|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ไขความลับในขวดน้ำหอม (ตอนจบ)
ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่จะเรียกเหมาเอาด้วยลักษณะนามเดียวว่าน้ำหอมระเหยคือน้ำหอมฝรั่ง แต่ชาวฝรั่งเศสเองแยกประเภทของน้ำหอมระเหยเป็น 4 ประเภทโดยแยกตามความเข้มข้นของสัดส่วนระหว่างเครื่องหอมและของเหลวระเหยสังเคราะห์ในชื่อของเอททิลแอลกอฮอล์ที่นำมาผสมกัน อันแตกต่างไปจากน้ำมันหอมและขี้ผึ้งหอมตามแบบโบราณโดยสิ้นเชิง ซึ่งเราจะสังเกตได้ขวดน้ำหอมแต่ละประเภทดังนี้
ขวดที่เขียนว่า Parfum ( ภาษาฝรั่งเศส ) มีส่วนผสม 22 % ของหัวน้ำหอมและ 78%ของเอททิลแอลกอฮอล์ Eau de Parfum ( E D P ) ใช้หัวน้ำหอมระหว่าง 15-22% และ78-85% ของเอททิลแอลกอฮอล์ (ปัจจุบันแทบไม่มีการผลิต E D P เลย ) Eau de Toillette ( E D T ) ใช้หัวน้ำหอมระหว่าง 8-15% Eau de Cologne ใช้หัวน้ำหอมเพียง 4% และ Eau Fraiche ใช้หัวน้ำหอมระหว่าง 1-3 % เท่านั้น ใครที่ซื้อน้ำหอมแล้วสงสัยว่าทำไมยี่ห้อเดียวกันแต่ราคาต่างกันนั้น ก็ด้วยเหตุผลข้างต้นนั่นเอง และในท้องตลาดปัจจุบันนิยมผลิตเพียง 3 ชนิดคือ Parfum, Eau de Toillette และ Eau de Cologne สารที่นำมาผลิตหัวน้ำหอมส่วนใหญ่สกัดมาจากดอกไม้ พืช ผลไม้ ฝักของพืชบางชนิดและมักใช้ศัพท์กำกับชื่อให้รู้ถึงต้นกำเนิดเช่นหากมาจากดอกไม้จะใช้ Floral, Oriental, Floriental, Chypre, Green Marine ฯลฯ หากมาจากพืชจะใช้ Anise,Bay Leaf, Bergamot , Cardarmon , Cedar Wood, Eucaliypt us, Franklincense , Gardenia , Geranium , Iris ,Jasmin และ Ylang Ylang เป็นต้น
ส่วนกลิ่นที่ได้จากสัตว์ก็มีเพียง Musk หรือชะมดเช็ด ชะมดแมว กวางตัวผู้ อสุจิจากวาฬ อันเป็นกลิ่นจำเพาะที่นำมาใช้เพียงเล็กน้อยก็จะช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนาน และกลิ่นดูลึกลับขึ้น การใช้น้ำหอมแต่ละชนิดก็เป็นไปตามความเข้มข้นของลักษณะน้ำหอมเช่น Parfum จะใช้แตะตามจุดชีพจรต่างๆ เช่น กกหู ข้อพับ ข้อมือ และโคนขาด้านใน เพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายสามารถขับกลิ่นได้อย่างเต็มที่ จะไม่ใช้นอกเหนือไปกว่านั้น เพราะกลิ่นมีความรุนแรงจนอาจกลายเป็นฉุนเฉียวจนน่าเวียนหัวมากกว่าจะหอมเร้าใจ อาจทำให้ผู้ได้กลิ่นอยากอยู่ห่างมากกว่าอยากใกล้ชิดด้วย หรืออาจใช้วิธีการพ่นให้เป็นละอองฝอยเหนือศีรษะก่อนเดินผ่าน ให้อณูของน้ำหอมแตะผิวกายเพียงบางเบาเท่านั้น วิธีการนี้จะช่วยให้เกิดความหอมเสมอกันทั้งเรือนร่าง และที่พึงกระทำคือการใช้สำลีแตะน้ำหอมก่อนสอดไว้ใต้พวงถันในเสื้อชั้นใน ก็ย่อมก่อให้เกิดกลิ่นที่น่ารัญจวนใจเป็นที่ยิ่ง
ผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ที่มีมากกว่าเป็นเพียงน้ำหอมคือ เจลอาบน้ำ เกลือหอมที่สามารถละลายในน้ำได้ดี ได้มีส่วนในการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้ได้มากทั้งชายและหญิง ทำให้กลิ่นกายภายหลังการอาบน้ำด้วยเครื่องหอมเหล่านี้มีกลิ่นที่น่าพึงใจ ทั้งต่อตนเองและ ต่อผู้ใกล้ชิด การเลือกกลิ่นน้ำหอมก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยผู้ใช้ต้องสังเกตว่ากลิ่นของน้ำหอมที่ใช้นั้น เมื่อมาผสมกับกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของตนแล้วจะให้ผลอย่างไร เช่นผู้ชายส่วนใหญ่มักใช้กลิ่นที่มาจากดอกไม้ตระกูลส้ม มะนาว และกลิ่นฉุนของใบยาสูบ จะช่วยให้กลิ่นกายในยามบ่าย หรือภายหลังจากการเล่นกีฬาเป็นกลิ่นที่มีเสน่ห์ต่อผู้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ส่วนกลิ่นที่เหมาะกับผู้หญิงมักเป็นกลิ่นหอมสดชื่นที่ได้จากลาเวนเดอร์หรือไวโอเล็ต นอกจากจะปะพรมร่างกายด้วยน้ำหอมแล้ว ห้องนอนยังเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เจ้าของห้องควรใช้เครื่องหอมประเภท เทียนหอม ธูปหอม หรือน้ำมันหอมที่สามารถไล่กลิ่นอับชื้น กลิ่นสาปจากเสื้อผ้าและถุงเท้า รวมไปจนถึงกลิ่นหมักหมมต่างๆ จะสามารถสร้างบรรยากาศให้ห้องนอนเป็นห้องที่น่ารื่นรมย์ได้เพียงในเวลาเล็กน้อย
การใช้น้ำหอมได้กลายมาเป็นแฟชั่นเมื่อ Coco Chanel ได้ขอให้ Ernest Beaux นักปรุงน้ำหอมชื่อดังของฝรั่งเศส ทำการปรุงน้ำหอมขึ้นมา 6 กลิ่นในปีค.ศ. 1921 โดยใช้ชื่อเป็นหมายเลขตั้งแต่ 1 ถึง 6 และน้ำหอมกลิ่นที่ต้องใจเธอที่สุดคือกลิ่นหมายเลข 5 ที่ใช้กลิ่นของดอกไม้ต่างๆอันประกอบด้วย Ylang Ylang ,Nelori และใช้กลิ่นจากดอกมะลิและดอกกุหลาบสกัด ผสมผสานกับกลิ่นจากไม้แก่นจันทน์และ Vetiver และนั่นคือที่มาของชื่อ Chanel No.5 ที่เปิดโลกของน้ำหอมให้หอมฟุ้งกระจายไปยังสาว ๆ ทั่วโลก การเปิดตัว Chanel No.5 ครั้งแรกให้โลกได้รู้จักนั้น Coco Chanel ตัดสินใจนำน้ำหอมขวดนี้เป็นของชำร่วยเพื่อสมนาคุณลูกค้าขั้นดีของเธอ โดยเริ่มแจกเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 เดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1921 ซึ่งเธอกล่าวว่า หากผู้หญิงคนใดที่ยังต้องการถูกจุมพิต ก็ควรที่จะต้องใช้น้ำหอม และจากคำกล่าวนี้เอง ที่ทำให้บรรดาหญิงทั้งสาวและไม่สาวต่างพากันขวนขวายหาน้ำหอมกลิ่นที่ต้องใจมาใช้ ถึงอาจจะไม่ได้ถูกจุมพิตจากชายหนุ่มคนใดเลยก็ตาม และนี่เองที่กลายเป็นคุณสมบัติของหญิงชาวฝรั่งเศสในยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เหล่าบรรดาชายหนุ่มทหารหาญชาติต่างๆที่ไป ถึง กรุงปารีส ต่างพร้อมใจกันชมเชยว่า ผู้หญิงฝรั่งเศสนั้นหอมเย้ายวนไปทั้งตัว
นอกเหนือจาก Chanel No.5 แล้วยังมีน้ำหอมกลิ่นต่างๆอันเป็นกลิ่นที่ต้องใจหญิงสาวทั่วโลก ที่มีความหอมแปลกออกไปด้แก่ Shalimar ของ Guerlain ที่ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1925 และเพิ่งน้ำมาผลิตใหม่ในปี 2001 นี้ นอกจากนั้นยังมี Soie de Paris,Madame Rochas ,Christian Dior และJoy ของ Jean Patou จากฝรั่งเศส ที่ได้กลายเป็นน้ำหอมยอดนิยมไปทั่วโลก ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง จากนั้นบริษัทใหญ่ๆไม่ว่าจะเป็นบริษัทในฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกาและเยอรมนี ต่างให้ความสนใจในการลงทุนผลิตน้ำหอมอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยนำเอาชื่อของบรรดาช่างเสื้อผู้มีชื่อเสียงจากผลงานของตนมาใช้เป็นชื่อในการค้า ทำให้กลายเป็นสินค้าที่หรูหราประกอบกับการออกแบบขวด การใช้วัสดุที่เพิ่มราคา รวมไปจนถึงการออกแบบชื่อและสลากปิดขวดที่ทำให้แลดูเป็นเครื่องประดับประจำโต๊ะเครื่องสำอางและห้องน้ำสำหรับพระราชวงศ์และชนชั้นสูงทั่วโลก
หลังจากปีค.ศ.1960 เป็นต้นมา น้ำหอมได้ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หรูหรา และเป็นหน้าเป็นตาของห้างสรรพสินค้า แทนที่จะวางขายเพียงแต่ในร้านของตนเท่านั้น และยิ่งเมื่อการเปิดร้านปลอดภาษีขึ้นตามสนามบินต่างๆ ก็ยิ่งเป็นการสนับสนุนให้สินค้าเหล่านี้พุ่งทะยานจนไม่มีเพดาน น้ำหอมได้กลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องใจคนทุกชั้นวรรณะไปเพียงในเวลาไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ
ผู้จัดการออนไลน์
Create Date : 17 ธันวาคม 2549 |
|
3 comments |
Last Update : 17 ธันวาคม 2549 2:35:56 น. |
Counter : 2782 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: วิสกี้โซดา (วิสกี้โซดา ) 17 ธันวาคม 2549 6:24:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: เต่ามะเืฟืองโกอินเตอร์ (dunno_me ) 17 ธันวาคม 2549 7:08:39 น. |
|
|
|
|
|
|
|