Get a scroller sign at http://www.glitteryourway.com
Group Blog
 
 
มีนาคม 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
16 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 

ฮ่องเต้พระองค์แรกแห่งปฐพีมังกร





เรื่องของฮ่องเต้ พระองค์แรกแห่งปฐพีมังกร พระนามของพระองค์เป็น ที่รู้จักกันสะท้านโลก ว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้” หรือ “ซิ วั่ง ตี่” (Shih Huang Ti) ทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์จิ๋น ขึ้นปกครองปฐพีจีนในฐานะที่เป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว มิได้แบ่งแยกอย่างแต่ก่อน...

พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินในขณะมีพระชนม์ น้อยนิดเพียง 13 ชันษาในปี 221 ก่อน ค.ศ. จึงจำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ต่อมาผู้สำเร็จฯเล่นคิดไม่ซื่อครับ จะฮุบบัลลังก์เอาเป็นของตนเอง หน้าตาเฉยยังงั้นแหละ ทว่า บุญญาธิการของจิ๋นซีนั้นมีมากมาย และเสนาบดีที่จงรักเล่าก็มีท่วมท้น อาศัยขุนนางผู้ภักดีเหล่านี้แหละครับ ปราบปรามฝ่ายกบฏ ที่นำโดยผู้สำเร็จราชการคนนั้นคือ หลู ปู่ ไว จนราบคาบ จิ๋นซีจึงได้เป็นกษัตริย์ปกครองปฐพีด้วยพระองค์เองสืบแต่นั้นมา

จิ๋นซีฮ่องเต้เป็นเจ้ายุทธจักรในยุคสมัยของพระองค์จริงๆ ทรงขยายอาณาเขตแว่นแคว้นออกไปกว้างไกลกว่าเดิมหลายเท่า โดยขยายลงไปทางใต้ ตีได้ดินแดนต่างๆรวมทั้งญวน และตังเกี๋ย อาณาจักรของพระองค์จึงนับว่ากว้างขวางยิ่ง ทรงย้ายนครหลวง จากเมืองลกเอี๋ยงไปยังนครเสียนหยัง (Xianyang) และทรงปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็งอยู่เสมอ ทรงรักทหารจนเลื่องลือเลยทีเดียวครับ

แม้ว่านักประวัติศาสตร์จีนจะบันทึกไว้บ่อยๆว่าทรงโหดร้ายทารุณเหลือกำลังก็ตามที แต่ถ้าพินิจดูแล้วก็เห็นว่า ในสถานการณ์อย่างที่ทรงเผชิญอยู่นั้น จำเป็นต้องใช้ความเข้มแข็ง เด็ดขาด ระคนด้วยความโหดอำมหิตบ้างละครับ จึงจะรวมประเทศ ได้เป็นปึกแผ่นยังงั้น ทรงใช้เวลานานถึง 20 ปีทีเดียวในการ ทำสงครามรบรับขับเคี่ยวกับอ๋องแห่ง แคว้นต่างๆจนศิโรราบ...จะเห็นว่า กว่าจะได้พระนาม “ฮ่องเต้” มานั้น ทรงเหนื่อยยาก สาหัสเชียวละครับ

เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งอื้อฉาวอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จีนก็คือ เรื่องการเผาตำรับตำราโบราณ โดยเฉพาะตำราของขงจื๊อโดนเผาเรียบเลยครับ ใครบังอาจขัดขืนไม่ยอมเผาตำราของขงจื๊อก็จะถูกเผาแทนตำราเสียเลย หรือบางทีก็สังหารเสียอย่างน่าสยดสยองนับร้อยๆคน





เรื่องนี้ มองผาดๆเหมือนกับว่าจิ๋นซีทรงมีพระทัยคับแคบ และรังเกียจลัทธิศาสนาที่ชาวจีนเคารพเลื่อมใส ดูเป็นการหักหาญน้ำใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่ไม่น้อย แต่ผมว่าทรงมีเหตุผลที่จำเป็นเลยทีเดียวในการกระทำเช่นนั้น...

ท่านผู้อ่านคงไม่ลืมว่า ขงจื๊อนั้นเกิดในยุคที่จีนปกครองแบบศักดินา บ้านเมืองแบ่งแยกเป็นแว่นแคว้นน้อยใหญ่มากมาย ลัทธิของขงจื๊อจึงสนับสนุนสิทธิและอำนาจของท่านอ๋องผู้เป็นเจ้าครองแคว้นอย่างยิ่งยวด ดังนั้น เมื่อจิ๋นซีทรงมีนโยบายรวบรวมจีนเป็นปึกแผ่น ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเลย เพราะอ๋องต่างๆล้วนอ้างลัทธิคำสอนของ ขงจื๊อในเรื่องสิทธิและอำนาจของเจ้าผู้ครองแคว้นมาเป็นเกราะกำบังตัวครับ

ในเมื่อตำราของขงจื๊อขัดขวางการรวมราชอาณาจักรดีนัก ก็เผาให้ราบเสียเลย มิให้แค้นคอกา...ทรงดำริยังงี้ละครับ จึงมีพระราชโองการในปี 213 ก่อน ค.ศ. (หรือ พ.ศ. 330) ว่า “หนังสือทุกเล่มทุกเรื่อง เว้นเสียแต่ตำรับยารักษาโรค ตำรากสิกรรมและตำราโหราศาสตร์ จงเผาเสียให้หมดสิ้น”

มีนักประวัติศาสตร์บางคนวิจารณ์ว่า การเผา ตำราครั้งนี้มีความสำคัญต่อราชวงศ์จิ๋นอย่างเจ็บปวด เพราะว่านำมาซึ่งกาลอวสานของราชวงศ์นี้หลังจากตั้งมาได้เพียง 53 ปีเท่านั้น ด้วยว่าอาณาประชาราษฎร์ ไม่พอใจอย่างหนักน่ะครับ พอสิ้นรัชสมัยของจิ๋นซี ฮ่องเต้ บ้านเมืองก็เกิดระส่ำระสาย เกิดกบฏขึ้นจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ แบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย และหลายแว่นแคว้นอีกครั้ง จนกระทั่งถึงอวสานลงอย่างสิ้นเชิงในปี 206 ก่อน ค.ศ.นั่นเองครับ

เรื่องราวของจักรพรรดิพระองค์แรกของจีนนี้ มีมากมายเสียจริงๆ และเป็นเรื่องใหญ่ๆทั้งนั้นด้วย ซีครับ อย่างเช่น เรื่องการขุดพบสุสานหรือฮวงซุ้ยของพระองค์ที่เมืองซีอานในปี ค.ศ. 1974 นับเป็นข่าวเกรียวกราวกันมาก เพราะว่าเขาขุดพบกองทัพทั้งกองทัพอยู่ในนั้นเลยครับผม!

จากการสำรวจพบว่านักรบที่ค้นพบนั้นเป็นทหารในชุดออกศึก ม้าและรถศึกโบราณทำด้วย ดินเหนียวผสมทรายปั้นแล้วเผาไฟ ที่เรียกกันในหมู่นักประติมากรรมว่า เทอรา คอทต้า (Terra Cotta) และรูปปั้นเหล่านี้ไม่ได้มีตัวสองตัวนะครับ เป็นทหารดินเผาเท่าคนจริงจำนวนถึงหกพันคน ม้าและรถศึกดินเผาเท่าของจริงอีกมากมาย การฝังเรียงรายเป็นระเบียบนั้นเล่าประดุจกองทัพทัพหนึ่งทีเดียว ผลสุดท้ายเลยลองขุดเป็นหน้า กระดานดู ก็พบกองทหารใต้ดินเข้าทั้งกองทัพละครับ ขุนพลของพระจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งนั้น

ลักษณะทัพที่ฝังอยู่นั้นเป็นลักษณะการจัดทัพแบบจีนโบราณ คือจัดแถวเป็นแพยาวยืด สลับกันเป็นช่องๆ โดยมีแถวทหารดินเผาสูง 6 ฟุต ยืนเป็นแถวยาวห้ากอง ในระหว่างช่องของทหารเดินเท้าก็คือ กองทหารม้าและรถศึกสลับกับทหารเดินเท้า ทำการบรรจุไว้ในช่องดินยาวๆขนาดใหญ่ๆ ถึง 11 ช่อง วางทหารและม้าศึกรถศึกลงไป ช่องที่ห่างก็ใช้ไม้ค้ำยันทำคร่าวปูกระดาน ทับด้วยเสื่อแล้วก็ใช้ดินกลบ เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานๆเข้า ก็เป็นไม้นี่ครับก็ย่อมผุพังเป็นธรรมดา ไหนจะสายฝนพัดเอาดินไหลลงตาม ช่องไม้ผุมากลบ ไหนจะดินชั้นบนถล่มลง ครั้นเวลาผ่านมานานถึง 2,200 ปี ก็เลยไม่มีใครรู้ว่ามีกองทหารดินเผาจำนวนมากมายมหาศาลมาตั้งกองทัพใต้ดินอยู่ ณ บริเวณนี้ ตราบจนมีการค้นพบเข้าโดยบังเอิญจากข้อมูลดังกล่าว





เมื่อพูดถึงฮวงซุ้ยกองทัพขุนศึกสมัยสองพันกว่าปีแล้ว ก็ขอพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างที่พระองค์ ทรงสร้างไว้ด้วยนะครับ...ท่านผู้อ่านคงร้องอ๋ออออ เดาถูกกันทุกคนละซีท่าว่าผมหมายถึงอะไร?

ครับ...ก็กำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่ยรรยงน่านแหละ

ว่ากันว่า กำแพงเมืองจีนเป็นวัตถุใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะขึ้นไปบนดวงจันทร์ก็ยังมองลงมาเห็นได้เลยละครับ ขนาดความยาวของกำแพงนั่นน่ะหรือ? ไม่ต้องบอกละครับว่ายาวกี่พันลี้ เอาแค่ว่ามีความยาวถึงสองเท่าของไทย-แลนด์เราทั้งประเทศเลยก็แล้วกันเอ้า

ที่จริง เรื่องกำแพงเมืองจีนนี่ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่แยะครับ คือคิดว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงริเริ่มสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ความจริงแล้วไม่ใช่ยังงั้นครับ กำแพงเป็นของที่มีมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวและสมัยแบ่งแยกอาณาจักร กล่าวคือ แต่ละแคว้นต่างก็สร้างกำแพงเพื่อป้องกันดินแดนของตนจากผู้รุกรานชาวป่าเถื่อนและ จากอ๋องแห่งแคว้นอื่นที่เป็นชาวจีนด้วยกัน กำแพงเหล่านี้แหละครับที่จิ๋นซีทรงพิเคราะห์ดูว่าสมควรจะ สร้างเสริมเพิ่มเติมให้ยาวติดต่อกันเป็นแนวเดียว และสร้างบางส่วนเป็นกำแพงหิน กับทั้งแก้ไขอุปสรรคเดิม ที่ไม่สามารถที่จะเอาม้ามาวิ่งบนกำแพงได้สะดวก ขยายประตูหอรบ และทำขึ้นใหม่ให้ม้าวิ่งไปได้ 8 ตัวโดยง่าย





จิ๋นซีทรงมีความทะเยอทะยานและใฝ่ฝันแรงกล้า ที่จะให้ราชวงศ์จิ๋นของพระองค์ยืนยงอยู่ชั่วกัลปาวสาน และพระองค์เองก็ประสงค์จะมีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุด จนถึงกับเสาะหายาอายุวัฒนะและไสยเวทวิทยาคมต่างๆเข้าช่วย

ทว่า ความใฝ่ฝันของพระองค์ดูไปเหมือนล้มเหลว เพราะราชวงศ์จิ๋นยั่งยืนได้เพียง 53 ปีเท่านั้นเอง แต่กำแพงเมืองจีนที่ทรงสร้าง ต่อเติมด้วยราชทรัพย์และแรงไพร่พลมากมายนั่นแหละ คือราชานุสรณ์ที่ยั่งยืนท้าทายกาลเวลา และประกาศนามราชวงศ์ของพระองค์ ให้อยู่คู่ฟ้าดินตราบใดที่กำแพงนี้ยังไม่ล่มสลาย

อีกอย่างหนึ่งที่จิ๋นซีทรงเพาะไว้ในใจประชาชนชาวจีนจนงอกงามก็คือ ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาตินั่นแหละครับ ซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญมาก เพราะนับตั้งแต่สิ้นรัชสมัยไป แม้บ้านเมืองจะแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าอีก แต่ประชาชนทุกแคว้นก็นึกเสมอว่าตนเป็นจีนชาติเดียวกัน มิได้แตกแยกอย่างสมัยก่อน...ซึ่งนับว่าเป็นมรดกล้ำค่าที่จิ๋นซีมอบไว้ให้แก่ประชากรของพระองค์

ทีมงาน ต่วยตูน




 

Create Date : 16 มีนาคม 2550
2 comments
Last Update : 16 มีนาคม 2550 3:29:55 น.
Counter : 1351 Pageviews.

 

สาระสุดยอด

ปล. อรุณสวัสดิ์ครับ

 

โดย: พีทคุง (redistuO ) 16 มีนาคม 2550 6:09:25 น.  

 

ขอบคุณที่เอามาฝากกันครับ

 

โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) 16 มีนาคม 2550 6:31:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


โอเล่ คุง
Location :
Omaha , Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความเหนือชั้นคือ การอ่านหนังสือและการเดินทาง...
Friends' blogs
[Add โอเล่ คุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.