Day 1 แรกพบที่ฟลอเรนซ์

ฝันที่เป็นจริง เลยก็ว่าได้สำหรับทริปนี้
และขอบอกเป็นครั้งที่ร้อยว่า สำหรับเรา อิตาลี เป็นประเทศที่อยากมาสุดๆแล้วจริงๆ 

 
พอจบทริปกลับไทย เหมือนได้เช็คสิ่งที่อยากทำก่อนตายออกไปอีก 1 ข้อ ...เป็นยุโรปครั้งแรก ...เที่ยวเมืองนอกคนเดียวครั้งแรก ก็ไม่ได้วางแผนจะไปคนเดียวแต่แรกหรอก แต่เพื่อนที่คุยว่าจะไปด้วยกัน เค้าไม่สะดวกจะไปแล้ว ...เราก็เลย เอาวะ...ไปคนเดียวก็ดีเหมือนกัน จะได้เที่ยวแบบเนิร์ดๆให้เต็มที่ เข้ามิวเซียม เข้าโบสถ์ ตามรอยนิยายให้สาแก่ใจ ก่อนไปก็กังวลเรื่องโจรขโมยอยู่ แต่ก็รักษาเนื้อตัวข้าวของไว้ได้เกือบหมด ยกเว้นหมอนรองคอที่ลืมทิ้งไว้บนเครื่องตอนถึงเมืองไทยแล้วนั่นแหละ ฮึ้ยยย
 
ไปเที่ยวช่วง 29 กันยา - 7 ตุลา เป็นช่วงปลายหน้าร้อน จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังดี กลางวันอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสกลางๆ กลางคืนหนาวสุดก็ 17-18 C มีบางวันเจอฝน ตกหนักมาแบบโคร้มมม 1-2 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาสดใสแดดจ้า แต่งตัวแบบอยู่เมืองไทยได้เลย พกร่มไปด้วย แต่สารภาพว่าวันที่ฝนตกไม่พกร่มไปซักวัน ฮือออ.. กรมอุตุอิตาลี คุณหลอกดาววว
 
และนี่คือข้าวของทั้งหมดที่พาไปเที่ยวด้วยกัน พยายามจะ travel light กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยจะไหว มีกระเป๋าลาก 20 นิ้ว หนักไม่ถึง 10กก. เป้เดย์แพ็ค กระเป๋าสะพายข้าง และ หมอนรองคอที่จากไป..
 
 
บินตรงกับการบินไทย ตอนเที่ยงคืนนิดๆของวันที่ 29 พี่ที่บริษัทจองตั๋วย้ำนักย้ำหนาว่าไปเช็คอินวันที่ 28 นะคะ
เวลาเครื่องออกแบบนี้ คงมีคนสับสนวันออกเดินทางอยู่บ่อยๆ ใช้เวลาบิน 11 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างนั้นก็ดูหนังจบไป 3 เรื่อง และใช่ค่ะ... ไม่ได้หลับเลยค่ะ


 
มาถึงสนามบิน Fiumicino ตอนเจ็ดโมงเช้า แบบมึนๆ แล้วก็เจอความอะเมซซิ่งแรก ... แถวตรวจคนเข้าเมือง
 
ที่นี่ ไม่ต้องกรอก immigration card เดินตามเค้ามาเรื่อยๆจะเจอเจ้าหน้าที่คอยแยกผู้คนผ่านเข้าเมืองตามเชื้อชาติอยู่ เห็นที่ผ่านแบบชิล เดินลิ่วแยกไปอีกทาง คือ EU citizen ส่วนคิวสั้นๆ ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ต้องขอวีซ่าก่อนมา เช่น คนอเมริกัน แคเนเดียน เกาหลี มาเลย์ เป็นต้น ...และแน่นอนค่ะ คิวยาวสุดชนะเลิศก็ต้องเป็นแก๊ง ชาวจีน ชาวอินเดีย รวมถึงชาวไทยอย่างเราๆ 

ยืนรอคิวอยู่ 2 ชั่วโมง แบบไม่มีห้องน้ำ ไม่มีแอร์ คนแน่นมาก ร้อนจนเหงื่อไหลตัวเปียก พอได้เข้าช่อง ตม. เจ้าหน้าที่ก็มัวเม้าท์กัน ไม่ถามอะไรซักคำ มองหน้าแว่บนึง แว๊บบบเดียวจริงๆ แล้วก็ประทับตราให้ ... จากที่คิดมาก่อนว่า ลงเครื่องแล้ว จะจ่ายเงินเข้าเล้าจ์ แล้วงีบรอเวลาขึ้นรถไฟ ก็กลายเป็นว่าผ่านตม.เสร็จ รับกระเป๋า จัดการนู้นนี่ ก็ไปรอขึ้นรถไฟได้เลย ...ก็ดีประหยัดเงินเข้าเลาจ์ไป

วันแรก ถึงแม้ว่าจะนั่งเครื่องบินมาลงสนามบินโรม แต่เราจะนั่งรถไฟต่อไปเมืองฟลอเรนซ์ก่อน จากสนามบิน FCO มีรถไฟสายตรงไปฟลอเรนซ์วันละ 2 เที่ยว มีรอบประมาณ 8 โมงเช้า กับรอบที่เราจองคือ 11 โมง เป็นรถด่วน Frecciarossa นอกนั้นต้องนั่งรถไปเปลี่ยนสายที่ Roma Termini หรือ Roma Tiburina ก่อน ซึ่งดูจะเป็นวิธีที่ยืดหยุ่นมากกว่าที่เราใช้

ว่าด้วยชื่อรถไฟของ Trenitalia ในตระกูล Le Frecce จะมี
Frecciarossa > ลูกศรแดง วิ่งบนทางรถไฟความเร็วสูง วิ่งเร็วสุด 360km/h วิ่งผ่านหัวเมืองหลัก จากตูรินสู่ซาแลร์โน
Frecciargento > ลูกศรเงิน วิ่งเร็วสุด 250km/h เส้นทางวิ่งครอบคลุมหลายเมือง เวนิส หรือลงใต้ต่อไปเกาะซิชิลีได้
Frecciabianca > ลูกศรขาว วิ่งทางรถไฟธรรมดา ทำความเร็วสูงสุดได้ 200km/h 

เราจองตู้พรีเมี่ยม เพราะตอนจองราคาแพงกว่าตู้อีโค่แค่ 1 ยูโร สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือ ที่นั่งเป็นเบาะหนัง (เพื่อออ...) หนังสือพิมพ์ (อิตาลีล้วนอ่านไม่ออก) ที่สำคัญที่สุดคือมีขนมกรุบกริบ น้ำดื่ม และซอฟท์ดริ้งมาเสิร์ฟจ้า คนน้อยนั่งสบายมากค่ะ แต่ก็ไม่กล้าหลับ นั่งหยิกแขนตัวเองเป็นพักๆ กลัวเผลอหลับแล้วโดนยกเค้า

 


กระเป๋าลาก 20 นิ้ว เอายัดใต้ที่นั่งได้ ไม่ต้องกลัวหาย



ออกตัวไว้ตั้งแต่ตรงนี้ ว่ารูปทริปนี้้คือ เยินสุดในรอบสิบปี ด้วยความจะทราเวลไลท์ เลยพกแค่โกโปรกับมือถือ
ผลที่ได้...ก็ตามมีตามเกิดกันไป

แล้วก็มาถึงฟลอเรนซ์ซะที ที่ซุกหัวนอนสำหรับ 3 คืนในฟลอเรนซ์ คือ Hostel Archi Rossi ทั้งราคาถูก สะอาด ทำเลใกล้สถานีรถไฟ Firenze SMN มาก แบบเดิน 5 นาทีถึง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีอาหารเช้าฟรี ก็คือดีทุกอย่าง เท่าที่นักท่องเที่ยวเกรดบัดเจ็ทจะต้องการ ข้อเสีย.. คงจะเป็นความแมส ใครๆก็แนะนำที่นี่ แต่ช่วงที่เราไปพักไม่ยักเจอคนไทยนะ 
 


นอนห้องรวม 4 เตียง ราคารวม city tax ตกอยู่ที่ 25 ยูโรต่อคืน 
ในห้องก็คือ มี bunk bed ตั้งอยู่ 2 หลัง มีล็อคเกอร์เก็บของ ห้องน้ำในตัว ที่เริ่ด คือมีสายฉีดก้นให้จ้า 



รูมเมทก็สับเปลี่ยนหน้าไปในแต่ละวัน สนุกมาก นอนแค่ 3 คืน แต่ได้คุยกับเพื่อนใหม่จากรอบโลก และทุกคนเป็นผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น คุณน้าวัย 52 จากอาร์เจนติน่า ที่พูดอังกฤษไม่ได้เลย สแปนิชโอนลี่ เราคุยกันผ่านแอปแปลภาษาในมือถือ รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องส่วนใหญ่ / น้องเกาหลีที่เพิ่งโดนแก๊งไถเงินแถวดูโอโม่ไป 100 ยูโร / สวัตตีสาวอินเดียที่เป็นมิตรเว่อร์ๆ / อันนาสาวรัสเซียทำให้เราเข้าใจว่า effortless chic มันเป็นอย่างไร

ลืมภาพโฮสเทลฝรั่งตัวเหม็น ใส่เสื้อผ้ามอมๆไปเลย เราว่าที่นี่เหมือนหอพักในมหาวิทยาลัยมากกว่านะ มีคัลเจอร์ช็อคนิดหน่อย เวลาเห็นฝรั่งสาวๆเค้าถอดเสื้อผ้าในห้องกันแบบชิลๆ และทุกคนที่เจอ จะช็อคตอนที่เราบอกว่า มาเที่ยว 9 วัน เพราะคนอื่นเค้ามาเที่ยวแบบคอมโบ 20 วันขึ้นไปทั้งนั้น

วิวด้านนอกหน้าต่างห้องพัก ชอบบรรยากาศที่ฟลอเรนซ์อีกอย่าง คือ ทุกเช้า ทุกเย็น จะได้ยินเสียงระฆังจากโบสถ์นู้นโบสถ์นี้้ ตีไล่ๆกันมา คล้ายๆกับตอนอยู่บ้านเราที่จะได้ยินจากวัดอย่างนั้นแหละ

 


มีอาหารเช้าฟรี ให้ตักเอง ก็ไม่หรูหราหรอก แต่ก็ทำให้อิ่มท้องก่อนไปเที่ยวได้อยู่



ตรอกด้านหน้าโรงแรม ไปค่ะ.. ไปเที่ยวซักที



เดินผ่านตลาด Mercato Centrale ซอยด้านนอกมีขายเครื่องหนัง ของขึ้นชื่อของฟลอเรนซ์เค้าล่ะ



Medici chapel เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหาร San Lorenzo เค้าว่าด้านในชาเปลตกแต่งอลังการมาก เพราะเป็นชาเปลประจำตระกูลดังและรวยโคดๆอย่างเมดิชี 



มหาวิหารประจำเมืองฟลอเรนซ์ค่อยๆปรากฎชัดขึ้นตรงหน้า



ที่นี่ทำให้เราอยากมาอิตาลีมากที่สุด ที่มหาวิหารประจำเมืองฟลอเรนซ์ Basilica di Santa Maria Del Fiore 
สูงขึ้นไปที่โดมหลังคาอิฐสีแดงนั่น Brunelleschi's Dome

ถ้ามาเที่ยวกับคนอื่น ไม่รู้ว่าเราจะอินได้ขนาดนี้มั้ย
แต่วันนั้นที่เราได้เห็นภาพนี้ ครั้งแรก... น้ำตาเราไหล ในที่สุด ก็ได้เจอกันซักที 


นึกถึงตอนคุยกับสาวเกาหลี ถึงจะโดนปล้น โดนหลอกไถเงิน แต่การได้มาในสถานที่ที่ใฝ่ฝันถึง มันไม่มีอะไรจะต้องเสียดายเลย
 
เอิ่ม...ว่าแล้วก็หยุดซึ้ง แล้วก้มหน้ามองพื้นก่อน เดี๋ยวเผลอไปเดินเฉียดเดินเหยียบรูปใครเข้า เสียเงิน เสียขวัญตั้งแต่วันแรกคงไม่ดีเท่าไหร่

*ขอขยายเรื่องสแกมนี้หน่อย* เผื่อใครไปเที่ยวจะได้ระวังตัวกันไว้
ก่อนไปเที่ยว เพิ่งดูคลิปใน youtube ของ Herald Baldr เกี่ยวกับสแกมเหยียบรูปที่ฟลอเรนซ์ กดดูได้ ที่นี่

 
ก็ไม่นึกว่าจะได้มาคุยกับผู้ประสพภัยตัวเป็นๆนะ โดยเล่ห์กลนี้คือ จะมีคนมารุม โวยวาย เรียกเงิน บอกว่าเราไปเดินเหยียบรูปภาพที่วางบนพื้นของเค้าเสียหาย ซึ่งเดินเหยียบจริิงรึปล่าวก็ไม่รู้ ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายอยู่ราว 100-400 ยูโร จุดเกิดเหตุ มักอยู่บริเวณที่นักท่องเที่ยวกำลังแหงนหน้ามองความสวยงามที่อยู่สูงขึ้นไป เช่น ลานรอบๆฟลอเรนซ์ดูโอโม่ สะพานเวคคิโอ ดังนั้นอย่ามัวมองบนเพลิน ก้มกวาดสายตามองพื้นด้วยนะจ้ะ
อีก 15 นาที จะถึงเวลารอบจองเข้ามิวเซียม แต่หิวมาก
 
ใกล้ๆมิวเซียมมีร้านแซนวิชชื่อดังของเมือง All'antico Vinaio
ดังขนาดที่ว่าในระยะ 20 เมตร เค้ามี 3 หน้าร้านเพื่อกระจายคิวคนมาซื้อ เรามาบ่ายสองกว่าๆ คิวยาวทุกร้าน ไม่มีทางได้กินภายใน 15 นาทีแน่นอน ไม่กินก็ได้ ชิส์
 
 

แผนสองต้องมา มีแซนวิชอีกร้านอยู่ใกล้ๆมิิวเซียมเช่นกัน คะแนนรีวิวดี ชื่อ Ino 
ปรากฎว่า อร่อยเฮ้ยย สั่งมั่วๆ ด้วยความลนเลยไม่ได้ถ่ายรูปที่ร้านมา แซนวิชชิ้นใหญ่กว่าหัวเราอีก กินรองท้องก่อนเข้ามิวเซียมแล้วยังเหลือ ก็ห่อเอากลับมากินต่อที่โฮสเทล คิดว่าที่ชอบเพราะแฮมที่ใส่มารสเหมือนแหนมเมืองไทย พอเป็นรสที่คุ้นเคยเลยกินง่าย แล้วรสเข้ากับชีส และน้ำผึ้งที่ใส่มาด้วยกันมาก ส่วนขนมปังก็แข็งๆเหนียวๆเป็นสไตล์แถวนี้อยู่แล้ว
 

มาเมืองที่รุ่มรวยด้วยศิลปะ วันแรกก็เข้ามิวเซียมประเดิม ด้วยความคิดที่ว่า เออ เดินในอาคารน่าจะสบายๆ ไม่โหดร้ายจนเกินไป คนมันเคยเข้าแต่มิวเซียมที่ไทย หารู้ไม่ว่า มิวเซียมเมืองนอกใหญ่โตมากกกก เดินจนต้องร้องขอชีวิต เมื่อไหร่จะถึงทางออก ฉันง่วงมาก ตาจะปิดแล้ว

Galleria degli Uffizi
โถงทางเดินยาวๆ เพดานลายดอก กับรูปประติมากรรมเรียงราย น่าจะเป็นมุมที่ถูกจดจำมากที่สุด




สำหรับเราดาวเด่นของอุฟฟิซี ขอยกให้ภาพวาดของ Sandro Botticelli
เราชอบ La Primavera มากกว่า Birth of Venus นะ ความชอบส่วนตัวล้วนๆ ชอบลายดอก




มองภาพที่เค้าวาด เราก็คิดในใจนะว่า Botticelli ไม่น่า straight ผู้ชายอะไรจะวาดภาพระบายสีได้พริ้วสลวยขนาดนี้ แบบอ่อนหวานมากจริงๆ กลับมาหาประวัติอ่าน(เนิร์ดมาก) ก็ดูท่าทางจะเป็นแบบที่เราคิด 

บางชิ้นงาน จะมีโมเดลจำลองอยู่ข้างๆ ให้ลองจับลองคลำได้



ดู Madonna and Child ไปหลายสิบเวอร์ชั่น

 
นี่ก็ Madonna and Child with Two Angels ผลงานของลิปปี ภาพนี้ถูกใช้เป็นรูปหน้าตั๋วเข้าอุฟฟิซี
 
 
ภาพวาดโดยราฟาเอล Portraits of Agnolo Doni and Maddalena Strozzi
เป็นภาพยอดฮิตของมิวเซียมอีกเช่นกัน เนื่องจากราฟาเอลได้วางองค์ประกอบของภาพนี้โดยได้อิทธิพลจากภาพโมนาลิซ่า ของเลโอนาโด ทั้งให้แบบเอียงตัวนิดนึง ไม่หน้าตรงแบบที่ผ่านมา มีภาพวิวมัวๆอยู่ไกลออกไป มือไม้ของนางแบบก็ยังวางคล้ายๆกัน
 


มาต่อภาพของเลโอนาโด ผู้สร้างแนวทางใหม่ของการวาดภาพในยุคนั้น
Annunciation เป็นภาพตอนที่เทวดานำข่าวมาบอกให้พระแม่มารีได้รู้ว่า จะเป็นผู้ให้กำเนิดพระเยซู

 
ลุงเลโอแกก็เป็นคนเนิร์ดชอบกายวิภาค ดูปีกนางฟ้าแล้วคิดว่าลุงน่าจะได้ต้นแบบมาจากสัตว์ปีกละแวกบ้านแน่ๆ อีกทั้งเทคนิค Sfumato ไล่เฉดวิวด้านหลัง ยิ่งไกลยิ่งหม่น เหมือนเมืองไทยตอนเจอฝุ่น PM 2.5
 


Doni Tondo
เป็นภาพวาดเพียงภาพเดียวของมิเคลันเจโลในฟลอเรนซ์ จุดเด่น คือ การโพสท่าแบบผิดธรรมชาติ บิดเอี้ยวไปด้านหลังของมาดอนน่าที่จะไปเอื้อมไปจับ her child ชื่อเรียกวิธีวาดภาพที่โพสท่าแบบนี้ แบบเน้นกล้าม เหยียดตึงต่างๆ คือ Mannerism จะเห็นแบบนี้อีกที ตอนแหงนดูเพดานของ Sistine chapel ที่วาติกัน ซึ่งก็พอจะเข้าใจ เพราะมิเคลันเจโลเค้าถนัดงานประติมากรรม  อาทิเช่น เดวิดไง ซึ่งจะโชว์ฝีมือกันที่กล้ามเนื้ออ่ะเนอะ เลยติดมางานวาดด้วย
 


มาชมพวกประติมากรรมบ้าง เฮอร์คิวลิสกะลังสู้กับเซนทอร์ งานชิ้นนี้เข้าโถงอุฟฟิซิมาปุ๊บก็เจอเลย



Laocoon and Sons 



ห้องสวยๆด้านในมิวเซียม เพดานสีกุ๊กกิ๊ก



ของจริงอลังการมาก โอ่โถงใหญ่โต กดเราให้รู้สึกเหลือตัวนิดเดียว



มุมมหาชน
ใครมาอุฟฟิซี ก็มาถ่ายมุมนี้ เห็นสะพานเวคคิโอ ทอดข้ามเหนือแม่น้ำอาร์โน ชั้นบนของสะพานมีทางเดินสำหรับ VIP Vasari Corridor ที่เชื่อมระหว่างวังปิตตีกับวังเวคคิโอ
 
สารภาพว่าตอนมาถึงคาเฟ่ของมิวเซียมนี่ดีใจมาก หมดแล้วใช่มั้ย ทางออกอยู่ไหนคะ
อ่อ...ไม่ใช่ มีทางเดินให้ไปต่ออีก ฮืออออ 
 

ต่อไปนี้วันแรกหลังจากลงเครื่อง จะไม่มาเที่ยวมิวเซียมอีกแล้ว ทั้งง่วงนอน ทั้งมึน ทั้งเจ็บขาด้วย
(เจ็บขานี่อีกวันก็หายเองเฉยเลย สงสัยนั่งท่าเดิิมบนเครื่องนานไป แหะๆ)


จากคาเฟ่มองเห็น Palazzo Vecchio ได้


มีห้องที่รวมผลงานเกี่ยวกับเมดูซ่า
ชิ้นนี้โดยคาราวัจโจ้ขาโหด วาดเมดูซ่าหน้าไม่สวยเลยอ่ะ




รูปแสงสวยๆ อุ่นๆ จากศิลปินแถบสแกนดิเนเวีย



La squattera



Still life ก็ดูเพลิน



ปิดท้ายอุฟฟิซี ด้วยสองสาวหน้ามึน โดยสกุลช่างฟงเตนโบล ฝรั่งเศส


ออกจากอุฟฟิซีก็แว่บมาเดินบนสะพานเวคคิโอต่อ ร้านที่ตั้งบนสะพานเป็นร้านเครื่องประดับทั้งนั้น ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เมืองนี้คนพาหมามาเดินเล่นก็เยอะ ถูกใจคนใจหมา เอ้ย คนรักหมาเป็นที่สุด จุดไหนที่นักท่องเที่ยวเยอะๆ จะเห็นทหารตำรวจมายืนดูแล ก็ทำให้อุ่นใจขึ้นนิิดนึงนะ
 


อากาศดีมาก แสงสวย ลมเย็น ผู้คนออกมานั่งเล่น พูดคุย คิสๆกัน เราเห็นก็พลอยยิ้มมีความสุขไปด้วย



เสียอย่างเดียว ตรงที่ไม่ได้นอนมา 40 ชั่วโมงแล้วนี่สิ
พอกลับถึงโฮสเทลคือสลบไปตั้งแต่ 2 ทุ่ม รู้ตัวอีกที 7 โมงเช้า ลาก่อย
 




 

Create Date : 11 มกราคม 2563
1 comments
Last Update : 14 มกราคม 2563 14:28:38 น.
Counter : 1208 Pageviews.

 

ตอนไปฟลอเร้นซ์จองที่นี่เหมือนกันค่ะ แต่เค้าให้ไปพักที่โรงแรมในเครือใกล้ๆกัน เป็นห้องส่วนตัว ตอนเช้ามีข้าวสวยให้ด้วย หลานสาวดีใจมากตักกินคู่ไข่ดาวทุกวัน

 

โดย: settembre 11 มกราคม 2563 18:51:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
<<
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 มกราคม 2563
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.