหารค่ะ ของกลุ่มเราได้ห้องส่วนตัว


อาหารมาเสิร์ฟหลายจานมาก ไม่ค่อยรู้ว่าจานไหนคืออะไรซักเท่าไหร่ เพราะพนักงานประจำห้องเราสื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลย
เห็นมาอย่างละนิดละหน่อย แต่ก็อิ่มนะ เราสงสัยเล็กๆว่าเค้าไม่มีข้าวให้มาทานด้วยเหรอ แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะเริ่มเหนื่อยกับการใบ้คำแล้ว แหะๆ


ปิดท้ายด้วยของหวาน


พอกลับขึ้นห้องทางโรงแรมโทรขึ้นมาบอกขอโทษที่พนักงานลืมเสิร์ฟข้าวให้กับโต๊ะเรา
เราว่า.. น้องพนักงานก็คงเหนื่อยกับการสื่อสารกับชาวต่างชาติกลุ่มนี้เหมือนกันแหละเนอะ



Create Date : 28 เมษายน 2557
Last Update : 28 เมษายน 2557 17:08:36 น. 0 comments
Counter : 1798 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
 
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
28 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.